ตอนที่ 812 ดอกบัวบาน
“ข้าก็ช่วยเจ้าสร้างม่านพลังคุ้มกันหมู่บ้านผู้อพยพแล้วไง ยังจะต้องมาชดใช้อะไรกันอีก?”
ไป๋ชินหยุนพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
หลินเป่ยเฉินทำท่ากลอกตาอย่างเบื่อหน่ายและพูดว่า “ไม่ต้องพูด ถึงไม่มีเจ้า ข้าก็สามารถคุ้มครองค่ายผู้อพยพแห่งนี้ได้อยู่แล้ว เจ้าก็รู้ว่าสมุนไพรวิเศษของข้าแต่ละชนิดหายากขนาดไหน อีกอย่าง มันก็ช่วยทำให้เจ้าสามารถปลดผนึกพลังได้สำเร็จไม่ใช่หรือ? เห็นไหมว่าเจ้าได้ประโยชน์มากกว่าฝ่ายข้าตั้งเยอะแยะ”
“แต่ว่า… เจ้าก็ยังติดหนี้ข้าอยู่อีก 100,000 เหรียญทองคำนะ ถ้ารวมดอกเบี้ยด้วย มันก็เป็นเงินจำนวนมหาศาล” ไป๋ชินหยุนไม่ยอมแพ้อย่างที่คิดและหยิบยกเรื่องหนี้สินในอดีตขึ้นมาพูดจริงๆ
“เจ้าลองคำนวณเอาเองก็แล้วกัน เงินเพียงหยิบมือเดียวบวกกับการปลดผนึกพลังในตัวเจ้าได้สำเร็จ มันสามารถทดแทนสมุนไพรวิเศษจำนวนมากที่เจ้าเอาไปหลอมโดยไม่ขออนุญาตได้หรือไม่?”
“หึหึ สมุนไพรวิเศษเหล่านั้นถึงอยู่กับพวกเจ้าต่อไป พวกเจ้าสามารถนำมาหลอมเป็นโอสถชั้นยอดได้ไหมเล่า? ข้าเห็นแล้วก็เสียดายของเหลือเกิน พวกมันควรมีคุณค่ามากกว่านี้”
“เจ้าพูดออกมาได้อย่างไร ช่างไร้ยางอายเสียจริง”
“เจ้าพูดว่าใครไร้ยางอาย? เจ้าก็ควรรู้ดีไม่ใช่หรือว่าอะไรเป็นอะไรกันแน่?”
เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองคนทุ่มเถียงกันอย่างเผ็ดร้อน แต่ในที่สุด พวกเขาก็ได้ข้อสรุปตรงกันว่า หนี้สินจำนวน 100,000 เหรียญทองคำรวมดอกเบี้ยที่ติดค้างกันอยู่ ถือว่าหายกันไปกับสมุนไพรวิเศษที่เคยเก็บอยู่ในโรงเก็บวัตถุดิบหมายเลขหนึ่งแห่งนี้
นี่คือข้อสรุปที่ทั้งสองฝ่ายพอใจ
เพราะต่างฝ่ายต่างก็ได้ประโยชน์ทั้งคู่
หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แผนการของเจ้าต่อจากนี้จะทำอย่างไรต่อไป?”
ไป๋ชินหยุนอ้าปากหาวและยกมือกอดอกตามนิสัย ก่อนจะขมวดคิ้วหน้ายุ่ง “ระหว่างอยู่ที่นี่ก็คงต้องฝึกวิชาต่อไปก่อน หากข้าแข็งแกร่งขึ้นเมื่อไหร่ ข้าก็จะเดินทางไปที่มณฑลเฉียนเกา”
หลินเป่ยเฉินสะดุ้งเฮือก
หืม?
จะไปที่มณฑลเฉียนเกาอย่างนั้นหรือ?
ไปทำไมล่ะ?
ไปก็โดนฆ่าตายเปล่าๆ
เมื่อเห็นสีหน้าฉงนสงสัยของหลินเป่ยเฉิน ไป๋ชินหยุนก็กอดอกแนบแน่นมากยิ่งขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความเกลียดชัง พูดออกมาด้วยเสียงราบเรียบ “ข้ายังมีผู้คนเผ่าพันธุ์เดียวกับข้าหลบซ่อนตัวอยู่ทุกหนทุกแห่ง หนึ่งในนั้นซ่อนตัวอยู่ที่มณฑลเฉียนเกา ซ้ำยังมีสถานะไม่ธรรมดา อำนาจบารมีของเขาสูงส่ง และข้าก็จะกลับไปทวงแค้นที่พวกตระกูลเว่ยมันกล้าหักหลังข้า”
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก
ใช่แล้ว
เขาไม่ควรไปแทรกแซงความเกลียดชังที่กัดกินลึกลงในจิตใจเช่นนี้
และเขาก็ไม่ได้พยายามเปลี่ยนใจไป๋ชินหยุน
เพราะมันเป็นการตัดสินใจของนางเอง
“พวกตระกูลเว่ยมีความแข็งแกร่งไม่ใช่น้อย เจ้าต้องระมัดระวังตัว ห้ามประมาทเด็ดขาด”
หลินเป่ยเฉินเตือนด้วยความห่วงใย “ในเวลาระหว่างนี้ หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือใด ให้ไปแจ้งต่อเยว่หงเซียงได้ทันที ทุกคนพร้อมหยิบยื่นความช่วยเหลือให้แก่เจ้าเสมอ ช่วงนี้ข้าไม่ค่อยมีเวลาว่าง หากเจ้าต้องการแปลงโฉม ก็ให้เยว่หงเซียงคอยช่วยเหลือแล้วกัน”
การโจมตีกำแพงเมืองของพวกชาวทะเล ทำให้หลินเป่ยเฉินไม่มีเวลาว่างเลยจริงๆ
แน่นอนที่สุด
ถึงเขาจะไม่อยากทำ แต่อีกไม่ช้าก็เร็ว หลินเป่ยเฉินรู้ตัวว่าตนเองคงต้องไปประจำการอยู่บนกำแพงเมืองแล้ว
“เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ข้ามีแผนการของข้า” ไป๋ชินหยุนพูดด้วยความมั่นใจ “พูดถึงเรื่องเยว่หงเซียงขึ้นมา ข้าถึงนึกขึ้นได้ เจ้าจะอนุญาตให้ข้าไปพักอยู่กับนางได้หรือไม่?”
พูดมาถึงตรงนี้ เด็กสาวอกไม้กระดานก็มีสีหน้าเศร้าสลดลงเล็กน้อย “เจ้าไม่รู้สึกว่ามันนานมากแล้วหรือตั้งแต่ที่พวกเรา…เคยร่วมหัวจมท้าย ร่วมเป็นร่วมตายกันอยู่ในหุบเขาชายแดนเหนือ บัดนี้ ศิษย์พี่ฮันกลายเป็นนายทหารชื่อดังประจำสมรภูมิชายแดนเหนือ ส่วนข้าก็กลายเป็นสมาชิกจากเผ่าพันธุ์ปีศาจ และเจ้าก็กลายเป็นยอดฝีมือที่มีพลังระดับเซียน หลงเหลือเพียงเยว่หงเซียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย… ข้าไม่รู้เลยว่าในอนาคตข้างหน้า หากพวกเราต้องกลับมาเจอกันอีกครั้ง สถานการณ์มันจะเป็นเช่นไร”
หลินเป่ยเฉินมองหน้าไป๋ชินหยุนเขม็ง
ยัยเด็กคนนี้ปากไม่เป็นมงคลเลยสักนิด
“เหอเหอเหอ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน พวกเราทั้งสี่คนก็ไม่เปลี่ยนแปลงหรอกน่า”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ส่วนไป๋ชินหยุนเพียงแต่มองหน้าเขาและยิ้มกว้าง ไม่พูดอะไรออกมาอีก
หลังจากพูดคุยกันเสร็จเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็ช่วยไป๋ชินหยุนปลอมแปลงโฉมเล็กน้อย และเดินไปเยี่ยมดูอาการของอานมู่ซีที่สำนักพยาบาล
เมื่อแนะนำตัวว่าไป๋ชินหยุนจะมาเป็นผู้ช่วยคนใหม่ของสำนักหลอมโอสถ และนางก็คือผู้ที่นำสมุนไพรวิเศษในโรงเก็บวัตถุดิบหมายเลขหนึ่งไปหลอมโอสถโดยไม่ได้บอกผู้ใด อานมู่ซีก็ได้แต่ส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา ก่อนจะเป็นลมหมดสติไปอีกครั้ง…
เฮ้อ
ดูท่าทางแล้วอานมู่ซีคงได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจมากเหลือเกิน
แต่ช่างมันเถอะ ไปหาเยว่หงเซียงดีกว่า
หลินเป่ยเฉินพาไป๋ชินหยุนไปยังสถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่งประจำค่ายผู้อพยพ และพบว่าเยว่หงเซียงเพิ่งจะสอนลูกศิษย์ชั้นปีที่หนึ่งเสร็จและเดินกลับออกมาจากห้องเรียนพอดี
“ว่าไง เสี่ยวเซียง…”
หลินเป่ยเฉินโบกมือทักทาย และเมื่อเห็นท่วงท่ากิริยาอันอ่อนช้อยของเยว่หงเซียง ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าตนเองเป็นผู้ทำร้ายเด็กสาวคนนี้ขึ้นมาอีกครั้ง
เดี๋ยวก่อนนะ?
ทำไมเขาถึงต้องใช้คำว่า ‘อีกครั้ง’ ด้วยล่ะ?
ทั้งสามคนทักทายกัน
“พวกเราไปหาอะไรกินกันเถอะ วันนี้เดี๋ยวข้าเลี้ยงเอง”
หลินเป่ยเฉินนำพาเด็กสาวทั้งสองคนไปยังศูนย์อาหารทะเล
พวกเขาถือเป็นเพื่อนสนิท สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง
ระหว่างรับประทานอาหาร ไป๋ชินหยุนสั่งสุรามาถึงสามไหและแทบจะดื่มรวดเดียวหมด
ถึงหน้าอกอันใหญ่โตจะหายไป แต่ความเป็นนักดื่มของนางยังคงอยู่
บรรยากาศของอาหารมื้อนี้ผ่านไปอย่างมีความสุข สุดท้ายเด็กสาวอกไม้กระดานก็ดื่มหนักมากเกินไปอย่างที่คิด และก็เป็นเยว่หงเซียงต้องประคองนางกลับที่พัก
…
เมื่อหลินเป่ยเฉินกลับมาถึงกระโจมของตนเอง เขาก็นอนแช่น้ำอุ่น นั่งโคจรพลังลมปราณ และพยายามควบคุมพลังปราณธาตุทั้งห้าของตนเองให้ชำนาญมากขึ้น แม้ว่าพวกมันจะเป็นพลังต่างชนิด แต่ก็สามารถไหลเวียนเข้าด้วยกันเป็นอย่างดี ซึ่งเด็กหนุ่มก็ไม่รู้เลยว่านี่คือเรื่องราวที่สมควรถือว่าปกติหรือไม่
“แม่ง พอโทรศัพท์ใช้ไม่ได้ เรามันก็เป็นแค่เศษขยะดีๆ นี่เอง”
“เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อมีพลังระดับเซียนแล้วควรจะฝึกวิชาต่อไปยังไง เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพลังระดับเซียนแบ่งออกเป็นกี่ระดับ เรารู้เพียงอย่างเดียวว่ามันช่วยทำให้เรามีพลังในการต่อสู้เพิ่มขึ้น น่าเสียดายที่ในเมืองนี้มีแค่พี่ใหญ่เกาคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้คำปรึกษาเราได้ สงสัยคงต้องหาเวลาไปคุยกับเขาสักหน่อยแล้ว…”
เช่นเดียวกับสาวน้อยที่อยู่ในค่ายที่พักของชาวทะเล เห็นได้ชัดว่านางกำลังเข้าใจเขาผิด นี่คือสิ่งที่ต้องรีบแก้ไขโดยเร็ว บางทีถ้าทำได้สำเร็จ หลินเป่ยเฉินก็อาจโน้มน้าวใจให้นางเลิกโจมตีนครเจาฮุยก็เป็นได้ อย่าลืมสิว่าเขาคือเด็กหนุ่มที่หล่อเหลาที่สุดในปฐพี มีหรือที่นางจะต้านทานเสน่ห์ของเขาได้…
หลินเป่ยเฉินตั้งใจว่าถ้าจัดการเรื่องราวของนครเจาฮุยเสร็จเมื่อไหร่ เขาก็จะออกเดินทางไปที่มณฑลเฉียนเกาเพื่อแก้แค้นเว่ยหมิงเฉินเมื่อนั้น
“อุ๊ย จริงด้วยสิ ถ้าเวลาลงตัว เราก็ไปที่นั่นพร้อมกับไป๋ชินหยุนได้เลยนี่นา”
หลินเป่ยเฉินเริ่มคิดแผนการข้างหน้าขณะเปิดโทรศัพท์มือถือดูอย่างช้าๆ
การอัพเกรดอุปกรณ์เพิ่งผ่านมาได้ 8% เท่านั้น
ก็ถือว่าเร็วขึ้นกว่าเดิมหน่อยหนึ่งละนะ
เด็กหนุ่มถอนหายใจ ใช้เงินอีก 10 เหรียญทองคำชาร์จแบตโทรศัพท์ให้เต็ม
ด้านนอกดวงจันทร์เสี้ยวแขวนตัวอยู่บนท้องฟ้า
หลินเป่ยเฉินนั่งเหงาอยู่ในกระโจมที่พักของตนเอง รู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป
กาลเวลาเคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็ว
เพียงพริบตาเดียวก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว
หลินเป่ยเฉินทนนั่งอยู่ที่เดิมไม่ไหว
เขาลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าและบอกเฉียนเหมยกับเฉียนเจินว่า “ข้าจะออกไปข้างนอกหน่อยนะ”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็กระโดดยืนบนกระบี่และบินออกไปจากค่ายผู้อพยพ
ไม่นานหลังจากนั้น
วิหารเทพกระบี่ปรากฏในคลองสายตา
หลินเป่ยเฉินควบคุมกระบี่ให้ร่อนลงไปจอดบริเวณเชิงเขา
ถนนตรงเชิงเขาทางเข้าวิหารมีนักบวชระดับสูงคอยรักษาความปลอดภัย แต่เมื่อพวกเขาเห็นหน้าหลินเป่ยเฉินทุกคนก็ปล่อยผ่านโดยทันที
หลินเป่ยเฉินเดินไปตามถนนสายนั้นและย่ำเท้าลงไปบนบันไดหินมุ่งหน้าขึ้นสู่ยอดเขา
และในสระน้ำขนาดใหญ่ที่เป็นการรวมตัวจากน้ำตกด้านบนนั้น เขาก็เห็นดอกบัวขาวกำลังบานสะพรั่งสวยงาม กลิ่นหอมของพวกมันลอยมาเตะจมูก ยิ่งประกอบกับแสงจันทร์ที่ทอดผ่านลงมา ก็เกิดเป็นภาพอันสวยงามตราตรึงใจ ทันใดนั้น องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกเยือกเย็นและมีสติแจ่มใสอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ฤดูหนาวแล้ว ดอกบัวพวกนี้ยังบานอยู่อีกได้อย่างไร?
หลินเป่ยเฉินได้แต่คิดแล้วก็สงสัย