ตอนที่ 813 ค่ำคืนอันเร้าใจ
เมื่อเห็นภาพอันสวยงามตระการตาเช่นนี้ หลินเป่ยเฉินก็ถูกดึงดูดเข้าไปหาทันที
โดยเฉพาะหนึ่งในดอกบัวที่โผล่พ้นขึ้นมาเหนือผิวน้ำ แต่ละกลีบของมันมีความสวยงามราวกับหยกแกะสลัก แทบจะสะท้อนประกายวิบวับกับแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา เพียงดูด้วยตาเปล่าก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ดอกบัวธรรมดาแน่นอน
“สวยจังเลยนะ”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความเคลิ้บเคลิ้ม
หัวใจสั่นไหว
กว่าจะรู้ตัวอีกที เขาก็ยื่นมือออกไปเด็ดดอกบัวนั้นขึ้นมาจากบ่อน้ำแล้ว
เขายกมันขึ้นมาสูดดม
รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันตาเห็น
นับเป็นกลิ่นอันหอมหวน
หลินเป่ยเฉินประคองดอกบัวในมือและวิ่งขึ้นบันไดไปด้วยความรวดเร็ว
ในไม่ช้า เด็กหนุ่มก็มาถึงหน้าวิหารส่วนกลาง
“เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
เมื่อนักพรตใหญ่หลงเยว่เห็นหลินเป่ยเฉินวิ่งขึ้นบันไดมากลางดึก หัวใจของนางก็อดรู้สึกสังหรณ์แปลกประหลาดไม่ได้ คำถามต่อมาจึงถามด้วยสีหน้าวิตกกังวลไม่น้อยว่า “หรือเจ้าสูญเสียพลังไปทั้งหมด? และกลัวว่าจะมีผู้ใดตามมาไล่ล่าสังหารเจ้า?”
นั่นคือสิ่งที่นักพรตใหญ่หลงเยว่วิตกกังวลมากที่สุด
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ ตอบกลับไปว่า “ไม่ใช่ขอรับ ข้าน้อยสบายดี รบกวนท่านป้าช่วยส่งข้อความไปบอกเยว่เว่ยหยางให้หน่อยว่า มีเด็กหนุ่มที่หล่อเหลาที่สุดภายในเมืองมาขอเข้าพบนาง”
นักพรตใหญ่หลงเยว่ลังเลเล็กน้อย แต่ในที่สุด ก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในวิหาร
หลังจากนั้นไม่นาน หญิงชราก็เดินหน้ายุ่งออกมายืนอยู่หน้าประตู จ้องมองหลินเป่ยเฉินและพูดว่า “เจ้าสามารถเดินเข้าไปได้เลย”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่มเดินเข้าสู่ด้านในวิหาร
ได้ยินเสียงประตูวิหารปิดตามหลัง
ในวิหารมีแสงไฟสว่างไสว
แสงสว่างเหล่านี้มาจากอัญมณีและไข่มุกที่แขวนอยู่บนเพดาน พวกมันถูกติดตั้งอยู่ในค่ายอาคมระดับสูง ขณะนี้จึงเปล่งแสงสว่างออกมาทำให้ภายในวิหารมีแสงสว่างไม่ต่างจากตอนกลางวัน
วิหารหลังนี้รับน้ำหนักด้วยเสาหินใหญ่ที่แกะสลักเป็นรูปเทพีกระบี่ขนาดยักษ์
เมื่อเดินไปข้างหน้าอีกไม่กี่สิบวา ก็จะพบเข้ากับขั้นบันไดหยกขาว
บนขั้นสูงสุดของบันไดนั้น มีบัลลังก์เทพเจ้าตั้งอยู่อย่างน่าเกรงขาม
เยว่เว่ยหยางสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีดำ นั่งอยู่บนบัลลังก์เทพเจ้า นางเอียงหน้าเท้าคางเข้ากับมือข้างหนึ่ง ผมสีดำถูกรวบไว้ด้านหลัง ดวงตาเหม่อลอย คล้ายกับไม่ได้จ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินแม้แต่น้อย “เจ้าต้องการอะไร?”
หลินเป่ยเฉินเดินขึ้นไปบนขั้นบันไดและกล่าวว่า “อยากมาดูว่าเจ้าหายดีแล้วหรือยัง”
เมื่อตอนกลางวันเยว่เว่ยหยางก็ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาเช่นกัน
นางลงมือสังหารหนึ่งในร่างสัตว์ประหลาดของเหลียงหยวนเตา
แต่กว่าจะสังหารเจ้าเมืองวิปริตผู้นี้ได้สำเร็จ เยว่เว่ยหยางก็สูญเสียพลังไปไม่ใช่น้อย และนางก็ถึงกับถ่ายทอดพลังจิตมาบอกเขาว่าตนเองไม่สามารถช่วยเขาได้อีกแล้ว
“พักอีกไม่กี่วันก็น่าจะหายดี”
หลังจากตอบคำถามนี้ ดวงตาของเยว่เว่ยหยางก็มีประกายสว่างไสวขึ้นมาเล็กน้อย “ทำไม หรือว่าเจ้าสนใจบัลลังก์นี้ของข้า?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกรุ้มกริ่ม นำดอกบัวขาวที่ซ่อนไว้ด้านหลังออกมาแสดงและพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ข้ามาที่นี่เพราะอยากขอบคุณที่เจ้าช่วยเหลือข้าเมื่อตอนกลางวัน และมีส่วนสำคัญที่ทำให้ข้าสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว… ข้าเห็นว่าอาการของเจ้าไม่ค่อยดี โปรดอนุญาตให้ข้าได้รักษาเจ้าด้วยเถอะ”
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น หลินเป่ยเฉินคงไม่ต้องลงทุนขออนุญาตถึงขนาดนี้
แต่นี่อีกฝ่ายคือเยว่เว่ยหยาง เขาจึงต้องขออนุญาตก่อนลงมือทำสิ่งใด
เยว่เว่ยหยางไม่ตอบรับ
ดวงตาของนางจ้องมองดอกบัวที่ส่ายไปส่ายมาอยู่ในมือของหลินเป่ยเฉิน จากนั้น เด็กสาวก็ชะงักไปเล็กน้อยและถามว่า “ของในมือเจ้าคืออะไร?”
“ดอกบัวที่สวยที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเห็นในชีวิตนี้”
หลินเป่ยเฉินยกดอกบัวในมือขึ้นสูง แสดงให้เห็นถึงมุมที่สวยงามที่สุดของดอกไม้ชนิดนี้ ก่อนที่เขาจะเอียงหน้าทำมุม 45 องศาและพูดว่า “ข้านำมามอบให้เจ้า”
“มอบให้ข้าเนี่ยนะ?”
เยว่เว่ยหยางเบิกตาโตอย่างคาดไม่ถึง
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ใช่แล้ว ระหว่างเดินขึ้นภูเขามาที่นี่ ข้าพบเจอดอกบัวดอกนี้ระหว่างทาง มันสวยงามอย่างหาตัวจับยาก งอกขึ้นมาท่ามกลางโคลนตมแต่กลับสะอาดบริสุทธิ์ ข้าได้กลิ่นหอมของมันตั้งแต่ไกล และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทันทีที่ข้าเห็นดอกบัวดอกนี้ ข้าก็นึกถึงเจ้าขึ้นมาทันที อาจเป็นเพราะว่ามันคือสิ่งสวยงามเดียวที่ขึ้นอยู่กลางสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายก็เป็นได้”
ริมฝีปากของเยว่เว่ยหยางบิดตัวเป็นรอยยิ้มเหยียดหยาม “ปากหวานไปเรื่อย น่าเบื่อเหลือเกิน”
เอ่อ…
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินรู้สึกอับอายขึ้นมาเล็กน้อย
ไม่มีเหตุผลเลยสักนิด
นี่เขาอุตส่าห์ทำตามคู่มือจีบสาวในอินเทอร์เน็ตเลยนะ เห็นว่าถ้าชอบใครก็ให้เอาดอกไม้สวยๆ ไปให้ แต่นี่ก็เห็นได้ชัดว่ามันคงเป็นกลยุทธ์ที่ใช้กับเทพีกระบี่ไม่ได้ผล
“เจ้าไม่ชอบมันจริงหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้
เยว่เว่ยหยางถอนหายใจออกมาอย่างเย็นชายิ่ง
นั่นทำให้หลินเป่ยเฉินมึนงงมากกว่าเดิม
เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?
เสน่ห์ของเขาลดลงฮวบฮาบขนาดนี้เลยหรือ?
ตอนแรก เยว่เว่ยหยางยังพอจะชำเลืองมองเขาบ้าง แต่บัดนี้ นางดูจะเบื่อหน่ายเขาเสียแล้ว
นี่ทำให้คุณชายหลินซึ่งเชื่อมั่นในความหล่อเหลาของตนเองตลอดมา เริ่มสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปเล็กน้อย
เยว่เว่ยหยางเงยหน้ากลับมามองตาเขาอีกครั้งและพูดแผ่วเบาว่า “เจ้าเข้ามารักษาข้าสิ”
หลินเป่ยเฉินวางดอกบัวนั้นลงบนโต๊ะหินที่อยู่ข้างขั้นบันได และเดินขึ้นไปโยนวงแหวนวารีใส่เด็กสาว
วงแหวนสีเขียวปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเยว่เว่ยหยางในอีกไม่กี่ลมหายใจต่อมา
หลินเป่ยเฉินรู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพลังปราณธาตุน้ำของตนเองจะสามารถใช้ได้ผลกับวิญญาณเทพเจ้าที่กลับมาเกิดใหม่หรือไม่
สองแก้มของเยว่เว่ยหยางแดงปลั่ง
ทันใดนั้น พลังลมปราณในร่างกายของนางก็เพิ่มขึ้นทันตาเห็น
ได้ผลแฮะ
หลินเป่ยเฉินรีบโยนวงแหวนวารีออกไปอีกรัวๆ
เยว่เว่ยหยางระบายลมหายใจออกมายาวแรง
สีหน้าแสดงออกถึงความประหลาดใจ
นี่คือวิธีการรักษาอาการบาดเจ็บรูปแบบไหนกัน?
เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่นางคิดจริงๆ
เยว่เว่ยหยางจ้องมองหลินเป่ยเฉินก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ และเมื่อสะบัดแขนเล็กน้อย เสื้อคลุมสีดำก็เลื่อนหลุดออกจากร่างกาย เผยให้เห็นถึงเรือนร่างขาวเนียนปราศจากตำหนิ
“มานี่สิ”
เด็กสาวกระซิบขณะหอบหายใจ “เรามาเริ่มฝึกวิชากันดีกว่า”
“เอ๋?”
หลินเป่ยเฉินสะดุ้งโหยง
เขาหันหน้ามองรูปปั้นเทพีกระบี่ที่ยืนอยู่รายล้อมในห้องโถงใหญ่ของวิหาร รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับใช้ประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์มากมาย และนั่นก็ยังไม่รวมถึงเสาหินขนาดใหญ่ที่แกะสลักเป็นรูปเทพีกระบี่อยู่ใจกลางวิหารอีกเล่า สุดท้าย เขาก็มีสีหน้าไม่แน่ใจและถามด้วยความลังเลว่า “เอาที่นี่เลยหรือ พวกเราเปลี่ยนสถานที่ดีไหม…”
“ไม่”
เยว่เว่ยหยางตอบกลับมาเสียงเรียบ
หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึก
ให้ตายสิ
วิญญาณของเทพที่กระบี่นี่ใจถึงใช้ได้เลยนะเนี่ย
เขาไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อนนะ
หลังจากตั้งสติอยู่เล็กน้อย ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ทำตามความต้องการของเยว่เว่ยหยาง
เขาจะไม่แสดงความอ่อนแอออกมาเด็ดขาด
ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล
…
แต่ค่ำคืนนี้กลับผ่านไปอย่างรวดเร็ว
รู้ตัวอีกทีก็รุ่งเช้าแล้ว
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นสวมใส่เสื้อผ้าและเหลียวหน้ากลับไปมองที่เยว่เว่ยหยางซึ่งนอนขดตัวเป็นก้อนกลมราวกับแมวน้อยจอมขี้เกียจอยู่บนบัลลังก์เทพเจ้าขนาดใหญ่ เห็นได้ชัดว่านางอยู่ในสภาพหมดเรี่ยวหมดแรงแล้ว
ฮ่าฮ่าฮ่า
นี่สินะความแข็งแกร่งของผู้มีพลังขั้นเซียน
มิหนำซ้ำ ยังเป็นพลังขั้นเซียนที่มีพลังปราณธาตุถึงห้าชนิดอีกด้วย
หลังจากพ่ายแพ้มาอย่างยาวนาน ในที่สุด เทพีกระบี่ก็ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้แก่เขาในสงครามสวาทบ้างสักที!
“ข้าไปก่อนนะ” หลินเป่ยเฉินนำผ้าห่มไปคลี่คลุมไว้บนตัวเยว่เว่ยหยางและพูด “เจ้าจงพักผ่อน…”
ฟังดูเป็นผู้ชายเฮงซวยจริงๆ เลยเรา
“อืม…”
เยว่เว่ยหยางส่งเสียงรับคำอย่างเกียจคร้าน ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
ไม่ถึงครึ่งชั่วยามหลังจากหลินเป่ยเฉินกลับไป เด็กสาวก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมาหอบหายใจ นางนั่งขัดสมาธิ โคจรพลังลมปราณและหลอมรวมพลังกระแสใหม่เข้าสู่ร่างกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เพียงคืนเดียว พลังของนางก็ฟื้นฟูกลับขึ้นมามากมาย
มีผลเท่ากับการร่วมรักกับหลินเป่ยเฉินหลายสิบคืนเมื่อเดือนก่อน
เขาแข็งแกร่งมากขึ้น
เยว่เว่ยหยางสวมใส่เสื้อผ้าและเดินเท้าเปล่ามายังโต๊ะหิน ก่อนจะหยิบดอกบัวขาวขึ้นมาสูดดม รอยยิ้มที่หายากปรากฏขึ้นบนใบหน้า แต่แล้วหัวใจก็กระตุกวูบ ขณะนี้ ผู้ที่ครอบครองร่างกายดูคล้ายจะกลายเป็นเยว่เว่ยหยางคนเดิมที่มาจากเมืองหยุนเมิ่งอย่างไรอย่างนั้น…
ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอก
เมื่อนักพรตใหญ่หลงเยว่เดินเข้ามาเห็นดอกบัวขาวในมือของเยว่เว่ยหยาง ดวงตาของหญิงชราก็หรี่ลงเล็กน้อย
“กราบเรียนพระองค์ท่าน นี่คือบัวสวรรค์แห่งภูเขาเฉินเตี้ยน ไม่ทราบว่ามันถูกเด็ดขึ้นมาได้อย่างไร? มันควรจะดูดซับพลังอยู่ในภูเขาไม่ใช่หรือเจ้าคะ…”
นักพรตใหญ่หลงเยว่ถามด้วยความตกตะลึง
รอยยิ้มที่หาได้ยากอีกหนึ่งชนิดปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเยว่เว่ยหยางและนางก็ตอบแผ่วเบา “เพราะว่ามันสวยงามเหมือนกับข้า มันจึงถูกเด็ดขึ้นมา”
นักพรตใหญ่หลงเยว่เงียบงันไม่ตอบคำ
หลังจากนั้นไม่นาน หญิงชราก็กล่าวต่อเสียงเรียบ “กราบเรียนพระองค์ท่าน ตอนที่หลินเป่ยเฉินเดินกลับลงไปจากภูเขานั้น เขาได้เก็บบัวสวรรค์ที่ขึ้นอยู่ในบ่อน้ำของเราไปหมดเกลี้ยงเลยเจ้าค่ะ…”
เยว่เว่ยหยางชะงักกึก ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย