ตอนที่ 818 ช่วยแม่แหกคุก
กำแพงเมืองฝั่งตะวันตกเป็นจุดโจมตีแรกของฝ่ายศัตรู
เมื่อหลินเป่ยเฉินเดินเข้าสู่ป้อมบัญชาการรบประจำกำแพงเมืองเขตนี้ บรรยากาศในห้องประชุมก็เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
ตรงกลางห้องตั้งไว้ด้วยโต๊ะทรายสีดำขนาดใหญ่ มันเป็นแผนผังจำลองของนครเจาฮุย สำหรับกับหลินเป่ยเฉินแล้ว โต๊ะทรายของจริงมีความงดงามและมีมนต์ขลังมากกว่าที่เขาเคยเห็นในละครโทรทัศน์หลายเท่า
หลู่เหวินหยวนและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพต่างก็นั่งประจำที่อยู่สองข้างฝั่งของโต๊ะทราย
เกาเฉิงฮั่นประจำที่อยู่ตรงหัวโต๊ะ
สีหน้าของทุกคนเคร่งขรึม
บรรยากาศในห้องกดดันแทบทำให้ผู้คนหายใจไม่ออก
สายตาของทุกคนหันมาจ้องมองที่หลินเป่ยเฉินเป็นหนึ่งเดียว
“น้องหลินมาแล้ว เชิญนั่งลงก่อน” ข้างที่นั่งของเกาเฉิงฮั่นปรากฏเก้าอี้พิเศษอีกตัวหนึ่งเพิ่มขึ้นมาตั้งรออยู่ล่วงหน้า ซึ่งหมายความว่าเด็กหนุ่มถูกให้ค่าอยู่ในระดับเดียวกับเกาเฉิงฮั่นเลยทีเดียว
หลินเป่ยเฉินประสานมือคำนับด้วยความนอบน้อม และเดินเข้าไปนั่งอย่างเชื่อฟัง
“ได้ยินมาว่าน้องหลินกำลังออกตรวจสอบกำแพงเมืองทั้งสี่ทิศ?”
เกาเฉิงฮั่นยิ้มกว้างเหมือนได้พบกับเพื่อนเก่าอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าตอบว่า “ใช่แล้วขอรับ เมื่อไปเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว ข้าถึงได้รู้ว่าสถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดี”
เกาเฉิงฮั่นพยักหน้าอย่างเห็นด้วย และกล่าว “เมืองของเรายามนี้ถูกปิดล้อมทุกด้าน อีกไม่นาน ชาวเมืองคงต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก คำนวณดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน กองทัพของเราคงรักษากำแพงเมืองได้อีกแค่ 16 วัน หลังจากนั้น เราก็จะถอยไปตั้งหลักที่เมืองเขตสอง และคงสามารถยืนระยะได้อีกหกวัน และถ้าหากเราสามารถระดมพลชาวเมืองให้ออกมาช่วยสู้รบได้ เราก็จะสามารถต้านทานพวกมันได้อีกสี่วัน… รวมเบ็ดเสร็จแล้ว นครเจาฮุยเหลือเวลาอีกเพียง 26 วันเท่านั้น”
นี่คือข้อสรุปที่นายทหารระดับสูงทุกคนเห็นพ้องต้องกัน
นี่คืออนาคตของนครเจาฮุย
หลินเป่ยเฉินไม่ถามสักนิดว่าระยะเวลาเหล่านี้ผ่านการคำนวณอย่างแม่นยำแล้วหรือไม่ แต่เขากลับถามว่า “แล้วเราจะรับมืออย่างไรดีขอรับ? ไม่ทราบว่าพวกท่านเริ่มวางแผนการแล้วหรือไม่?”
เกาเฉิงฮั่นหันกลับไปมองหน้าหลู่เหวินหยวน
หลู่เหวินหยวนอธิบายว่า “เราคิดแผนการรับมือขึ้นมาได้สามรูปแบบ แบ่งเป็นระดับสูงสุด ระดับปานกลางและระดับล่างสุด แผนการระดับสูงสุดคือการบุกเข้าไปตัดหัวผู้บัญชาการรบของชาวทะเล เมื่อมังกรถูกตัดหัวแล้ว ตัวที่เหลือก็ถือว่าไร้ประโยชน์ และชาวทะเลส่วนที่เหลือจะต้องหลบหนีกลับลงสู่มหาสมุทรอย่างแน่นอน…”
หลินเป่ยเฉินนึกทบทวนสิ่งที่ตนเองเห็นในค่ายที่พักของชาวทะเลเมื่อวันก่อน และลองชั่งน้ำหนักดูว่าหากต้องต่อสู้กับมนุษย์หน้ากากแปดรูและจอมเวทย์มนุษย์เงือกทั้งแปดตัวนั้น ร่วมด้วยต้องรับมือเด็กสาวผู้นั่งรถเข็นที่อยากฆ่าเขาใจจะขาด หลินเป่ยเฉินก็รู้แล้วว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผลแน่ๆ
แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธและสอบถามต่อ “แผนการระดับปานกลางล่ะขอรับ?”
“แผนการระดับปานกลางคือเราจะส่งคนแอบเข้าไปในค่ายที่พักของชาวทะเล และทำลายประตูมิติที่เป็นเส้นทางลำเลียงเสบียงและทรัพยากรทางทหารของพวกมัน เมื่อไม่มีหน่วยกำลังเสริมมาช่วยเหลือ สถานการณ์ของพวกเราก็จะไม่ย่ำแย่ไปมากกว่านี้ เมื่อพวกมันไม่มีอาหาร สุดท้ายก็ต้องรับประทานกันเอง ในขณะที่พวกเราชาวเมืองยังคงมีโอสถเป่ยเฉินและสมุนไพรวิเศษอีกจำนวนมาก เพียงพอที่จะให้เราปิดเมืองอยู่ได้สบายๆ ไปถึงสองปีหากไม่มีปัญหาอื่นแทรกซ้อนเข้ามา” หลู่เหวินหยวนว่า
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าเล็กน้อย วิธีนี้ดูมีความเป็นไปได้มากกว่า แต่สุดท้ายก็คงหลีกเลี่ยงการปะทะหักล้างไม่ได้อยู่ดี เมื่อพวกชาวทะเลสามารถซ่อมแซมประตูมิติสำหรับการลำเลียงเสบียงและกำลังเสริมได้ วงจรอุบาทว์เดิมก็จะกลับมาเริ่มใหม่อีกครั้ง
“แล้วแผนการระดับล่างสุดล่ะขอรับ?” หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความสงสัย
หลู่เหวินหยวนตอบว่า “แผนการระดับล่างสุดคือหาทางส่งยอดฝีมือของเราไปขอความช่วยเหลือจากวังหลวง และรอคอยให้องค์จักรพรรดิส่งกำลังเสริมมาช่วยเหลือพวกเรา…”
เฮ้อ สมแล้วที่เป็นแผนกลางระดับล่างสุด หากทางวังหลวงมีกำลังเสริมจริง กำลังเสริมเหล่านั้นก็คงมาถึงนานแล้ว ไม่มีทางที่พวกเขาจะปล่อยให้สถานการณ์เลวร้ายถึงขั้นนี้เด็ดขาด
เมื่อคิดคำนวณแผนการทั้งสามรูปแบบในใจเรียบร้อยแล้ว หลินเป่ยเฉินก็หันกลับไปสอบถามเกาเฉิงฮั่นว่า “ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่เกาคิดใช้แผนการใดขอรับ?”
เกาเฉิงฮั่นหยุดคิดอยู่เล็กน้อยก็ตอบว่า “หากไม่มีน้องหลินคอยช่วยเหลือ ข้าก็คงเลือกใช้แผนการระดับปานกลางกับระดับล่างรวมกัน แต่บัดนี้… ในเมื่อมีความช่วยเหลือของเจ้า ข้าจึงคิดว่าการปรับใช้แผนการทั้งสามรูปแบบนี้เข้าด้วยกันจึงสามารถเป็นไปได้”
เฮ้อ
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจ
ความจริงเขาไม่อยากยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเลย หลินเป่ยเฉินอยากเลือกอยู่เฉยๆ และรอกำลังเสริมมากกว่า
แต่ในเมื่อผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ตัดสินใจแล้ว เขาจะทำอะไรได้?
“ส่วนเด็กสาวที่นั่งรถเข็นผู้นั้น พวกท่านได้ข้อมูลเพิ่มเติมมาบ้างหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถาม
“พวกเราย่อมได้ข้อมูล” หลู่เหวินหยวนหยิบยื่นศิลาอาคมก้อนหนึ่งออกมาข้างหน้าและอธิบายรายละเอียดว่า “มีข่าวลือมากมายที่เกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดของเด็กสาวผู้นี้…”
หลินเป่ยเฉินโคจรพลังลมปราณลงไปในศิลาอาคม
แล้วข้อมูลเกี่ยวกับเด็กสาวบนรถเข็นก็ปรากฏออกมา
นางมีนามว่าเหยียนอิง มีสถานะเป็นเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ซีไห่แห่งโลกใต้ทะเล
เด็กสาวมีอายุได้ 15 ปี…
อ้าว?
อายุ 15? แก่กว่าเขาอีกเหรอเนี่ย?
และตอนที่เจอหน้ากันครั้งที่แล้ว เขาดันไปเรียกนางว่าน้องสาวซะด้วย
หรือว่าที่วันนั้นนางอยากจะฆ่าหลินเป่ยเฉิน ก็เพราะเขาไปเรียกนางว่าน้องสาว?
มิฉะนั้นแล้ว นางจะต้านทานเสน่ห์ของเขาได้อย่างไร?
ต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าตนเองค้นพบคำตอบแล้วว่าเพราะเหตุใดเหยียนอิงถึงได้เมินเขาเช่นนั้น
ตามข้อมูลที่อยู่ในศิลา มารดาของนางเป็นบุคคลระดับสูงในราชวงศ์ เดิมทีถูกวางตัวให้ขึ้นครองบัลลังก์ แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด มารดาของนางจึงไปตกหลุมรักกับบุรุษหนุ่มบนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งถือเป็นการกระทำผิดกฎราชวงศ์อย่างร้ายแรง นั่นทำให้มารดาของเหยียนอิงถูกวิหารใต้สมุทรสั่งลงโทษด้วยการจองจำอยู่ที่หุบเขาเจ้าสมุทรนานถึง 15 ปีเต็ม
แต่ก่อนที่จะถูกจองจำนั้น นางก็ได้ให้กำเนิดเหยียนอิงออกมา
และว่าตามข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในศิลา ทารกเหยียนอิงเกิดมาพร้อมกับคำสาปเลือดผสม ขาทั้งสองข้างของนางผิดรูป นางไม่สามารถเดินหรือฝึกวิทยายุทธ์ใดๆ ของชาวทะเลได้เลย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทางราชวงศ์แห่งโลกใต้สมุทรจะปฏิเสธการมีอยู่ของเหยียนอิง และเมื่อไม่มีบิดามารดาคอยดูแล ชีวิตในวัยเด็กของนางจึงนับว่าน่าอนาถเหลือเกิน
แต่เมื่อเหยียนอิงมีอายุได้สิบขวบ นางก็ถูกนักบวชในวิหารทมิฬรับเข้ามาดูแล ซึ่งวิหารแห่งนี้จะคอยรับหน้าที่คุมขังนักโทษของวิหารใต้สมุทร และโชคดีไปมากกว่านั้นก็คือนักบวชท่านนั้นยังได้รับเด็กหญิงเป็นลูกศิษย์อีกด้วย
แล้วโชคชะตาของเหยียนอิงก็เปลี่ยนไป
สี่ปีต่อมา นางมีสถานะเป็นอาจารย์ผู้ฝึกสอนวิทยายุทธ์ให้แก่เหล่านักบวช
ระดับพลังไม่ต่ำต้อย
เด็กสาวจัดการบุกเข้าไปในหุบเขาเจ้าสมุทร และช่วยเหลือมารดาแหกคุกออกมาจากที่คุมขัง
หลังจากนั้น เหยียนอิงก็สามารถเอาชนะบุคคลระดับสูงในราชวงศ์และนักบวชตำแหน่งใหญ่โตของวิหารใต้สมุทรอีกหลายสิบคน
ตอนนั้นเองที่ทางราชวงศ์และวิหารใต้สมุทรค้นพบว่าเด็กสาวพิการผู้นี้กลายเป็นเพชรเม็ดงามจากวิหารทมิฬ นางมีฝีมือแข็งแกร่งมากกว่าชาวทะเลที่แท้จริง ซ้ำยังเลื่อนระดับพลังขึ้นสู่ขั้นเซียนได้อีกด้วย นับดูในบรรดาชาวทะเลรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่มีใครจะแข็งแกร่งมากไปกว่าเหยียนอิงอีกแล้ว
และด้วยความช่วยเหลือของวิหารทมิฬ นอกจากเหยียนอิงจะช่วยเหลือมารดาแหกคุกออกมาจากที่คุมขังได้สำเร็จ นางยังทำให้มารดาได้รับตำแหน่งทางราชวงศ์กลับคืนไปอีกด้วย และขณะนี้ มารดาของเด็กสาวก็กลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ทรงอำนาจที่สุดของโลกใต้สมุทร
บัดนี้ มารดาของเหยียนอิงกำลังยกกองทัพขึ้นมาโจมตีเมืองมนุษย์บนแผ่นดินใหญ่ ตามคำสั่งของนางเอง
หลู่เหวินหยวนอธิบายต่อไปว่า “เหยียนอิงผู้นี้มีความเกลียดชังมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับบรรดามือกระบี่ของจักรวรรดิเป่ยไห่ นางถึงกับเคยสาบานว่าจะต้องกวาดล้างมือกระบี่ของจักรวรรดิเป่ยไห่ให้หมดสิ้นไปให้ได้ สิ่งที่พวกเราวิตกกังวลก็คือหากครั้งนี้นางสามารถยึดครองเมืองเจาฮุยได้สำเร็จ คำสาบานของนางก็จะต้องกลายเป็นจริงแน่นอน”