ตอนที่ 820 ตำแหน่งขั้นเซียน
หลินเป่ยเฉินตั้งใจฟังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
บัดนี้ โทรศัพท์มือถือใช้งานไม่ได้ เขาจึงต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น
ต่อให้เป็นเศษสวะ แต่อย่างน้อยก็ยังเป็นเศษสวะที่มีความพยายาม
“การที่ใครสักคนจะเลื่อนขึ้นสู่ขอบเขตพลังขั้นเซียนได้นั้น ต้องผ่านการรับรองจากเทพีกระบี่เสียก่อน ถึงจะดำเนินการเลื่อนระดับพลังสำเร็จ เพราะฉะนั้น การที่เจ้าสามารถเลื่อนระดับพลังได้เองจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นยากมาก แต่เจ้าเป็นผู้ที่ถูกเลือกของเทพีกระบี่ เจ้าคงได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ เพราะอย่างตัวข้าเองนั้น กว่าจะเลื่อนขึ้นสู่ขอบเขตพลังขั้นเซียนได้สำเร็จ ก็ต้องเสียเวลาสวดภาวนาและทำพิธีอยู่ในวิหารหลายวันทีเดียว…”
เกาเฉิงฮั่นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เดี๋ยวก่อนนะ?
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าพิศวงเล็กน้อย
การจะเลื่อนระดับพลังขึ้นสู่ขั้นเซียนต้องผ่านการรับรองจากเทพีกระบี่ด้วยหรือ?
เรื่องนี้หลินเป่ยเฉินไม่เห็นรู้เลย
เพราะตอนที่เขาเลื่อนระดับพลังได้นั้น ก็ไม่เห็นมีอะไรติดขัดสักหน่อย
ต้องเป็นเพราะโทรศัพท์มือถือแน่ๆ
แต่มันคงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหรอกกระมัง
เพราะระดับพลังที่อยู่ในตัวเขามันไม่ใช่ของปลอมสักหน่อย
“มีบางอย่างที่ข้าสงสัยขอรับ” หลินเป่ยเฉินถามออกมา “ถ้ามือกระบี่ในจักรวรรดิเป่ยไห่ต้องได้รับการรับรองจากเทพีกระบี่ก่อน แล้วผู้คนในจักรวรรดิอื่นๆ ที่ไม่ได้นับถือเทพีกระบี่ล่ะขอรับ?”
เกาเฉิงฮั่นใบหน้ากระตุกเล็กน้อย ถามกลับมาว่า “นี่เจ้าโง่เขลาถึงขนาดนี้เชียวหรือ? การจะเลื่อนขึ้นสู่ขอบเขตพลังขั้นเซียนได้นั้น คนผู้นั้นนับถือเทพเจ้าองค์ใด ก็จำเป็นต้องได้รับการรับรองจากเทพเจ้าองค์นั้น นี่คือความรู้ทั่วไปที่ใครๆ ก็ทราบกันดี เพราะมีแต่ได้รับการรับรองจากเทพเจ้าเท่านั้น พวกเราถึงจะได้รับทักษะขั้นเซียนที่แท้จริงมาประจำตัว”
“ทักษะขั้นเซียนที่แท้จริงหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินไม่ปิดบังความสงสัยของเขาเอาไว้เลย
บัดนี้ เกาเฉิงฮั่นรู้เพียงแต่ว่าเด็กหนุ่มสามารถพัฒนาฝีมือได้อย่างรวดเร็ว แต่ความรู้ทางด้านทฤษฎีนั้นกลับต่ำต้อยอย่างยิ่ง เขาจึงอธิบายต่อไปอย่างไม่แปลกใจอีกแล้ว “ผู้มีพลังขั้นเซียนทุกคนจะได้รับทักษะและท่าไม้ตายประจำตัว ก็เหมือนตอนที่ข้าสังหารเหลียงหยวนเตาเมื่อวันก่อนนั่นแหละ มันเป็นการผสมผสานการโจมตีระหว่างคนกับกระบี่ ร่วมด้วยท่าไม้ตายของผู้มีพลังขั้นเซียนโดยเฉพาะ”
ในสมองของหลินเป่ยเฉินกำลังนึกภาพกระบวนท่ากระบี่เซียนสะเทือนบัลลังก์เทพของเกาเฉิงฮั่นในวันนั้น
นับเป็นการโจมตีที่รุนแรงจริงๆ
ร่างที่หกของเหลียงหยวนเตาถึงกับตายคาที่
หัวใจกระตุกวูบ
หลินเป่ยเฉินนึกถึงคมกระบี่ที่สาดประกายเจิดจ้า
คนกับกระบี่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
กระบวนท่าถูกใช้ออกมาราวกับมีเวทมนตร์
ปรากฏว่านี่คือกระบวนท่าไม้ตายเฉพาะตัวของผู้มีพลังขั้นเซียน
ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าทำไมพลังการโจมตีถึงรุนแรงมากกว่ากระบวนท่ากระบี่ทั่วไป
บัดนี้ เกาเฉิงฮั่นในสายตาของหลินเป่ยเฉินซึ่งเคยเป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกวิทยายุทธ์ขั้นเซียนชั้นดีนั้น ยิ่งนับเป็นบุคคลที่มีค่ามากกว่าเดิมหลายเท่า
“แต่ในเมื่อมันเป็นท่าไม้ตาย คงต้องใช้แต่เฉพาะยามจำเป็นใช่ไหมขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินสอบถามออกมาอีกครั้ง
เกาเฉิงฮั่นพยักหน้าให้คำตอบ “ถูกแล้ว เพราะว่าท่าไม้ตายเหล่านี้ มีแต่ผู้มีพลังขั้นเซียนเท่านั้นถึงจะฝึกปรือได้ คนนอกไม่สามารถฝึกฝนได้เด็ดขาด พลังทำลายล้างของมันรุนแรงมากกว่ากระบวนท่าทั่วไป แต่ก็ต้องแลกมาด้วยสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรและเวลาที่ต้องใช้ในการฝึกฝน และหลายครั้งท่าไม้ตายเหล่านี้ก็เกิดผลข้างเคียงรุนแรงจนทำให้ผู้ใช้เสียชีวิตได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น หากร่างกายยังไม่ได้อยู่ในภาวะสมบูรณ์พร้อมจริงๆ พวกเราก็ห้ามใช้ท่าไม้ตายออกมาเด็ดขาด”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
เขาเข้าใจแล้ว
ว่าแต่เขาจะไปหาท่าไม้ตายของตัวเองมาจากไหน?
ชัดเจนแล้วว่าพวกมันเป็นวิชากระบี่ที่อยู่นอกเหนือคัมภีร์ทั่วไป
นี่แหละที่เป็นปัญหา
ท่าไม้ตายระดับเซียนของเขาคืออะไร?
วิชากระบี่ 17 คาบสมุทรคงนับด้วยไม่ได้
เพราะมันเป็นวิชาที่ใครๆ ก็สามารถฝึกฝนกันได้ทั้งนั้น
เกาเฉิงฮั่นพูดว่ามีแต่เฉพาะผู้ที่ได้รับการรับรองจากเทพีกระบี่เท่านั้น ถึงจะได้รับมอบท่าไม้ตายประจำตัวจากเทพเจ้า
เขาควรลองสอบถามเยว่เว่ยหยางหรือไม่ก็เทพีกระบี่หิมะไร้นามดีไหมนะ?
ถึงอย่างไร พวกมันก็เป็นเทพีกระบี่เหมือนกันอยู่แล้ว
เอ๋?
เดี๋ยวก่อน
นี่เขากำลังจับปลาสองมืออยู่หรือเปล่า
แต่ถ้าหลินเป่ยเฉินสามารถขอท่าไม้ตายจากพวกนางมาได้คนละกระบวนท่า ก็เท่ากับว่าเขาจะมีท่าไม้ตายมากกว่าคนอื่นๆ เลยไม่ใช่หรือไง?
นั่นจะทำให้หลินเป่ยเฉินมีท่าไม้ตายระดับเซียนถึงสองกระบวนท่า
แล้วเขายังจะต้องกลัวใครอีก?
เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว
เขารู้สึกว่าอนาคตข้างหน้าช่างสดใสเหลือเกิน
รอให้โทรศัพท์อัปเกรดอุปกรณ์เสร็จเสียก่อนเถอะ เขาจะรีบติดต่อไปหาเทพีกระบี่หิมะไร้นามทันที
ส่วนในระหว่างนี้…
ก็คงต้องลองไปพูดคุยกับเยว่เว่ยหยางดูก่อนว่านางพอจะมีทางช่วยเหลือเขาได้หรือไม่
เกาเฉิงฮั่นไม่ทันสังเกตว่าหลินเป่ยเฉินกำลังใช้ความคิดอย่างเคร่งเครียด จึงอธิบายต่อไป “บัดนี้ เจ้าคงเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าเพราะเหตุใดศัตรูของเราถึงเหิมเกริมขนาดนี้? เพราะว่าการจะเลื่อนระดับของพวกเรานั้นต้องผ่านการรับรองของเทพเจ้าเสียก่อน ในขณะที่พวกชาวทะเลมันไม่ต้องผ่านการรับรองอะไรเลยทั้งนั้น”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
เขาเข้าใจแล้ว
นี่คงเป็นข้อได้เปรียบของพวกชาวทะเลและก็พวกปีศาจด้วยเช่นกัน
สมมุติถ้าเขาอยากเป็นมือกระบี่ระดับเซียน แค่ยอมขายร่างกายและวิญญาณให้กับปีศาจ พวกมันก็สามารถช่วยทำให้ฝันเป็นจริงได้แล้วสินะ
“ว่าแต่ว่า… มันพอจะมีทางที่คนเราสามารถเลื่อนขึ้นสู่ขอบเขตพลังขั้นเซียน โดยไม่ต้องผ่านการรับรองจากเทพเจ้าบ้างไหมขอรับ?” หลินเป่ยเฉินสอบถามออกมาเพื่อยืนยันสิ่งที่ตนเองคาดคิดอีกครั้ง
เกาเฉิงฮั่นนิ่งเงียบใช้ความคิดอยู่เล็กน้อย ก็ตอบว่า “พอมีอยู่บ้าง”
“จริงหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินแสดงออกทางสีหน้าด้วยความเคารพ
เกาเฉิงฮั่นหัวเราะขบขันเล็กน้อย “แต่บุคคลผู้นั้นต้องยอมขายวิญญาณให้กับปีศาจ ซึ่งไม่ต่างจากคนผู้หนึ่งกระโดดขึ้นขี่หลังเสือ ตลอดเวลาเต็มด้วยอันตราย จะถูกปีศาจไล่ฆ่าหรือหักหลังเมื่อไหร่ก็ไม่รู้…” หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อย เขาก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงตักเตือนหลินเป่ยเฉินว่า “เจ้าจงพึงระลึกเอาไว้เถิด สำหรับผู้ที่คิดร่วมมือกับพวกปีศาจนั้น ไม่เคยมีจุดจบที่ดีเลยสักคน”
หลินเป่ยเฉินผงกศีรษะหงึกๆ เหมือนไก่จิกข้าวเปลือก “ข้าไม่คิดสนใจร่วมมือกับพวกปีศาจอยู่แล้ว”
ทันใดนั้น คล้ายกับว่าเกาเฉิงฮั่นจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ รอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาขณะกล่าวว่า “เจ้าอายุยังน้อยและมีพรสวรรค์ บัดนี้เลื่อนขึ้นสู่ขอบเขตพลังขั้นเซียนได้สำเร็จ เจ้าไม่ต้องห่วงอนาคตข้างหน้าหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้ามีพลังปราณธาตุแตกต่างจากคนอื่น เจ้าจะต้องมีตำแหน่งขั้นเซียนเป็นของตนเองอย่างแน่นอน เพราะมีแต่ผู้มีพลังขั้นเซียนที่มีตำแหน่งเท่านั้น… ถึงจะกลายเป็นผู้มีพลังขั้นเซียนตัวจริงเสียงจริง ฮ่าฮ่าฮ่า”
หลินเป่ยเฉินใบหน้ากระตุกเล็กน้อย
ประโยคนี้มัน…
ไม่ต่างจากโดนพูดใส่หน้าว่า ‘คนที่เคยนอนกับผู้หญิงมาแล้วเท่านั้น ถึงจะกลายเป็นลูกผู้ชายตัวจริงนะโว้ย’ เลยชัดๆ!
นี่เกาเฉิงฮั่นกำลังเหยียดหยามว่าเขาไม่ใช่ลูกผู้ชายตัวจริง…เอ๊ย ไม่ใช่ผู้มีพลังขั้นเซียนตัวจริงสินะ
“ตำแหน่งขั้นเซียนคืออะไรขอรับ? แล้วเราจะได้มันมาอย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นคนโง่เขลาไปอีกครั้ง
เกาเฉิงฮั่นตอบว่า “มันเป็นตำแหน่งเฉพาะตัวที่สมาคมผู้มีพลังระดับเซียนจะตั้งให้แก่กัน นี่คือสมาคมที่รวมตัวผู้มีพลังระดับเซียนทั่วดินแดนตงเต้าเข้าไว้ด้วยกัน การที่มีชื่ออยู่ในสมาคมนี้จะให้ประโยชน์กับเจ้าอย่างที่เจ้าคิดไม่ถึงเชียวละ เมื่อได้รับตำแหน่งแล้ว เจ้าก็จะได้รับทรัพยากรสำหรับการฝึกวิทยายุทธ์จากทางวังหลวงทุกๆ เดือน…”
สมาคมผู้มีพลังระดับเซียน?
นี่มันอะไรกันครับเนี่ย?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองเดินเข้าสู่แดนสนธยาอีกครั้ง
“แล้วพี่ใหญ่เกามีตำแหน่งใดในสมาคมนี้หรือขอรับ?”
เด็กหนุ่มถามด้วยความอยากรู้
รอยยิ้มหายวับไปจากใบหน้าเกาเฉิงฮั่นทันที
เขาตอบว่า “เดี๋ยวเจ้าก็รู้เองนั่นแหละ เราอย่ามาพูดถึงเรื่องนี้กันอีกเลย”
เมื่อเห็นทีท่าของเกาเฉิงฮั่นเปลี่ยนไป หลินเป่ยเฉินก็รู้แล้วว่าแม่ทัพใหญ่คงไม่อยากพูดถึงสักเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อเป็นการรักษาหน้าอีกฝ่าย “งั้นเรากลับไปคุยเรื่องก่อนหน้านี้ก็ได้ขอรับ ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่เกาพอจะมีคัมภีร์ฝึกพลังจิตอย่างที่ข้าต้องการบ้างหรือไม่?”
เกาเฉิงฮั่นยิ้มตอบและส่ายหน้า “ไม่มี”
“หืม พี่ใหญ่เกาอย่ามาล้อเล่น ท่านมีระดับพลังสูงส่งถึงเพียงนี้ เป็นไปได้หรือที่จะไม่มีคัมภีร์ฝึกพลังจิตติดตัวอยู่เลย”
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาด้วยความผิดหวัง
เกาเฉิงฮั่นตอบช้าๆ ว่า “คัมภีร์ฝึกพลังจิตที่สามารถฝึกแล้วใช้งานได้เลยในเวลาเพียงไม่กี่วันอย่างที่เจ้าต้องการน่ะข้าไม่มีหรอก แต่ข้าพอมีคัมภีร์ฝึกพลังจิตสำหรับผู้มีพลังขั้นเซียนระดับหนึ่งอยู่บ้าง ถ้าเจ้าไม่สนใจก็ช่างมันเถิด”
“พี่ใหญ่เกา” หลินเป่ยเฉินรีบตอบรับเสียงอ่อนเสียงหวาน “สมแล้วที่ท่านเป็นพี่ชายของข้า”