ตอนที่ 827 ข้าต้องอธิบายด้วยหรือว่าหลินเป่ยเฉินทำอะไรบ้าง
หลินเป่ยเฉินแอบเดินสำรวจอยู่พักใหญ่ ก็ไปเจอหลิงเฉินนั่งเล่นอยู่ที่สวนหย่อมด้านหลังเพียงลำพัง
นางดูดีมากทีเดียว
หลิงเฉินสวมใส่ชุดกระโปรงยาวสีเขียวที่เอวผูกรัดด้วยเข็มขัดหนังงูติดหัวเข็มขัดทองคำ ซึ่งขับเน้นให้เห็นถึงร่างอรชนอ้อนแอ้น และหน้าอกหน้าใจอันกลมกลึงสมส่วนนั้นอีกเล่า นี่ช่างเป็นภาพที่ยากต่อการละสายตาเสียเหลือเกิน
นางกำลังนั่งอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่ง สองขาตวัดกวัดแกว่งในอากาศ หลินเป่ยเฉินเงยหน้าจ้องมองเรียวขาของนางและเกือบจะต้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงในความงามของเรียวขาคู่นี้
และองค์ประกอบบนใบหน้าของหลิงเฉินไม่ว่าจะแยกออกมาเป็นสัดส่วนหรือนำทุกอย่างมาประกอบรวมกัน ต่างก็สามารถจำกัดความได้เพียงคำเดียวว่างดงามที่สุดในปฐพี หลิงเฉินมีความงามสง่าในชนิดที่ทำให้ผู้คนพร้อมจะหมอบกราบและมอบชีวิตให้แก่นางโดยไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ รองรับทั้งสิ้น
สวนหย่อมทางด้านหลังจวนเงียบสงบ ที่นี่มีหลิงเฉินนั่งอยู่เพียงผู้เดียว
หิมะที่กองทับถมอยู่บนพื้นดินยังไม่ได้รับการปัดกวาด
ริมสระน้ำข้างโขดหินใหญ่ มีตุ๊กตาหิมะเท่ากับมนุษย์สองตัวถูกปั้นเป็นบุรุษและสตรี พวกมันสวมใส่เสื้อผ้า ตัวที่เป็นบุรุษแขวนกระบี่ไว้ที่ข้างเอว ส่วนตัวที่เป็นสตรีสวมใส่ชุดกระโปรงสีขาว พวกมันยืนจับมือเคียงข้างกันอย่างไม่กลัวลมฟ้าและพายุความหนาวเย็น…
หลิงเฉินนั่งแกว่งขาไปพลางพูดพึมพำไปพลาง
ทันใดนั้น บนพื้นดินห่างออกไปประมาณห้าวา กองหิมะพลันแหวกออกจากกันอย่างช้าๆ ก่อนที่บางสิ่งบางอย่างจะผุดขึ้นมาจากใต้ดิน…
หลิงเฉินตกใจเล็กน้อย แต่เมื่อลองมองดูดีๆ นางกลับพบว่ามันเป็นดอกบัวขาวที่มีความสวยงามราวกับหยกแกะสลัก ซึ่งกำลังโผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นดินอย่างปาฏิหาริย์
ดอกบัวขาวดอกนี้ปรากฏตัวท่ามกลางกองหิมะ ราวกับต้องการปฏิเสธความเป็นจริงทุกอย่างในโลกใบนี้
“หิมะตกหนักขนาดนี้ มีดอกบัวขึ้นมาได้อย่างไรกันนะ?”
หลิงเฉินกระโดดลงจากต้นไม้และรีบเดินเข้ามาดูด้วยความประหลาดใจ “หรือว่านี่จะเป็นสายพันธุ์บัวหิมะที่งอกงามกลางฤดูหนาว?”
เด็กสาวถกชายกระโปรงขึ้นและย่อตัวลงพินิจดูบัวดอกนั้นอย่างช้าๆ
แต่แล้วดอกบัวขาวกลับเคลื่อนที่หนีไปเหมือนกระต่ายน้อยผู้ตื่นกลัว
“นี่ อย่าหนีนะ” หลิงเฉินวิ่งไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว
สุดท้าย นางก็ไล่ตามมาถึงด้านหลังโขดหิน
ดอกบัวขาวไม่ได้หลบหนีอีกแล้ว
“สวยจังเลย”
หลิงเฉินพูดออกมาด้วยความชอบใจ
ทันใดนั้น ดอกบัวขาวก็กระโจนขึ้นจากพื้นดินเข้ามาอยู่ในมือของนาง
“อิอิ ข้ารู้ว่าเป็นท่าน ท่านพี่เป่ยเฉิน ออกมาได้แล้ว”
เด็กสาวยิ้มกว้าง ถือดอกบัวขาวในมือแนบแน่น
นางไม่ใช่บุคคลโง่เขลา หลังจากที่หายประหลาดใจแล้ว หลิงเฉินก็พบคำตอบว่าผู้ที่สามารถเคลื่อนไหวใต้พื้นดินและนำดอกไม้มามอบให้นางได้เช่นนี้… ก็มีแต่หลินเป่ยเฉินเพียงคนเดียวเท่านั้น
เด็กหนุ่มกระโดดขึ้นมาจากใต้พื้นดินด้วยความว่องไว
“เสี่ยวเฉินเฉิน ไม่เจอกันเพียงไม่กี่วัน เจ้าสวยมากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยนะ”
หลินเป่ยเฉินพูดพร้อมกับยิ้มหวาน
หลิงเฉินยกดอกบัวขาวในมือขึ้นสูดดม รอยยิ้มอ่อนหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้ารูปไข่อย่างที่ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นมาก่อน “ท่านเอามาให้ข้าหรือ? ขอบคุณมากนะเจ้าคะ ท่านช่างอ่อนหวานเหลือเกิน… งั้นข้าจะให้อภัยท่านก็ได้ที่ไม่ยอมมาหาข้าตั้งนาน”
“ดีแล้ว”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มและพยักหน้า
รอยยิ้มของเขาช่างบริสุทธิ์และอ่อนหวาน ราวกับหนุ่มน้อยที่ยังไม่เคยพบเจอความโหดร้ายของโลกมนุษย์
“ขอบใจเจ้ามากนะที่ช่วยข้าไว้ครั้งที่แล้ว”
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรหรอก ในฐานะคนรักของท่าน ข้าต้องทำสิ่งที่สมควรทำอยู่แล้ว” แววตาที่หลิงเฉินมองดอกบัวขาวในมือยิ่งเพิ่มความหลงใหลมากยิ่งขึ้น ก่อนถามว่า “ท่านไปได้บัวดอกนี้มาจากที่ใด? รู้หรือไม่ว่ามันไม่ใช่ดอกบัวธรรมดา”
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ก็ตอบตามความจริง “ข้าเก็บมันขึ้นมาจากบ่อน้ำระหว่างทางขึ้นสู่วิหารเทพีกระบี่ ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในฤดูหนาวเช่นนี้ กลับมีดอกไม้สามารถงอกงามขึ้นมาได้โดยไม่หวาดกลัวสายลมหนาวแม้แต่น้อย ซึ่งดอกไม้ชนิดนี้นั้น…”
หลิงเฉินยิ้มกว้างและรับช่วงพูดต่อ “ถ้าเดาไม่ผิด ท่านคงถอนมันขึ้นมาจากบ่อน้ำระหว่างทางขึ้นวิหารประจำเมืองใช่หรือไม่?”
“อย่าบอกนะว่ามันเป็นดอกบัวศักดิ์สิทธิ์?”
หลินเป่ยเฉินชะงักกึก ถามออกมาด้วยความร้อนใจ
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ในทุกๆ เมืองจะมีวิหารหนึ่งแห่งได้รับเลือกให้ปลูกดอกบัวชนิดนี้ เช่นเดียวกับวิหารประจำเมืองเจาฮุย นี่คือดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกกันว่าดอกบัวสวรรค์ มันจะดูดซับพลังปราณธาตุจากพื้นดินเช่นเดียวกับดูดซับพลังศรัทธาจากสาวกเทพีกระบี่ในตัวเมือง ถือเป็นดอกไม้ล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง นอกจากช่วยรักษาอาการบาดเจ็บได้อย่างดีเลิศ ยังถือเป็นหนึ่งในสมุนไพรที่สามารถเพิ่มพลังลมปราณและช่วยบำรุงเลือดอีกด้วย เมื่อดอกบัวดอกหนึ่งถูกถอนออกมาแล้ว พลังทั้งหมดก็จะเกิดการรั่วไหล ส่งผลให้บัวดอกอื่นๆ เกิดความเหี่ยวเฉาตามกันมา และต้องใช้เวลาอีกหลายปีทีเดียวเจ้าค่ะ กว่าที่พวกมันจะงอกกลับขึ้นมาใหม่ได้สำเร็จ…”
หลิงเฉินยิ้มตาหยีอธิบายน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว
หลินเป่ยเฉินยิ่งรับฟังมากเท่าไหร่ หัวใจก็ยิ่งปวดร้าวมากเท่านั้น
ให้ตายสิ!
แค่ถอนออกมาต้นเดียวกว่าจะงอกกลับขึ้นมาใหม่ได้ต้องใช้เวลาตั้งหลายปี
แล้วนี่เขาเล่นถอนขึ้นมาหมดบ่อจะเป็นอะไรไหมเนี่ย?
คงไม่ทำให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อวิหารประจำเมืองหรอกกระมัง?
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ หากเยว่เว่ยหยางรู้เรื่องนี้ นางจะจัดการกับเขาอย่างไร?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกผิดขึ้นมาทันที
“อิอิ อย่าบอกนะว่าท่านพี่เป่ยเฉินไม่รู้เรื่องนี้?” หลิงเฉินถามพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
หลินเป่ยเฉินรีบตอบกลับไปว่า “ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร? ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว แต่ข้าต้องอธิบายสิ่งที่หลินเป่ยเฉินทำให้คนอื่นรับรู้ด้วยหรือ? ถ้าข้าไม่พูดสักอย่าง ทางวิหารจะมีหลักฐานอะไรมาเอาผิดข้าได้ว่าข้าเป็นคนเก็บดอกบัวขึ้นมาจากบ่อน้ำของพวกเขา?”
ถ้าเกิดทางวิหารจับได้ขึ้นมาจริงๆ หลินเป่ยเฉินก็ตั้งใจจะยืนกระต่ายขาเดียว ปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
“แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนที่ข้าพบเจอดอกบัวดอกนี้ระหว่างทาง มันสวยงามอย่างหาตัวจับยาก งอกขึ้นมาท่ามกลางโคลนตม สภาพแวดล้อมโหดร้ายราวกับแดนปีศาจ แต่กลับสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเทพเจ้า ข้าได้กลิ่นหอมของมันตั้งแต่ไกล และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทันทีที่ข้าเห็นดอกบัวดอกนี้ ข้าก็นึกถึงเจ้าขึ้นมาทันที เสี่ยวเฉินเฉิน”
“อาจเป็นเพราะว่ามันคือสิ่งสวยงามเดียวที่ขึ้นอยู่กลางสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายก็เป็นได้…”
“ดังนั้น ถึงข้าจะรู้ว่ามันผิดกฎวิหาร แต่ข้าก็ยังเก็บมันมาฝากเจ้าอยู่ดี”
“มีเพียงแต่เจ้าเท่านั้นถึงควรค่าต่อการถือมันอยู่ในมือ เมื่อบัวดอกนี้อยู่ในมือเจ้า ความงดงามของมันก็ถูกเติมเต็มให้สมบูรณ์แบบ และไม่มีสิ่งใดจะงดงามเทียบเท่ากับเจ้าทั้งสองอีกแล้ว…”
หลินเป่ยเฉินหยอดคำหวานไปเรื่อยๆ เพื่อกลบเกลื่อนอาการกระวนกระวายใจของตนเอง
“งอกขึ้นมาท่ามกลางโคลนตม สภาพแวดล้อมโหดร้ายราวกับแดนปีศาจ แต่กลับสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเทพเจ้า…” หลิงเฉินพูดทวนคำประโยคนั้นด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นในหัวใจ
มันช่างเป็นคำพูดที่กินใจนางยิ่งนัก
โดยเฉพาะสำหรับคนที่เกิดมามีความแตกต่างจากผู้อื่น คำพูดประโยคนี้ของหลินเป่ยเฉินจึงซึมซาบเข้าสู่จิตใจได้อย่างง่ายดาย