ตอนที่ 829 คนจากวังหลวง
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
หลินเป่ยเฉินยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเศร้าใจ
นี่เขาวางแผนที่จะแย่งคนรักของคนอื่นเต็มตัวแล้วใช่ไหม?
แต่จะพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูกต้อง
เพราะเขาไม่ได้เป็นคนเข้าหานางก่อนนี่นา
แล้วหลินเป่ยเฉินคนเดิมก็ไม่ได้อยู่ในโลกนี้อีกแล้วด้วย
ตราบใดที่เขาทำดีกับหลิงเฉิน หลินเป่ยเฉินก็มั่นใจว่านางจะต้องลืมหลินเป่ยเฉินคนเก่า และนางก็จะต้องหลงรักหลินเป่ยเฉินคนใหม่ ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์อย่างแน่นอน
แต่จนกว่านางจะรักหลินเป่ยเฉินคนใหม่คนนี้จากใจจริง เขาจะฉวยโอกาสจากนางไม่ได้เด็ดขาด
มิเช่นนั้น เขาก็คงไม่ต่างจากพวกผู้ชายใจหมาทั้งหลายแหล่เหล่านั้น
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็ตั้งสติขึ้นมาใหม่ และขยับตัวเว้นระยะห่างจากเด็กสาวเล็กน้อย และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่มีเสียงฝีเท้าคนดังขึ้นพอดี
“เฉินเอ๋อร์”
เป็นเสียงของชินหลันซู
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ รีบพูดว่า “ท่านป้ามาแล้ว นางคงไม่ชอบใจที่เห็นพวกเราอยู่ด้วยกัน ข้าคงต้องขอตัวก่อน ไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้า”
พูดจบ ร่างของเด็กหนุ่มก็ค่อยๆ จมหายลงไปใต้พื้นดินอย่างช้าๆ
หลิงเฉินผุดลุกขึ้นจากโขดหินริมบ่อน้ำและพูดว่า “ท่านแม่ ข้าอยู่นี่ ท่านดูสิว่าข้าเจออะไร ข้าไม่รู้ว่าบัวหิมะดอกนี้มันมาขึ้นอยู่หลังโขดหินได้อย่างไร แต่มันสวยงามมากเลยนะเจ้าคะ”
เดิมที ชินหลันซูกำลังคิดจะถามนางอยู่ว่า “มานั่งทำอะไรที่โขดหินตรงนี้?”
แต่เมื่อได้ยินบุตรสาวอธิบาย ดวงตาของผู้เป็นมารดาก็จ้องมองดอกบัวในมือเด็กสาวด้วยความสงสัยเล็กน้อย “นั่นหรือบัวหิมะที่เจ้าว่า?”
หลิงเฉินตอบกลับอย่างฉะฉาน “ดอกบัวที่ขึ้นอยู่กลางกองหิมะ ย่อมต้องเป็นบัวหิมะไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”
ชินหลันซูยังคงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงถาม “แล้วรากของมันอยู่ที่ใด?”
“ข้าดึงมันขาดไปหมดแล้ว”
หลิงเฉินตอบคำถามของมารดาด้วยท่าทางน่ารักน่าชัง
ชินหลันซูพูดอะไรไม่ออก
ช่างมันเถอะ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ อย่าไปสนใจเลย
“กลับเข้าไปที่จวนได้แล้ว มีคนจากวังหลวงอยากพบเจ้า” ชินหลันซูก้มมองบุตรสาวของตนเองและกล่าวต่อ “เปลี่ยนเสื้อผ้าให้มันเรียบร้อยกว่านี้ด้วย ข้ากับบิดาของเจ้าจะไปรออยู่ในห้องโถงใหญ่”
“คนจากวังหลวงหรือเจ้าคะ?”
หลิงเฉินขมวดคิ้วนิ่วหน้าเล็กน้อย “ไม่ทราบว่าเป็นคนของตระกูลหลิงหรือคนของตระกูลเว่ยเจ้าคะ?”
“ทั้งคู่”
ชินหลันซูตอบ
…
มืดค่ำแล้ว
กิจวัตรประจำวันทั่วไปหลังจากพักผ่อนในช่วงเย็น เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดค่ำ หลินเป่ยเฉินก็จะเดินทางไปยังวิหารประจำเมืองเพื่อ ‘ฝึกฝนวิชา’ กับเยว่เว่ยหยาง แต่บัดนี้ เมื่อรู้ตัวว่าตนเองถอนบัวสวรรค์ออกมาเสียหมดบ่อ หลินเป่ยเฉินจึงไม่มีหน้ากลับไปที่วิหารประจำเมืองอีกแล้ว
“ช่างมัน วันนี้เราคงยังกลับไปสู้หน้าไม่ได้ แต่ข้าเป็นถึงเด็กหนุ่มผู้มีความฉลาดเฉลียว มีตำแหน่งใหญ่โต มีรูปโฉมหล่อเหลาและมีความกล้าหาญเปี่ยมล้น วันหน้านางจะไม่ใจอ่อนก็ให้มันรู้ไปสิ”
แต่ถึงจะคิดได้เช่นนี้ หลินเป่ยเฉินก็ยังไม่ได้กลับไปที่หมู่บ้านผู้อพยพ
ในพื้นที่เมืองเขตสาม เขาลอบเข้าไปในหอนางโลม สั่งสุราอาหารมาจัดวางเต็มโต๊ะ รับฟังเสียงดนตรีดื่มกินอย่างสุขอุรา เมื่ออิ่มหนำดีแล้ว เขาก็สั่งเปิดห้องพักชั้นบนและเข้าไปนั่งฝึกฝนวิชาพลังจิตเพียงคนเดียว
หลินเป่ยเฉินนำแผ่นหินแผนภูมิจิตจำแลงออกมาตั้งไว้ตรงหน้า
เกาเฉิงฮั่นกล่าวว่ากว่าที่ตนเองจะฝึกวิชานี้สำเร็จก็ใช้เวลาร่วมเดือน…
มันคงไม่ยากเกินไปหรอกกระมัง
หลินเป่ยเฉินสูดลมหายใจตั้งสมาธิ และเริ่มจดจำกระบวนท่าแรกทางมุมซ้ายบนของแผ่นหิน มันไม่ใช่กระบวนท่าที่ซับซ้อนอะไร เด็กหนุ่มจึงจำได้ดีไม่มีปัญหา
“ง่ายกว่าที่คิดเยอะเลยแฮะ เรานี่มันอัจฉริยะจริงๆ”
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความพอใจ
หลังจากนั้น เขาหลับตาลงและนึกทบทวนกระบวนท่าที่อยู่บนแผ่นหิน
ไม่กี่ลมหายใจต่อมา
หลินเป่ยเฉินก็ลืมตาขึ้นมา สีหน้ามึนงง
เกิดอะไรขึ้น?
เมื่อสักครู่ เขายังจำได้อยู่เลยนี่นา?
แต่ทำไมพอหลับตาลง กระบวนท่าที่อยู่บนแผ่นหินกลับเลอะเลือนถึงเพียงนั้น?
หรือว่าเขาจะหลับตาผิดวิธีกันนะ?
ลองดูอีกครั้งดีกว่า
ครึ่งชั่วยามต่อมา
หลินเป่ยเฉินนั่งกอดอกจ้องมองแผ่นหินวิชาแผนภูมิจิตจำแลงด้วยความพิศวงงงงวย
ดูเหมือนวิชานี้จะฝึกไม่ง่ายอย่างที่คิดแล้วสิ
ทั้งๆ ที่มองแค่แวบเดียวก็จำได้แล้ว
แต่ทำไมภาพจำเหล่านั้นกลับหายไปเมื่อหลับตา
หรือว่าเกาเฉิงฮั่นไม่ยอมบอกเคล็ดลับสำหรับฝึกวิชานี้มาให้เขารู้?
ไม่น่าจะใช่
ไม่มีเหตุผลที่เกาเฉิงฮั่นจะต้องทำเช่นนั้น
หรือว่าจะเป็นเพราะ…
ปัญหาอยู่ที่เขาเอง?
หลินเป่ยเฉินโง่เขลามากเกินไป?
เด็กหนุ่มยกมือลูบหน้าตนเอง
จริงด้วยสินะ
เขามันโง่มากเกินไป
ถ้าไม่มีโทรศัพท์มือถือคอยช่วยเหลือ เขามันก็แค่เศษสวะคนหนึ่งเท่านั้น
น่าอนาถใจจริงๆ
เลิกฝึกดีกว่า
พยายามต่อไปก็เปล่าประโยชน์
หลินเป่ยเฉินเก็บแผ่นหินวิชาแผนภูมิจิตจำแลงและทิ้งตัวลงไปนอนบนพื้นห้อง
แต่แล้วเขาก็ดีดตัวลุกขึ้นมานั่งใหม่
เหอเหอเหอ
คิดจะให้เขายอมแพ้อย่างนั้นหรือ?
ไม่มีทางเสียหรอก
ถ้าเขายอมแพ้ง่ายดายเช่นนี้แล้วจะไปจัดการเว่ยหมิงเฉินได้อย่างไร?
เมื่อสูดหายใจเรียกขวัญกำลังใจกลับคืนมาอีกครั้ง หลินเป่ยเฉินก็พยายามหลับตาลง และจดจำกระบวนท่าแรกบนแผ่นหินให้ได้
เขามีจิตใจที่มุ่งมั่นไม่คิดยอมแพ้
แล้วเวลาก็ผ่านไปอีกหลายชั่วยาม
…
วิหารประจำเมือง
เยว่เว่ยหยางยืนอยู่หน้าประตูวิหารหลัก เงยหน้ามองดวงจันทร์บนท้องฟ้า
ดวงจันทร์ที่ลอยตัวอยู่บนท้องฟ้ากำลังสะท้อนภาพของเด็กหนุ่มคนหนึ่งในความคิดของนาง…
เกิดอะไรขึ้นกับเด็กหนุ่มผู้นั้น?
นี่ก็ดึกมากแล้ว
หรือว่าคืนนี้เขาจะไม่มา?
เยว่เว่ยหยางรู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาเล็กน้อย
นางเฝ้ารอจนดวงจันทร์ลอยตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังไม่มาอยู่ดี
สุดท้าย เด็กสาวก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในวิหาร
ดวงตาของนางจ้องมองอยู่ที่แจกันบนโต๊ะหิน ดอกบัวขาวยังคงงดงามอยู่ในแจกันใบนั้น กลีบของมันเป็นสีขาวราวกับหยกแกะสลัก ดูสวยงามจนเกินกว่าจะเป็นดอกบัวของจริง
“ฮึ คนโกหก”
…
เสียงไก่ขันแว่วมาแต่ไกล
เส้นขอบฟ้าเริ่มปรากฏแสงสว่างรำไร
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่ริมหน้าต่างของห้องพักในหอนางโลม เงาของเขาทาบทับลงไปที่หน้าต่าง สีหน้าเคร่งขรึม บ่งบอกถึงความคิดที่เคร่งเครียด ดวงตาเหม่อลอยเล็กน้อย…
ตลอดค่ำคืนที่ผ่านมา เขายังไม่สามารถจดจำกระบวนท่าแรกของวิชาแผนภูมิจิตจำแลงได้เลยเมื่อหลับตา
หลินเป่ยเฉินทำได้ดีที่สุดเพียงครึ่งกระบวนท่าเท่านั้น
“ไม่น่าเป็นเพราะว่าเราห่วยเองแล้วล่ะ มันจะต้องมีเหตุผลอื่นอธิบายบ้างสิ…”
“หรือว่าการฝึกวิชานี้จะไม่ใช่ทางของเรา?”
“หรือเกาเฉิงฮั่นไม่ยอมบอกว่าวิชานี้ฝึกยากกว่าที่คิด?”
“ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ”
หลินเป่ยเฉินค่อยๆ เหลียวหน้ามองกลับไปยังแผ่นหินที่ตั้งไว้บนโต๊ะกลางห้อง และแล้ว เขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะฝึกวิชานี้ลงไป
เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะดันทุรังฝึกต่อ
เหนื่อยล้ามากเกินไป
น่าอับอายมากเกินไป
น่ารำคาญใจมากเกินไป
ต่อให้โทรศัพท์อัปเกรดอุปกรณ์เสร็จแล้ว เขาก็จะไม่ฝึกวิชานี้เด็ดขาด
เฮอะ
แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ
เขาจะปล่อยให้พลังจิตของตัวเองต่ำเตี้ยอยู่อย่างเดิมไม่ได้
สงสัยต้องกลับไปสู่จุดเริ่มต้น คือหาคัมภีร์พลังจิตวิชาอื่นๆ มาลองฝึกดูบ้าง
หรือว่าจะลองไปคุยกับเยว่เว่ยหยางดูดีนะ…
แต่แล้วหลินเป่ยเฉินก็นึกขึ้นมาได้ว่าวิชาพลังจิตของพวกนักบวช ไม่สามารถนำมาปรับใช้กับการต่อสู้ของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ได้
เกาเฉิงฮั่นบอกว่านอกจากวิชาแผนภูมิจิตจำแลงแล้ว ก็ไม่มีวิชาไหนจะมอบให้แก่เขาอีก
ไป๋ชินหยุนก็ไม่น่าจะพึ่งพาได้เช่นกัน…
ส่วนนักพรตหญิงชินหายหน้าหายตาไปนับเดือน ต่อให้หลินเป่ยเฉินอยากจะขอความช่วยเหลือก็คงทำไม่ได้… เฮ้อ ไม่รู้เลยว่าป่านนี้นางจะไปอยู่ที่ไหน ไม่ได้เจอหน้ากันตั้งนาน หลินเป่ยเฉินรู้สึกคิดถึงนักพรตหญิงชินเหลือเกิน เขาไม่รู้เลยว่าในชีวิตนี้จะได้มีวาสนาพบเจอนางอีกครั้งหรือไม่…
เอาละ ตอนนี้ยังเหลือทางเลือกอะไรอยู่อีกบ้าง?
ถ้าหมดหนทางแล้วจริงๆ สงสัยคงต้องไปรบกวนขอความช่วยเหลือจากเหยียนอิงซะแล้วสิ
เพราะวิชายุทธ์ของพวกชาวทะเล ผู้คนบนแผ่นดินใหญ่ก็สามารถฝึกฝนได้เช่นกัน
วิชาพลังจิตก็คงไม่ต่าง
เหยียนอิงอายุยังน้อย แต่กลับมีพลังสูงล้ำ ถ้าหลินเป่ยเฉินได้เรียนรู้วิชาพลังจิตที่นางฝึกฝน เขากับนางก็จะเป็นคู่หูผู้แข็งแกร่งไร้คู่แข่งเทียบเทียม
เมื่อคิดได้ดังนั้น เด็กหนุ่มก็รีบออกจากหอนางโลม
รุ่งเช้า
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจจะเข้าไปหาเหยียนอิงที่ค่ายพักของชาวทะเลในตอนค่ำ
ว่าแต่ทำไมเขาต้องวางแผนไปหานางตอนค่ำๆ มืดๆ ด้วยนะ?
เอ่อ…
เพราะว่าหลินเป่ยเฉินสามารถอาศัยความมืดอำพรางกายแอบเข้าไปได้ง่ายมากกว่าตอนกลางวันไงล่ะ ไม่ได้มีเหตุผลอื่นแอบแฝงสักหน่อย
เด็กหนุ่มจัดระเบียบความคิดตนเอง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมีความสุข และเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านผู้อพยพพร้อมด้วยรอยยิ้ม
แต่ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าสู่พื้นที่เมืองเขตสอง กงกงผู้มีตำแหน่งเป็นองครักษ์ส่วนตัวของเขากลับปรากฏตัวขึ้นจากกลางอากาศคล้ายกับว่ารอคอยการมาถึงของหลินเป่ยเฉินนานแล้ว “นายท่านขอรับ แม่ทัพเกาเรียกประชุมด่วน ขณะนี้ ท่านแม่ทัพเกากับใต้เท้าหลู่เหวินหยวนกำลังรออยู่ในค่ายที่พักขอรับ…”
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงัก
กงกงรู้ได้อย่างไรว่าเขาอยู่ที่ไหน?
ไอ้หมอนี่เป็นวิญญาณตามติดเขาหรือไงนะ
“มีเรื่องอะไร?”
หลินเป่ยเฉินถามออกไป
กงกงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพว่า “ได้ยินว่ามีคนจากวังหลวงเดินทางมาขอรับ”
คนจากวังหลวงมาที่นี่อย่างนั้น?
แสดงว่ากำลังเสริมคงมาถึงแล้วสินะ?
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
นี่ถือเป็นเรื่องดี
เมื่อมีกำลังเสริมคอยช่วยเหลือ ก็เท่ากับว่านครเจาฮุยปลอดภัยแล้วไม่ใช่หรือ?
หลินเป่ยเฉินขณะนี้มีสถานะไม่ต่างจากแม่ไก่ที่เฝ้ากกไข่อย่างทะนุถนอมมาตลอดระยะเวลานานนับเดือน เขาย่อมไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นในพื้นที่เมืองเขตสองของตนเองอยู่แล้ว
“พวกเขาส่งคนมาถึงหมื่นคนหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถามอย่างมีความสุข
กงกงก้มหน้าตอบว่า “พวกเขาส่งมา 30 คนขอรับ”
“เท่าไหร่นะ?”
หลินเป่ยเฉินนึกว่าตนเองหูฝาด
“พวกเขามากันเพียง 30 คนขอรับ”
กงกงรายงานต่อ “สิบคนเป็นนายทหารระดับสูงจากกองทัพหลวง นอกจากนั้นก็เป็นนายทหารผู้ติดตาม ก่อนหน้านี้ ทุกคนประชุมในตัวเมืองไปแล้วรอบหนึ่ง และจากการสังเกตการณ์ของหน่วยสืบข่าวของเรา ปรากฏว่าพวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อพูดคุยเรื่องกำลังเสริมเลยขอรับ อีกทั้งสถานการณ์ยังไม่สู้ดี พวกของแม่ทัพเกาเฉิงฮั่นร่วมประชุมอย่างเคร่งเครียดกับคนจากวังหลวงเหล่านี้ตลอดทั้งคืนเลยทีเดียว…”