บทที่ 85 วิทยายุทธ์ระดับ 2 ดาว
“ข้าน้อยกับคุณหนูเฉินเอ๋อร์ไม่ได้เป็นอะไรกันหรอกขอรับ” หลินเป่ยเฉินกล่าว “มันไม่ใช่อย่างที่อาจารย์ใหญ่คิด…”
หลิงไท่ซวีแทรกขึ้นทันทีว่า “งั้นเจ้าก็รีบทำให้มันเป็นอย่างที่ข้าคิดเสียทีสิ หลานสาวข้าเป็นคนที่ทั้งเก่งกาจ แล้วก็งดงามที่สุดในเมืองหยุนเมิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น จากประสบการณ์ที่ผ่านมายาวนานของข้า ขอบอกเลยนะว่าอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ เฉินเอ๋อร์จะเติบโตเต็มวัยยิ่งกว่านี้อีกหลายเท่า เมื่อถึงตอนนั้น นางจะครองตำแหน่งหญิงที่งดงามที่สุดในมณฑลเฟิงอวี่ หรืออาจจะงดงามที่สุดในจักรวรรดิเป่ยไห่เสียด้วยซ้ำ เป่ยเฉิน เจ้าจะปล่อยหลานสาวข้าหลุดมือไปไม่ได้เด็ดขาด”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
“นี่ลุงกลัวไม่มีใครแต่งงานกับหลานสาวลุงหรือไง?”
“ข้าน้อยยังเยาว์วัยนัก ไม่มีเวลาสนใจเรื่องความรักหรอกขอรับ” หลินเป่ยเฉินกล่าวตอบ
“เจ้าพูดอะไรของเจ้าเนี่ย?” หลิงไท่ซวีมีสีหน้าเหมือนคนที่ถูกขัดใจ “พวกเจ้าอายุยังน้อย ยิ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่ผ่านมาข้าชื่นชมในตัวเจ้ามาก ทำไมเจ้าต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วย? เดี๋ยวนี้เวลาจะทำอะไรเจ้าก็มีแต่ลังเลและหวาดกลัว ข้าผิดหวังในตัวเจ้าเหลือเกิน”
หลินเป่ยเฉินไม่รู้ว่าควรตอบรับอย่างไร
เขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว
และเขาก็ไม่อยากคุยกับอาจารย์ใหญ่โรคจิตคนนี้อีกต่อไปเช่นกัน
“อาจารย์ใหญ่ขอรับ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าน้อยคงต้องขอตัวก่อน”
เด็กหนุ่มกำลังจะเอื้อมมือไปที่ประตูห้อง
หลิงไท่ซวีพลันยกมือขึ้นดีดนิ้วอย่างมีความสุข
เปรี๊ยะ
บริเวณกรอบประตูปรากฏลำแสงสว่างวาบ แล้วม่านพลังสายหนึ่งก็ห่อหุ้มประตูทั้งบาน ทำให้หลินเป่ยเฉินไม่สามารถเปิดประตูกลับออกไปได้อีก
“เจ้าจะรีบไปไหน?”
หลิงไท่ซวีแสยะยิ้ม รินเครื่องดื่มสีแดงใส่แก้วอีกครั้ง จากนั้นจึงกล่าวต่ออย่างเชื่องช้า “ต่อให้เจ้าจะเข้าสู่รอบสุดท้ายของการค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองได้ก็ตาม แต่เจ้าคิดหรือว่าจะปลอดภัยไร้กังวล ข้าจะบอกให้นะ ตอนนี้เจ้าเจอปัญหาใหญ่เข้าเสียแล้ว”
หลินเป่ยเฉินพยายามเขย่าประตู แต่ก็พบว่าไม่มีประโยชน์ จึงจำใจต้องหันหน้ากลับไปถามอาจารย์ใหญ่ว่า “ปัญหาใหญ่หรือขอรับ?”
หลิงไท่ซวีพยักหน้า “เจ้ารู้จักเมืองไป๋หยุนหรือไม่?”
“รู้จักขอรับ” หลินเป่ยเฉินตอบ
ตามประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า จักรวรรดิเป่ยไห่เป็นสถานที่ๆ มีมือกระบี่มากมายกระจายตัวอยู่ทั่วทุกดินแดน
ด้วยเหตุนี้ จึงมีสถานศึกษาสำหรับมือกระบี่ระดับเยาวชน ระดับผู้เยี่ยมยุทธ์ ไปจนถึงระดับปรมาจารย์ ก่อตั้งอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ๆ เพื่อสร้างมือกระบี่รุ่นใหม่ให้แก่จักรวรรดิไม่ขาดแคลน และในจักรวรรดิแห่งนี้ ก็มีอยู่สามเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตมือกระบี่ชั้นเลิศมาหลายยุคสมัย
และทั้งสามเมืองนั้นก็คือเมืองไป๋หยุน เมืองหนงเจี้ยน และเมืองเสี่ยวเจี๋ย
ทั้งสามเมืองนี้ เมืองไป๋หยุนมีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุด
ผู้ก่อตั้งเมืองคือเซียนกระบี่ฉู่เถียนโกว ผู้เป็นศิษย์พี่ของหลี่เจี้ยนซิน ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งจักรวรรดิเป่ยไห่ พวกเขาทั้งสองคนต่างก็เป็นยอดฝีมือที่มาจากนอกดินแดนตงเต้า และด้วยความที่สนิทสนมกันเป็นอย่างดี เมืองไป๋หยุนจึงคอยทำหน้าที่เป็นเหมือนหน่วยลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยให้แก่จักรวรรดิเป่ยไห่ตลอดมา
ไม่มีใครไม่เคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้
เนื้อหาส่วนใหญ่สามารถพบได้ตามตำราเรียนในสถานศึกษาระดับเยาวชนตามเมืองใหญ่ๆ ทั่วไป
มือกระบี่ที่มาจากเมืองไป๋หยุนส่วนมาก มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วจักรวรรดิ และมักจะเข้ารับบรรจุเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่หรือไม่ก็สังกัดอยู่ตามหน่วยงานทางการเมืองที่ทรงอำนาจ
ตัวอย่างเช่น อัครมหาเสนาบดีคนปัจจุบันของจักรวรรดิเป่ยไห่ นามว่าโจวหลูอี้ ก็มีสถานะเป็นหนึ่งในเจ็ดยอดมือกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุน
เมื่อมาอยู่ในจักรวรรดิเป่ยไห่ เหล่าผู้มีอำนาจจากเมืองไป๋หยุน ก็มีสถานะไม่ต่างจากเชื้อพระวงศ์ผู้ครองเมืองเลยทีเดียว
ว่ากันว่าบรรดาขุนนางชั้นสูงและเหล่าเชื้อพระวงศ์จะส่งทายาทของตนเองไปที่เมืองไป๋หยุนเพื่อฝึกฝนวิทยายุทธ์ทุกปี
“แล้วเมืองไป๋หยุนเกี่ยวอะไรกับข้าน้อยหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย
หลิงไท่ซวีนิ่งคิดอยู่นาน ก่อนตอบว่า “คู่หมั้นของเฉินเอ๋อร์มีนามว่าเว่ยหมิงเฉิน เขาคือมือกระบี่อัจฉริยะยุคใหม่ของเมืองไป๋หยุน ทั้งสองคนถูกหมั้นหมายตั้งแต่ที่ต่างฝ่ายต่างยังไม่เกิด พูดตามตรงก็คือ เว่ยหมิงเฉินเป็นคนที่มีประวัติความเป็นมาค่อนข้างน่ากลัวมาก…”
หลินเป่ยเฉินยืนตัวแข็งทื่อ
ถูกจับหมั้นกันตั้งแต่ยังไม่เกิดอย่างนั้นหรือ?
หลิงเฉินมีคู่หมั้นแล้วใช่ไหม?
ช่างเป็นข่าวดีอะไรอย่างนี้!
เด็กหนุ่มยกมือแตะคาง ทำหน้าเหมือนใช้ความคิด “น่ากลัวอย่างไรหรือขอรับ?”
“ข้าจะเล่าให้ฟัง นอกจากเว่ยหมิงเฉินจะมีวิทยายุทธ์เป็นเลิศแล้ว เขายังมีชาติกำเนิดที่สูงส่ง ถูกวางตัวให้เป็นหนึ่งในเจ็ดยอดมือกระบี่ประจำเมืองตั้งแต่อายุยังน้อย อาจารย์ของเขามีนามว่าไป๋ไห่ชิน เป็นหนึ่งในสามมือกระบี่ที่โด่งดังที่สุดของเมืองไป๋หยุน ณ ปัจจุบัน ยังไม่นับอาจารย์ปู่เซินจือเฟยที่ก็มีสถานะเป็นหนึ่งในเจ็ดยอดมือกระบี่ประจำเมืองนั่นอีก เขามีอำนาจไม่ต่างจากอัครมหาเสนาบดีโจวหลูอี้ของพวกเรา”
“แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ บิดาของเว่ยหมิงเฉินมีนามว่าเว่ยซวง ปัจจุบันดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีประจำมณฑลเฉียนเกา ด้วยเหตุนี้ ต่อให้บิดาของเจ้ายังกินตำแหน่งนักรบสวรรค์อยู่ดังเดิม แต่ก็ยังสู้ความใหญ่โตของตำแหน่งบิดาเขาไม่ได้อยู่ดี”
หลิงไท่ซวีพูดจบก็คอยสังเกตสีหน้าของหลินเป่ยเฉิน
เมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์ใหญ่ สีหน้าของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว
หลินเป่ยเฉินสอบถามว่า “ในเมื่อเว่ยหมิงเฉินได้ชื่อว่าเป็นยอดอัจฉริยะประจำเมืองไป๋หยุน เขาคงไม่ใช่คนจิตใจคับแคบหรอกกระมัง?”
หลิงไท่ซวียิ้มฝืดหลังยกแก้วสุราขึ้นจิบ “ตรงข้ามเลยต่างหาก เจ้าเด็กคนนี้จิตใจคับแคบยิ่งกว่าอะไรดี เคยมีข่าวลือว่าแค่มีคนเดินไปยืนบังแดดตอนเขากำลังดูดซับพลังปราณยุทธ์จากดวงอาทิตย์ เว่ยหมิงเฉินก็ถึงกับตามล่าบุคคลผู้นั้น 10 วัน 10 คืน เมื่อเจอตัวแล้วก็จัดการหักแขนขา และทำลายวรยุทธ์ของฝ่ายตรงข้ามทิ้งไปด้วยความโหดร้ายยิ่ง…”
“ว่าแล้วเชียว” หลินเป่ยเฉินยกมือเกาหัวแกรกๆ “ทำไมฉันมันซวยขนาดนี้วะเนี่ย?”
ยิ่งเห็นหลินเป่ยเฉินมีสีหน้าไม่สู้ดีมากเท่าไหร่ หลิงไท่ซวีก็ยิ่งยิ้มอย่างมีความสุขมากเท่านั้น “อีกอย่างนะ เว่ยหมิงเฉินไม่เคยระงับโทสะของตนเองได้เลยสักครั้ง เพียงได้ยินอะไรไม่ถูกใจนิดหน่อย ก็พร้อมอาละวาดได้เลยทันที ถ้าเกิดเขาได้รู้เรื่องราวระหว่างเจ้ากับเฉินเอ๋อร์เข้าล่ะก็…”
หลินเป่ยเฉินบดกรามกรอดจนรู้สึกเจ็บฟันไปหมดแล้ว
หลิงไท่ซวีพูดความจริงทุกประการ
หากเรื่องราวความสัมพันธ์ของหลินเป่ยเฉินกับหลิงเฉินลอยไปถึงหูเว่ยหมิงเฉินเมื่อไหร่ ต่อให้อธิบายอย่างไร เว่ยหมิงเฉินก็คงไม่มีทางรับฟังเจ้าแกะดำอย่างเขาอีกแล้ว ซ้ำยิ่งจะเป็นการเพิ่มไฟแค้นให้ร้อนแรงมากขึ้นอีกต่างหาก
“แต่เจ้าอย่ากลัวไปเลย ข้าอยู่ข้างเจ้าทั้งคน เราอยู่ในยุคสมัยที่จะมากดขี่กันเรื่องความรักไม่ได้อีกแล้ว นี่ไม่ใช่ยุคที่เราจะมาจับคลุมถุงชนกันอีกต่อไป อาจารย์ใหญ่ขอสนับสนุนให้เจ้าครองรักกับเฉินเอ๋อร์เต็มที่” หลิงไท่ซวีพูดจบก็ล้วงคัมภีร์ออกมาจากกระเป๋าชุดนอนหลายเล่ม จากนั้น ก็ใช้คัมภีร์เหล่านั้นโบกสะบัดเหมือนพัดในมือ
หลินเป่ยเฉินมองเห็นว่าบนหน้าปกคัมภีร์มีตัวอักษรสีทองเป็นประกายโดดเด่นสะดุดตา พอจะอ่านชื่อได้บางเล่มว่าเป็นคัมภีร์กระบี่แสงตะวัน คัมภีร์กระบี่จันทร์วารี และคัมภีร์สลายวิญญาณ …จึงคาดเดาได้ไม่ยากว่านี่จะต้องเป็นบรรดาคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ที่มีค่าไม่น้อย
“คัมภีร์พวกนี้ ข้าคัดเลือกมาให้เจ้าโดยเฉพาะ มันจะช่วยสำหรับฝึกวิชากระบี่ ยกระดับวิชาตัวเบา เพิ่มความแข็งแกร่งของพลังลมปราณ” หลิงไท่ซวีกล่าว “ตราบใดที่เจ้าพยายามฝึกฝนอย่างหนัก รับรองว่าอีกไม่เกิน 20 ปี เจ้าจะต้องสู้กับเว่ยหมิงเฉินได้แน่นอน”
“ใช้เวลาฝึก 20 ปีเลยเหรอ? ฝันไปเถอะ”
ความตั้งใจหนึ่งเดียวในตอนนี้ของหลินเป่ยเฉินคือหาวิธีกลับโลกมนุษย์ให้ได้ เพราะฉะนั้น เด็กหนุ่มจึงไม่สนใจฝึกวิชาที่ต้องเสียเวลาเรียนรู้ตั้ง 20 ปีแน่นอน
“สังเกตจากตอนที่เจ้าเลือกคัมภีร์ที่เป็นของรางวัลตอนสอบกลางภาค เจ้าคงเลือกคัมภีร์ได้ไม่เก่งสักเท่าไหร่ ดังนั้น ข้าจึงเลือกมาให้เจ้าแล้ว” หลิงไท่ซวีเก็บคัมภีร์ในมือกลับเข้ากระเป๋าตามเดิม เหลือไว้เพียงสองเล่มเท่านั้น แล้วเขาก็ส่งคัมภีร์ทั้งสองเล่มนั้นมาให้หลินเป่ยเฉิน “นี่คือคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ที่ข้าคิดค้นขึ้นมาด้วยตัวเอง เล่มแรกเอาไว้ให้เจ้าฝึกวิชากระบี่ เล่มที่สองเอาไว้ให้เจ้าฝึกวิชาตัวเบา”
หลินเป่ยเฉินรับคัมภีร์มาดู
คัมภีร์ฝึกวิทยายุทธทั้งสองเล่มนั้น มีชื่อว่า คัมภีร์กระบี่รักนิรันดร์ และ คัมภีร์ย่องหาโฉมสะคราญ
ทำไมถึงได้ตั้งชื่อชวนขนลุกขนาดนี้เนี่ย?
เด็กหนุ่มเปิดดูเนื้อหาด้านในคัมภีร์กระบี่รักนิรันดร์ เมื่ออ่านคำแนะนำจบแล้ว ก็ต้องเงยหน้าขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ “นะ…นี่เป็นคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ระดับ 2 ดาวเลยหรือขอรับ?”