ตอนที่ 838 กลีบดอกไม้โปรยปราย
ณ ค่ายที่พักของชาวทะเล
ภายในกระโจมหลังใหญ่ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม
เหยียนอิง เด็กสาวผู้นั่งอยู่บนรถเข็นกำลังอ่านตำราในมือภายใต้แสงไฟสว่างไสว
ท้องฟ้าด้านนอกขมุกขมัว
นักบวชหรงมีใบหน้าเศร้าหมอง พูดออกมาอย่างขมขื่นว่า “องค์หญิงเพคะ บัดนี้มีคำสั่งมาจากวังบาดาลและวิหารใต้สมุทร อัครเสนาบดีกุ้ยและนักบวชเซวียน ต่างหวังว่าองค์หญิงจะสามารถแก้ไขความผิดพลาดและมอบคำอธิบายว่าเพราะเหตุใดจอมเวทย์มนุษย์เงือกจึงเสียชีวิตถึงสามราย และแม่ทัพใหญ่ของพวกเราก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นจำนวนมาก… องค์หญิงไม่คิดจะจัดการเรื่องราวเหล่านี้จริงๆ หรือเพคะ?”
เด็กสาวตอบคำถามโดยไม่เงยหน้าจากตำราในมือ “ยังจะต้องให้ข้าอธิบายอะไรอีก? ข้าก็บอกไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ? บุคคลที่ลงมือคือหลินเป่ยเฉิน เขามีพลังอยู่ในขั้นเซียน ระดับพลังของเขาไม่ใช่สิ่งที่นายทหารทั่วไปจะรับมือได้ นี่ต้องเรียกว่าเป็นความผิดพลาดของทางวิหารใต้สมุทรมากกว่า พวกเขาไม่เห็นแจ้งข้อมูลเลยว่าหลินเป่ยเฉินมีฝีมือแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ แล้วยังจะโทษว่าเป็นความผิดของข้าอีกได้อย่างไร? อย่าลืมสิว่าข้าเป็นคนออกไปต่อสู้และทำให้หลินเป่ยเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องรีบหลบหนีไป แต่พวกเขากลับกล่าวหาว่าข้าเป็นคนผิดอย่างนั้นหรือ? ช่างน่าขันสิ้นดี”
นักบวชหรงพูดอะไรไม่ออก
องค์หญิงกำลังทำเหมือนทุกคนเป็นบุคคลโง่เขลาเบาปัญญา
กองทัพชาวทะเลที่ยกพลบุกมาโจมตีนครเจาฮุยในครั้งนี้มียอดฝีมือระดับเซียนอยู่ถึงสองคน
นอกจากจะปล่อยให้หลินเป่ยเฉินลอบเข้ามาโจมตีและสร้างความเสียหายถึงในค่ายที่พักได้สำเร็จ
การทะลวงกำแพงเมืองซึ่งควรจะทำได้สำเร็จนานแล้ว กลับหยุดชะงักมาหลายวัน และไม่มีการบุกโจมตีกำแพงเมืองนครเจาฮุยอีกเลยสักครั้งเดียว
ทั้งที่หากพยายามอีกสักนิดก็จะสามารถตีกำแพงเมืองแตกสลายได้แล้วแท้ๆ
นี่จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง
“องค์หญิงเพคะ ทางวังบาดาลและวิหารใต้สมุทรยังได้ส่งข้อความมาอีกว่า พวกเราสมควรยึดครองนครเจาฮุยให้ได้ในอีกครึ่งเดือนนับจากนี้…”
นักบวชหรงพยายามเร่งเร้าเหยียนอิง
หญิงชรารู้สึกว่าตนเองเป็นเสมือนคนกลางที่ถูกทั้งสองฝ่ายเกลียดชังมากพอๆ กัน
ไม่ว่าจะอยู่ในจุดไหน นางก็ไม่กล้าพูดจามากความโดยไม่จำเป็น
ชีวิตของนักบวชหรงในทุกวันนี้ อาศัยอยู่พร้อมกับความตื่นตระหนกตลอดเวลา
“ครึ่งเดือนจะไปยึดสำเร็จได้อย่างไร บอกให้พวกเขาหยุดฝันเฟื่องได้แล้ว…”
เหยียนอิงก้มหน้าก้มตาอ่านตำรา ตอบกลับมาเสียงเยือกเย็น
นักบวชหรงพูดอะไรไม่ออก
นางกัดฟันกรอดและกล่าว “องค์หญิงเพคะ ข้าน้อยได้ข่าวจากทางวิหารใต้สมุทรว่า นักบวชเซวียนกับนักบวชหลันตัดสินใจเข้าร่วมการสนับสนุนองค์ชายฉียื่นคำร้องต่อศาลสมุทรให้ถอดถอนองค์หญิงออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการรบแล้วนะเพคะ หากองค์หญิงยังปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ องค์ชายฉีก็คงถอดถอนองค์หญิงได้สำเร็จเป็นแน่ เมื่อถึงเวลานั้น…”
“ช่างโง่เขลากันเสียจริง”
เหยียนอิงยกมือขึ้นแตะขมับอย่างใช้ความคิดพลางพูดว่า “พวกเขาคิดอะไรเพียงตื้นเขิน อยากได้อำนาจมากเกินไป จนไม่รู้เลยว่าสิ่งใดควรทำและสิ่งใดไม่สมควรทำ…”
หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อย เด็กสาวก็เงยหน้าขึ้นและหันกลับมาจ้องมองหญิงชราพร้อมกับถามว่า “นักบวชหรง ในบรรดาหกนักบวชสูงสุดของวิหารใต้สมุทร นักบวชเว่ยกับนักบวชเฉิงหายตัวไปนานหลายสิบปี ส่วนนักบวชเซวียนกับนักบวชหลันก็เลือกที่จะสนับสนุนองค์ชายฉี ทางด้านนักบวชหนิงนั้นสนับสนุนข้าอยู่เสมอ เหลือแต่ท่านคนเดียวเท่านั้น? ไม่ทราบว่าท่านเลือกที่จะสนับสนุนฝ่ายใดกันแน่?”
นักบวชหรงไม่รู้เลยว่าตนเองสมควรตอบอย่างไรดี
นางนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็ต้องตอบออกมาว่า “ชีวิตของข้าอุทิศให้แก่เทพเจ้าแห่งท้องทะเล เพราะฉะนั้น ข้าจะปล่อยให้ท่านเทพเจ้าเป็นผู้ตัดสินใจแทนเพคะ”
“หึหึ…” เหยียนอิงยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนพูด “ท่านคงเลือกอยู่ข้างผู้ชนะสินะ”
นักบวชหรงไม่ตอบคำใด
เนื่องจากความพ่ายแพ้ที่นางมีต่อหลินเป่ยเฉินในเมืองหยุนเมิ่งเมื่อคราวก่อน ภาพลักษณ์ของนักบวชหรงจึงพังทลายย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี บัดนี้ หญิงชราจึงไม่อยากเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับศึกชิงบัลลังก์ภายในวังบาดาลอีกแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นนักบวชหลันหรือนักบวชเซวียนต่างก็เป็นผู้มีอำนาจด้วยกันทั้งคู่ ส่วนนักบวชหนิงมีสถานการณ์ย่ำแย่เป็นทุนเดิม หากนางตัดสินใจเป็นพวกเดียวกับนักบวชหนิง นักบวชหรงก็รู้ดีว่าตนเองคงไม่สามารถรับมือกับฝ่ายตรงข้ามที่แข็งแกร่งอย่างพวกของนักบวชหลันได้แน่นอน
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การบุกโจมตีมณฑลเฟิงอวี่ขององค์หญิงเหยียนอิง มีบางอย่างผิดปกติมากเกินไป
แผนการรบที่ทางวังบาดาลและวิหารใต้สมุทรวางเอาไว้ก็คือ พวกเขาจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้สามารถครอบครองมณฑลเฟิงอวี่ได้โดยเร็วที่สุด
แต่ในเมื่อองค์หญิงเหยียนอิงไม่ยอมบุกโจมตีเสียที อีกไม่นานก็คงถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งเป็นแน่แท้
นักบวชหรงย่อมไม่อยากติดร่างแหได้รับความเดือดร้อนไปพร้อมกับเด็กสาวบนรถเข็นผู้นี้
“ออกไปซะ”
ดวงตาของเหยียนอิงเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความขุ่นเคืองใจ แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้ลงมือทำอะไร
นักบวชหรงหมุนตัวเดินออกไป
ในกระโจมอันกว้างใหญ่หลงเหลือเพียงความเงียบสงัด
เหยียนอิงวางตำราลงบนตักของตนเอง ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“สิ่งที่เราต้องการที่สุดในตอนนี้คือเวลา ขอเวลาอีกเพียงเดือนเดียวเท่านั้น รับรองว่าเราต้องยึดครองทั้งมณฑลได้แน่นอน แต่น่าเสียดายที่…”
เด็กสาวยกมือขึ้นแตะขมับตนเองอย่างใช้ความคิด
หากนางไม่ตกปากรับคำร่วมมือกับหลินเป่ยเฉิน บางทีแผนการเดิมอาจดำเนินไปอย่างราบรื่นมากแล้ว
แต่ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากหลินเป่ยเฉิน เหยียนอิงก็ไม่รู้เลยว่าตนเองจะสามารถกำจัดพวกขุนนางระดับสูงของฝ่ายมนุษย์ได้รวดเร็วขนาดนี้หรือไม่
อย่างเช่นเหลียงหยวนเตาเป็นต้น
แล้วจะทำอย่างไรต่อไปดีนะ?
เหยียนอิงใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง
แต่ในทันใดนั้นเอง เด็กสาวก็ได้กลิ่นแปลกประหลาดในอากาศ
นางรีบปิดประสาทการรับกลิ่นของตนเอง ก่อนโคจรพลังลมปราณทั่วร่างกาย เลื่อนมือซ้ายกดไว้บนวงแหวนที่สวมใส่อยู่บนนิ้วกลางของมือขวา
หลังจากนั้น ดวงตาของเหยียนอิงก็ต้องหรี่ลงเล็กน้อย เมื่อพบว่าบนพื้นดินขณะนี้มีดอกบัวขาวดอกหนึ่งโผล่พ้นขึ้นมาไหวเอนหยอกล้อกับแสงสว่างในกระโจมที่พัก กลิ่นแปลกประหลาดที่นางสัมผัสได้เมื่อสักครู่ ก็คือกลิ่นอันหอมหวนของดอกบัวขาวดอกนี้นี่เอง…
มันเป็นดอกบัวขาวที่สวยงามและบริสุทธิ์ ราวกับเป็นหยกแกะสลักก็ไม่ปาน
เด็กสาวบนรถเข็นโบกมือวูบ
เกิดเป็นคลื่นพลังที่มองไม่เห็นพุ่งออกไป
พรึบ!
ดอกบัวขาวระเบิดกระจาย
กลีบดอกบัวโปรยปรายในอากาศ
“เชี่ย… แม่ร่วง…”
หลินเป่ยเฉินซึ่งเพิ่งจะยื่นศีรษะขึ้นมาจากพื้นดินต้องสบถออกมาด้วยความตกใจ
นี่มันอะไรกันครับเนี่ย?
มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า?
เขายังไม่ทันได้ร่ายกลอนมัดใจเหยียนอิงเลยนะ
แล้วทำไมดอกบัวขาวถึงระเบิดไปเสียแล้ว?
ไม่เหมือนที่คิดเอาไว้เลยสักนิด