ตอนที่ 840 ผู้ช่วยสาวสุดสวยของหลิงไท่ซวี
ท้องฟ้าใสกระจ่าง
เกล็ดหิมะโปรยปรายในแสงตะวัน
อากาศหนาวเย็น หยดน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง
ทันทีที่หลินเป่ยเฉินกลับมาถึงหมู่บ้านผู้อพยพ เฉียนเหมยผู้แอบมายืนรออยู่หน้าประตูเมื่อเห็นหน้าเด็กหนุ่มดวงตาก็ลุกวาวรีบวิ่งเข้ามาหาเขาทันที
“นายท่านเจ้าคะ มีสตรีผู้งดงามนางหนึ่งมารอพบนายท่านอยู่ในค่ายที่พักเจ้าค่ะ”
สตรีผู้งดงาม?
หลินเป่ยเฉินนึกชื่อหญิงสาวขึ้นมาได้หลายสิบคนขณะถามว่า “มีสตรีผู้งดงามมาตามหาข้า มันก็ถือเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ? เจ้าจะตื่นเต้นอะไรนักหนา?”
เฉียนเหมยยกมือป้องปากแอบกระซิบข้างหูเขาว่า “นายท่านเจ้าคะ ข้าน้อยไม่เคยเห็นพี่สาวท่านนี้มาก่อน นี่นายท่านจะออกไปหาเศษหาเลยถึงนอกหมู่บ้านเชียวหรือเจ้าคะ ข้าน้อยยังอยู่ที่นี่ทั้งคน ยินดีรับใช้นายท่านตลอดเวลา นายท่านแอบไปมีคนอื่นได้อย่างไร?”
เพี๊ยะ!
หลินเป่ยเฉินตวัดมือฟาดก้นเฉียนเหมยป้าบเข้าให้
ก่อนพูดว่า
“สำหรับเจ้า ข้าเป็นเจ้านายอย่างไร? ข้าดูบ้ากามขนาดนั้นเลยหรือ? แบบนี้ต้องสั่งสอน”
หลินเป่ยเฉินพูดต่อขณะเฉียนเหมยส่งเสียงร้องครางด้วยความเขินอาย “หรือว่าจิตใจของเจ้าว้าวุ่นมากเกินไป?”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ นายท่าน จิตใจของข้าน้อยว้าวุ่นเหลือเกิน…ข้าน้อยอยากไปประจำการอยู่ที่กำแพงเมืองแล้ว”
ดวงตาของสาวรับใช้มีน้ำตาคลอเต็มสองเบ้า นางโอบแขนกอดรัดหลินเป่ยเฉินแนบแน่น พยายามใช้อกภูเขาไฟของนางบดเบียดกับต้นแขนของเขา “หรือถ้าปล่อยไปที่กำแพงเมืองไม่ได้ นายท่านให้ข้าน้อยเข้าไปในค่ายอาคมปราบปีศาจก็ได้เจ้าค่ะ บัดนี้ ข้าน้อยรู้สึกว่าระดับพลังของตนเองตกต่ำลงมามากมายนัก”
หลินเป่ยเฉินรีบสะบัดหนีออกมาจากการกอดรัดของเฉียนเหมยและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ไม่ได้ เจ้าต้องอยู่ที่นี่ ห้ามหนีไปไหนเด็ดขาด เจ้าต้องหัดเรียนรู้วิธีการปรนนิบัติข้าจากเฉียนเจินเสียบ้าง จิตใจของเจ้าจะได้ไม่ฟุ้งซ่านเช่นนี้อีก”
“ฮึ”
เฉียนเหมยคว้าแขนเด็กหนุ่มกลับไปกอดอีกครั้ง คราวนี้นางกอดแขนเขาแนบแน่นมากกว่าเดิม “นายท่านเจ้าคะ ข้าน้อยอยากรับใช้นายท่านอยู่แล้ว… แต่เป็นนายท่านเองนั่นแหละที่จงใจไม่ยอมใช้งานข้าน้อย ไม่ว่าจะเป็นเฉียนเหมยหรือเฉียนเจิน พวกเราต่างพร้อมรับใช้นายท่านด้วยกันทั้งคู่ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าแทนที่นายท่านจะชื่นชมดอกไม้ในเรือนนอน นายท่านกลับไปชื่นชมดอกไม้ป่าข้างทางเสียอย่างนั้น”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
นี่นางคิดว่าวิธีปรนนิบัติเขามีเพียงเรื่องนั้นอย่างเดียวเท่านั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินจะอธิบายอย่างไรดีนะว่าเขามันก็แค่เด็กหนุ่มที่ไม่ประสีประสาเรื่องผู้หญิงคนหนึ่ง
“นายท่านเจ้าคะ นายท่านใจร้ายเหลือเกิน นายท่านชอบยั่วให้อยากแล้วจากไป… ข้าน้อยกับเฉียนเจินโกรธแค้นนายท่านเหลือเกิน”
เฉียนเหมยพูดอย่างแง่งอน
หลินเป่ยเฉินได้แต่กะพริบตาปริบๆ
ชอบยั่วให้อยากแล้วจากไป?
กล่าวหากันรุนแรงเหมือนกันนะนี่
หลินเป่ยเฉินไม่สามารถโต้แย้งอะไรเฉียนเหมยได้เลย เขาจึงต้องปล่อยให้นางกอดแขนพาเดินกลับกระโจมที่พักพลางคิดว่า “ดูเหมือนหลังจากนี้ เราคงต้องหาอะไรสักอย่างให้นางทำแล้วสิ ไม่งั้นได้วุ่นวายกันแหงๆ…”
และเมื่อพวกเขากลับมาถึงกระโจมที่พัก
“คนรับใช้ของผู้อาวุโสหลิงนามว่าหยุนเหนียงกำลังรอคอยนายท่านอยู่ด้านในกระโจมเจ้าค่ะ”
เฉียนเจินรีบเดินออกมากระซิบกระซาบด้วยความเร็วไว
ปรากฏว่าสาวรับใช้ผู้อ่อนหวานและเรียบง่ายคนนี้กลับสามารถพึ่งพาได้มากกว่าเฉียนเหมยผู้บ้าระห่ำหลายเท่า
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วใช้ความคิด
เขาจำได้ดีว่าตนเองเคยประทับใจในใบหน้าอันงดงามของหญิงสาวผู้มีนามว่าหยุนเหนียงผู้นี้มากมายขนาดไหน และต้องไม่ลืมว่าสำหรับสตรีที่จะมาอยู่ในความทรงจำของเขาได้นั้น นางต้องไม่ใช่สตรีทั่วไปเด็ดขาด…
ภาพของแม่นางหยุนในความทรงจำของหลินเป่ยเฉินก็คือ นางเป็นสตรีที่สวมใส่ชุดสีแดง อดีตเคยเป็นนางคณิกาในหอนางโลม แต่กลับมีระดับพลังไม่ต่ำต้อย
โดยเฉพาะทักษะการใช้กระบี่…
สงสัยหลิงไท่ซวีคงส่งนางมาเชิญเขาไปร่ำสุราด้วยกันแน่ๆ
หลินเป่ยเฉินแอบคิดอยู่ในใจ
เขาเดินเข้าไปในกระโจมที่พักบนยอดไม้
“คุณชายหลิน ข้าน้อยทำความเคารพ”
หยุนเหนียงในชุดเสื้อคลุมสีแดงประสานมือทำความเคารพหลินเป่ยเฉินอย่างอ่อนช้อย
นางเป็นหญิงสาววัย 25 – 26 ปี เปรียบดั่งผลไม้ที่กำลังสุกงอมได้ที่ เสื้อคลุมสีแดงที่สวมใส่อย่างหลวมๆ นั้นยิ่งขับเน้นให้เห็นถึงเรือนร่างอรชร เว้าตรงที่ควรเว้า โค้งตรงที่ควรโค้ง บนศีรษะคาดรัดเกล้าอวดหน้าผากขาวเนียน เส้นผมสีดำขลับยาวสลวย ดวงตาเป็นประกายดั่งดวงดารา จมูกโด่ง ริมฝีปากอวบอิ่มมีเสน่ห์ดึงดูดใจให้ชวนมอง
นับเป็นสตรีที่งดงามอย่างหาตัวจับยากผู้หนึ่ง
“ตามสบายขอรับ” หลินเป่ยเฉินพยักหน้าตอบกลับไป “รบกวนพี่หยุนเหนียงรอสักครู่ ข้าขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน”
หลังจากนั้นไม่นาน
หลินเป่ยเฉินก็ขี่ม้าเขาวออกจากค่ายผู้อพยพ โดยที่มีหยุนเหนียงโดยสารอยู่ในรถม้านั่งตามมาทางด้านหลัง
ครึ่งชั่วยามต่อมา พวกเขาก็มาถึงหนึ่งในหอนางโลมที่ดังที่สุดในพื้นที่เขตสี่ของนครเจาฮุย มันมีชื่อว่าหอนางโลมเฟ่ยซิง เมื่ออาชาและรถม้าจอดรออยู่ด้านนอก ผู้คนก็เดินเข้าไปด้านใน
การมาถึงของเด็กหนุ่มและหญิงสาวเตะตาผู้คนจำนวนมาก
หลายคนถึงกับบันทึกเหตุการณ์นี้เก็บไว้ในศิลาบันทึกภาพเสียด้วยซ้ำ
ผ่านไปอึดใจใหญ่
หนึ่งชั่วยามต่อมา หลินเป่ยเฉินก็กระโดดขึ้นหลังม้าควบขี่จากไป
…
ครึ่งชั่วยามต่อมา
จวนสกุลหลิง
“ท่านพ่อ เจ้าเด็กคนนั้นรับราชโองการไปจริงๆ หรือขอรับ?”
หลิงจุนเซวียนถามหลิงไท่ซวีผู้เป็นบิดาซึ่งเดินกลับมาด้วยสภาพเมามาย น้ำเสียงร้อนรน
หลิงไท่ซวียกไหสุราขึ้นดื่มและตอบหน้าตาเฉยว่า “ลูกเต่าน้อยตัวนั้นหมดหวังแล้ว เจ้าทำใจเสียเถิด”
นี่ท่านพ่อจะไม่สนใจเรื่องการรับราชโองการสักนิดเลยหรือ?
หลิงจุนเซวียนกับชินหลันซูหันมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
พวกเขาต่างคิดว่าท่านผู้เฒ่าน่าจะปรากฏตัวออกมาเพื่อช่วยเหลือเด็กหนุ่ม แต่เหตุการณ์หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
“เด็กคนนี้หลงรักเฉินเอ๋อร์มากเกินไป แม้แต่ข้าก็เปลี่ยนใจเขาไม่ได้อีกแล้ว” หลิงไท่ซวีพูดด้วยน้ำเสียงตื้นตันใจ “น่าเสียดายนักที่เขาไม่ได้มาเป็นเขยในตระกูลเรา เด็กหนุ่มที่มีจิตใจหนักแน่นเช่นนี้นับว่าหาได้ยากยิ่ง คิดดูสิว่าหลินเป่ยเฉินถึงกับยอมรับมลทินแทนตระกูลหลิง เพื่อปกป้องไม่ให้ชื่อเสียงของเฉินเอ๋อร์ต้องแปดเปื้อน สำหรับบุคคลเช่นนี้… เฮ้อ ปล่อยเขาไปเถอะ ไม่มีผู้ใดจะหยุดยั้งเขาได้อีกแล้ว”
“นี่เขา… มีความรู้สึกลึกซึ้งถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
ชินหลันซูอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
นางหันกลับไปมองหน้าสามีของตนเอง
ฝ่ายหลังขมวดคิ้ว
แน่นอนว่าหลิงจุนเซวียนกำลังนึกถึงตนเองในอดีต
เพื่อให้ได้ครองรักกับสตรีผู้เป็นเจ้าของหัวใจ หลิงจุนเซวียนถึงกับยอมเสียสละตำแหน่งประมุขตระกูลหลิงคนต่อไป และถูกเนรเทศมาอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ ห่างไกลความเจริญ
มีบิดามารดาที่ไหนบ้างไม่อยากให้บุตรสาวของตนเองแต่งงานกับบุรุษผู้เป็นที่รัก?
ช่างน่าสงสารเหลือเกิน…
โลกนี้ไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ
“พวกเจ้าสองคนจำได้ไหมว่าในอดีตเคยพูดอะไรกันไว้?” หลิงไท่ซวีมองหน้าบุตรชายและลูกสะใภ้ก่อนกล่าวต่อ “โดยเฉพาะเจ้า เสี่ยวหลัน เจ้าเคยบอกว่าชีวิตนี้เจ้าคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีจุนเซวียน ต่อให้มียอดฝีมือระดับเซียนมาสู่ขอเจ้า เจ้าก็จะเลือกแต่งงานกับลูกชายที่ไม่ได้เรื่องของข้าเช่นเดิม เจ้าถึงกับยอมเสียสละปราสาทเมฆาน้ำแข็งโดยไม่นึกเสียใจแม้แต่น้อย…”
ชินหลันซูนิ่งเงียบ
นางกำลังนึกถึงบิดามารดาของตนเอง
“หลินเป่ยเฉิน… นับว่าเป็นคนดีจริงๆ” ชินหลันซูเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งและพูดว่า “ท่านพ่อ เขาพูดออกมา… อย่างที่ท่านบอกจริงๆ หรือเจ้าคะ?”
หลิงไท่ซวียกไหสุราขึ้นดื่มอึกใหญ่ “เขาพูดเช่นนั้น…”
เจ้าเด็กหนุ่มตัวแสบบอกชายชราว่าตนเองมีแผนการที่จะทำให้เรื่องราวทุกอย่างสำเร็จลุล่วงลงด้วยดี ขอเพียงแค่หลิงไท่ซวีคนนี้ไม่เข้าไปขวางทางก็พอ… ดูเหมือนหลินเป่ยเฉินจะไม่รู้ตัวเลยว่ามีผู้คนเป็นห่วงเขามากมายขนาดไหน
และหากครั้งนี้หลิงไท่ซวีไม่ช่วยกลบเกลื่อนเรื่องราวให้แก่หลินเป่ยเฉิน เจ้าเด็กนั่นก็คงได้มาเล่นงานเขาทีหลังเป็นแน่แท้
“เฮ้อ นับเป็นเด็กหนุ่มที่ประเสริฐแท้… น่าสงสารเหลือเกิน…”
ชินหลันซูถอนหายใจออกมา
…
กาลเวลาไม่เคยรอคอยผู้ใด
วันต่อมา
ยามบ่าย
ประตูเมืองฝั่งตะวันตกของนครเจาฮุยเปิดออกกว้าง
หลินเป่ยเฉินขี่ม้าขาวออกไปพร้อมด้วยเจิ้งหลงเซียง เพื่อไปทำภารกิจขอสงบศึกที่ค่ายทหารของชาวทะเล
ผู้คนจำนวนมากมายเป็นสักขีพยานในการออกเดินทางครั้งนี้
สายตาของผู้คนนับไม่ถ้วนจ้องมองอยู่ที่แผ่นหลังของหลินเป่ยเฉิน
และยิ่งเจิ้งหลงเซียงหัวไหล่สั่นเทาด้วยความตื่นกลัวมากแค่ไหน แผ่นหลังที่เหยียดตรงไม่ไหวติงของหลินเป่ยเฉินก็ยิ่งดูกล้าหาญมากขึ้นเท่านั้น