ตอนที่ 844 หวังจงแจกเงินอีกครั้ง
เมื่อมีเรื่องผิดใจกับหลินเป่ยเฉิน คิดหรือว่าเจิ้งหลงเซียงจะได้กลับออกไปจากนครเจาฮุยอย่างปกติสุข?
ขอเพียงเด็กหนุ่มออกคำสั่งมาคำเดียวเท่านั้น เกรงว่าเจิ้งหลงเซียงคงถูกนำตัวไปฝังดินทั้งเป็นโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้เห็นแน่ๆ
อีกอย่าง เจิ้งหลงเซียงก็ไม่ใช่ตัวดีแต่อย่างใด เขาสมควรถูกลงโทษเช่นนี้แล้ว
หลินเป่ยเฉินช่วยทำในสิ่งที่พวกเขาอยากทำแต่ไม่สามารถทำได้
“อีกอย่าง ข้าไม่เข้าใจเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนนี้เลย”
โหลวซานกวนนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิดเล็กน้อย ก่อนพูดต่อ “หลินเป่ยเฉินทำงานหนักเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่เขตเมืองผู้อพยพ ผู้คนทั่วทั้งนครเจาฮุยล้วนเชื่อมั่นในตัวเขาก็จริง แต่ผู้คนในมณฑลอื่นๆ หรือผู้คนในนครหลวงจะเชื่อมั่นในตัวเขาเช่นนี้หรือไม่? สุดท้ายแล้วอนาคตของเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป ข้านึกภาพไม่ออกเลยสักนิด”
“เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”
เฉียนเฟยเซวียมีดวงตาเหม่อลอยขณะใช้ความคิด
จังหวะนั้น ทหารยามคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามารายงานว่า “กราบเรียนใต้เท้าทั้งสอง ด้านนอกสถานการณ์แปรเปลี่ยนไปแล้วขอรับ คุณชายหลินเดินทางมาที่นี่และโน้มน้าวใจให้ชาวเมืองแยกย้ายกันกลับบ้านสำเร็จแล้ว”
“หา? เขากล่อมให้ผู้ชุมนุมกลับบ้านได้แล้วอย่างนั้นหรือ?” เฉียนเฟยเซวียหยุดชะงักเล็กน้อยและถามด้วยความสงสัย “เขามาปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่? และเขาสามารถกล่อมให้ผู้ชุมนุมสลายตัวได้อย่างไร?”
ทหารยามตอบว่า “คุณชายหลินเพิ่งมาปรากฏตัวขอรับ เขาบอกว่าสัญญาสงบศึกครั้งนี้เป็นเพราะตัวแทนจากนครหลวงประมาทเลินเล่อมากเกินไป และเขาเองก็ไม่ได้ตรวจสอบรายละเอียดดูให้ดี นี่จึงถือเป็นความรับผิดชอบของเขา ด้วยเหตุนี้ ผู้ชุมนุมจึงหยุดการประท้วงเพราะเห็นแก่หน้าคุณชายหลินขอรับ…”
เฉียนเฟยเซวียกับโหลวซานกวนหันมองหน้ากันทันที
เด็กหนุ่มคนนี้ยังมีความละอายใจอยู่บ้างไหมเนี่ย?
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าหลินเป่ยเฉินต้องการโยนความผิดมาให้พวกเขา
“คุณชายหลินยังกล่าวต่ออีกว่า…”
ทหารยามรายงานต่อ “เขายินดีกลับไปเจรจาที่ค่ายทหารของชาวทะเลอีกครั้ง เขาพยายามจะแก้ไขเรื่องนี้ให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม คุณชายหลินรับปากว่าชาวเมืองจะไม่ต้องอพยพไปไหน เพราะเขาจะไม่มีทางยกนครเจาฮุยให้กับชาวทะเลเด็ดขาด ต่อให้ต้องถูกฆ่าตายอยู่ในค่ายทหารของพวกมัน คุณชายหลินก็ยอมขอรับ”
“ว่าไงนะ?”
เฉียนเฟยเซวียกับโหลวซานกวนอุทานออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ
บุรุษหนุ่มทั้งสองคนสังเกตเห็นว่าทหารยามตอนที่รายงานเรื่องนี้ สีหน้าและแววตาแสดงออกถึงความเคารพเทิดทูนหมดหัวใจ ซึ่งทำให้เฉียนเฟยเซวียกับโหลวซานกวนรู้ว่า แม้แต่ทหารของตนเองก็หลงกลในเล่ห์เหลี่ยมของหลินเป่ยเฉินเข้าให้แล้ว
“เจ้าไปได้แล้ว”
เฉียนเฟยเซวียโบกมือไล่
ทหารยามล่าถอยออกไป
“เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เฉียนเฟยเซวียหันกลับมาถามโหลวซานกวน
คนถูกถามตอบว่า “หลินเป่ยเฉินจะกลับไปที่ค่ายทหารของพวกชาวทะเลจริงๆ หรือ? เขาอยากจะทวงคืนนครเจาฮุยกลับมา? นี่คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
เฉียนเฟยเซวียรับคำพร้อมกับถอนหายใจ “ข้าไม่เข้าใจ ข้าไม่เข้าใจ ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ”
ทันใดนั้น ทหารยามอีกคนหนึ่งก็เข้ามารายงานว่า มีบรรดามหาเศรษฐีในตัวเมืองมาขอเข้าพบบุรุษหนุ่มจากนครหลวงทั้งสองคน
เพราะทันทีที่มหาเศรษฐีเหล่านี้ได้ยินเรื่องการสละดินแดนในสัญญาสงบศึก พวกเขาก็รีบมาร้องขอความช่วยเหลืออย่างเร็วไว กลุ่มมหาเศรษฐีล้วนเป็นบุคคลที่มีความพร้อมในการอพยพมากที่สุด นอกจากจะไม่ให้ก่นด่ากล่าวโทษว่าคณะตัวแทนจากนครหลวงเป็นผู้ทรยศแล้ว พวกเขายังยอมรับชะตากรรมได้อย่างรวดเร็ว และปรารถนาว่าคณะตัวแทนจากนครหลวงจะช่วยเหลือพวกของตนเองอพยพขึ้นเหนือได้อย่างปลอดภัย
แน่นอนว่าเหล่ามหาเศรษฐียังมีสิ่งตอบแทนเป็นเงินก้อนโต…
เฉียนเฟยเซวียต้อนรับกลุ่มมหาเศรษฐีด้วยรอยยิ้ม
ถึงจะมีตำแหน่งเป็นขุนนางในนครหลวง แต่เขาก็ยังถือเป็นมนุษย์ที่มีเรื่องจำเป็นต้องกินต้องใช้ มิหนำซ้ำ ค่าใช้จ่ายของพวกเขายังเยอะมากกว่าคนทั่วไปอีกด้วย
ในเมื่อมีโอกาสหาเงิน แล้วเฉียนเฟยเซวียจะปฏิเสธได้อย่างไร?
ครึ่งวันผ่านไป
เฉียนเฟยเซวียได้แต่นั่งยิ้มอย่างอารมณ์ดี
ล่วงเข้าสู่ยามบ่าย
“ใต้เท้าขอรับ คุณชายหลินกลับมาจากค่ายทหารของชาวทะเลแล้ว”
ทหารยามคนเดิมวิ่งเข้ามารายงานอีกครั้งด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ คุณชายหลินสามารถทำได้สำเร็จจริงๆ เขาสามารถทวงคืนนครเจาฮุยมาจากพวกมันได้สำเร็จ คุณชายหลินสามารถทำให้ชาวทะเล… ใต้เท้าลองฟังเสียงข้างนอกสิขอรับ… น่าเหลือเชื่อที่สุดเลย”
เฉียนเฟยเซวียตัวแข็งทื่อ
เขากับโหลวซานกวนรีบรุดออกไปจากห้องพัก
ในเวลาเดียวกันนี้ ทั่วนครเจาฮุยกำลังกึกก้องด้วยเสียงโห่ร้องแสดงความดีใจ
คลื่นเสียงเหล่านั้นดังมาจากหลายทิศทาง แต่พวกมันหลอมรวมกันกลายเป็นคำเพียงคำเดียวว่า…
“หลินเป่ยเฉิน! หลินเป่ยเฉิน! หลินเป่ยเฉิน!”
ชาวเมืองจำนวนหลายล้านคนกำลังพร้อมใจกันตะโกนเรียกชื่อบุคคลผู้หนึ่งออกมาด้วยความพร้อมเพรียง มีใครบ้างที่จะเคยพบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้?
เมื่อเฉียนเฟยเซวียกับโหลวซานกวนได้ยินกับหูของตนเอง พวกเขาก็ถึงกับขนลุกเกรียวไปทั้งร่างกาย
คลื่นเสียงแผ่กระจายไปทุกทิศทุกทาง นอกจากทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนแล้ว ยังทำให้หัวใจของผู้คนสั่นไหวอีกด้วย แม้แต่เฉียนเฟยเซวียกับโหลวซานกวนผู้เคยผ่านสมรภูมิรบมานับครั้งไม่ถ้วน ก็ถึงกับตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว
…
ในตัวเมือง
ตรอกแห่งหนึ่ง
หวังจงและบริวารจากหน่วยสืบข่าวกำลังแจกจ่ายเงินค่าจ้างมือเป็นระวิง
“เจ้าเป็นคนปาไข่เน่าใช่หรือไม่? รับไปหนึ่งเหรียญเงิน ทำได้ดีมาก…”
“เจ้าเป็นคนปาผักอย่างนั้นหรือ? รับไป 50 เหรียญทองแดง? ว่าไงนะ? ปาไปสองตะกร้า? ถ้าอย่างนั้นก็เอาไปหนึ่งเหรียญเงิน”
“ก้อนอิฐ? เอาไปหนึ่งเหรียญเงิน”
“ว่าไงนะ? เจ้าปาอุจจาระสดๆ ? นับว่าจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตจริงๆ รับไปสิบเหรียญทองคำ”
หวังจงยิ้มแย้มและแจกจ่ายเหรียญทองคำกับเหรียญเงินไม่ขาดสาย
เขาชอบความรู้สึกของการได้ชักใยอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ต่างๆ เหลือเกิน
ผู้ช่วยพิเศษหลินฮุนยืนอยู่ด้านข้าง คอยกวาดตามองความเปลี่ยนแปลงในท้องถนนหน้าตรอก เช่นเดียวกับที่คอยตรวจสอบไม่ให้มีผู้ใดยกศิลาบันทึกภาพขึ้นมาบันทึกเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในบริเวณนี้
เมื่อการจ่ายเงินสิ้นสุดลง
ผู้คนก็แยกย้ายกันไป
“ข้ามีคำถาม”
หลินฮุนพูดออกมาช้าๆ “ในบรรดาข้าวของที่ขว้างปาออกไปทั้งหมด การขว้างปาก้อนหินนับเป็นสิ่งที่สามารถสร้างความเสียหายได้รุนแรงมากที่สุด แล้วเหตุไฉนเจ้าถึงจ่ายราคาคนที่ขว้างปาอุจจาระสูงมากกว่าคนที่ขว้างปาก้อนหินหลายเท่า?”
“เจ้านี่โง่เหลือเกิน”
หวังจงหันหน้ากลับมาชำเลืองมองอดีตขันทีเฒ่าและกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ตอนที่เจ้าจับอุจจาระกับจับก้อนหิน มันมีความรู้สึกเดียวกันไหมล่ะ?”
หลินฮุนพูดอะไรไม่ออก
นับว่าแตกต่างกันมากจริงๆ ด้วย
สมาชิกของหน่วยสืบข่าวเหล่านี้ถือว่าเป็นอัจฉริยะโดยแท้