ตอนที่ 845 มุ่งหน้าสู่นครหลวง
บรรยากาศในตัวเมืองเจาฮุยเต็มไปด้วยความคึกคักแจ่มใส
คุณชายหลินสามารถช่วยเหลือเมืองนี้เอาไว้ได้สำเร็จ
เขาทำให้ประชาชนจำนวนนับสิบล้านคนไม่ต้องไร้ที่อยู่
เขาช่วยชีวิตผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนจากเงื้อมมือของชาวทะเล
ทุกคนล้วนเข้าใจดีว่าหากต้องสละดินแดนตามสัญญาสงบศึกฉบับแรก ผู้คนจำนวนมากมายมหาศาลคงต้องหนาวตาย หรือไม่ก็ต้องอดตายระหว่างการอพยพ ไม่ทราบเลยว่าต้องมีกี่ครอบครัวต้องไร้ที่อยู่อาศัย มีคนมากมายจำนวนเท่าไหร่ที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก…
และบัดนี้ พวกเขาไม่จำเป็นต้องอพยพอีกแล้ว
เมื่อรายละเอียดในสัญญาการสงบศึกฉบับล่าสุดถูกประกาศออกไป ชาวเมืองส่วนใหญ่ก็ยอมรับโดยไม่มีข้อแม้
ถึงมันจะเป็นการเช่าที่ดินกลับคืนมาก็ตาม แต่อย่างน้อยชาวเมืองก็ได้รับการยืนยันว่าจะไม่เกิดอันตรายขึ้นแก่ตนเองเด็ดขาด ทุกคนไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลทั้งวันทั้งคืนอีกแล้ว มิหนำซ้ำ พวกชาวทะเลยังต้องเกรงกลัวกฎหมายของมนุษย์อีกด้วย
เมื่อเทียบกับสัญญาสงบศึกฉบับแรกอย่างนั้นหรือ?
สัญญาสงบศึกฉบับแรกคือสิ่งที่ชาวเมืองรับไม่ได้เด็ดขาด
และที่สำคัญก็คือ ก่อนการบุกโจมตีครั้งนี้จะเกิดขึ้น ได้มีชาวทะเลจำนวนมากมายขึ้นบกมาทำการค้าขายในนครเจาฮุยอยู่แล้ว ชาวเมืองจึงคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่มีชาวทะเลเดินกันขวักไขว่ เพราะฉะนั้น การค้าขายกับชาวทะเลจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับพวกเขา
“คุณชายหลินยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อแลกมาซึ่งสัญญาสงบศึกที่ดีกับพวกเรามากที่สุด”
“ใช่แล้ว คุณชายหลินนี่แหละคือวีรบุรุษตัวจริง”
“ข้าซาบซึ้งใจเหลือเกิน เมื่อเทียบกับเจิ้งหลงเซียงแล้ว เจ้าหัวสุนัขนั่นสมควรถูกหั่นเป็นพันๆ ชิ้น”
“นั่นสิ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณชายหลินยอมเสี่ยงชีวิตเข้าไปเจรจาอีกรอบ ป่านนี้พวกเราก็คงต้องเดือดร้อนเพราะเจิ้งหลงเซียงผู้นั้นแล้ว”
“เจิ้งหลงเซียงเห็นแก่เงินและอำนาจมากเกินไป ซ้ำพวกคณะที่มาด้วยกันยังช่วยเหลือแต่พวกคนรวย พวกเขาเคยเห็นชีวิตของชาวบ้านธรรมดาตาดำๆ อยู่ในสายตาเสียเมื่อไหร่… มีแต่คุณชายหลินผู้เดียวเท่านั้นที่ห่วงใยพวกเราอย่างแท้จริง”
“คุณชายหลินเปรียบเสมือนบิดาคนที่สองของข้า”
“เลิกพูดได้แล้ว พวกเรามาแขวนป้ายสรรเสริญคุณชายหลินกันดีกว่า”
เมื่อทีมสืบสวนของหวังจงออกไปกระจายข่าวเรื่องความดีความชอบของหลินเป่ยเฉิน ประกอบกับการโฆษณาชวนเชื่อจากอาจารย์เถียนเถียน ชาวเมืองแทบทุกคนจึงมองหลินเป่ยเฉินราวกับเทพเจ้าในร่างมนุษย์ ผู้ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากจำนวนนับล้านชีวิต เด็กหนุ่มจึงได้รับพลังศรัทธาเพิ่มขึ้นมากมายทีเดียวจากการกระทำในครั้งนี้
จิตใจของมนุษย์นั้นสามารถชักจูงได้ง่ายมาก
ผลประโยชน์คือสิ่งสำคัญที่สุด
ขอเพียงฝ่ายไหนให้ผลประโยชน์กับตนเองดีมากที่สุด คนเราก็พร้อมที่จะเลือกอยู่ฝ่ายนั้นโดยสัญชาตญาณ
หากหลินเป่ยเฉินประกาศรายละเอียดสัญญาสงบศึกที่แท้จริงฉบับนี้ตั้งแต่แรก ก็จะต้องมีผู้คนจำนวนไม่น้อยตั้งข้อสงสัย และอาจจะไม่ยอมรับสัญญาสงบศึกที่เขาเพิ่งลงนามไป
ต้องไม่ลืมว่าสัญญาสงบศึกฉบับนี้ พวกเขาเป็นฝ่ายเสียมากกว่าฝ่ายได้
ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงต้องหาแพะรับบาปแทนตนเอง
เหตุการณ์จึงเป็นเช่นนี้
หลินเป่ยเฉินตั้งใจทำให้ชาวเมืองรับรู้ถึงความหวาดกลัวสุดขีดในการเสียดินแดนและที่อยู่อาศัย หลังจากนั้น เขาก็ปรากฏตัวออกมาในฐานะนักบุญผู้มีจิตใจดีงาม และช่วยเหลือชาวเมืองให้ไม่ต้องอพยพไปไหนทั้งสิ้น
ดังนั้น จึงไม่มีผู้ใดคัดค้านสัญญาสงบศึกของเขาอีก
หลินเป่ยเฉินกลายเป็นวีรบุรุษในสายตาของทุกคน
ไม่มีใครตำหนิเขาสักคนเดียว
กระแสตอบรับอันดีงามถูกบอกต่อมายังหมู่บ้านผู้อพยพ
หลินเป่ยเฉินคลี่ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
“นับว่าท่านเจ้าเมืองฉุยมีมันสมองเฉียบแหลมเหลือเกิน”
หลินเป่ยเฉินอดชื่นชมออกมาไม่ได้
แผนการที่เจ้าเล่ห์แยบยลเช่นนี้ หลินเป่ยเฉินผู้ใสซื่อราวกับดอกบัวขาวจะสามารถคิดออกมาได้อย่างไร?
ทุกอย่างล้วนเป็นคำแนะนำจากฉุยเฮาเฟิงผู้เคยดำรงตำแหน่งท่านเจ้าเมืองหยุนเมิ่ง ไม่ว่าเรื่องที่ใช้เจิ้งหลงเซียงเป็นแพะรับบาป ทำให้ชาวเมืองโกรธแค้นหัวหน้ากลุ่มองครักษ์หลวงผู้นี้ รวมไปถึงเรื่องราวอื่นๆ ที่ตามมาหลังจากนั้น ล้วนแต่เป็นแผนการของฉุยเฮาเฟิงทั้งสิ้น นอกจากนี้ ก็ยังมีหลินฮุนคอยให้คำปรึกษาอยู่อีกคน
แผนการของพวกเขาสำเร็จลุล่วงด้วยดี
“ความจริงบุคคลที่สมควรเป็นแพะรับบาปในเรื่องนี้มากที่สุดก็คือเฉียนเฟยเซวีย แต่น่าเสียดายที่คุณชายหลินใจอ่อนเกินไป เพราะตำแหน่งของเจิ้งหลงเซียงออกจะต่ำต้อยมากไปสักหน่อย”
ฉุยเฮาเฟิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ในเวลาเดียวกันนี้ที่จวนรับรอง เฉียนเฟยเซวียผู้เป็นหัวหน้าคณะตัวแทนจากนครหลวงอยู่ดีๆ ก็เสียวสันหลังวาบ คล้ายกับมีคนกำลังวางแผนร้ายตนเองอยู่ก็ไม่ปาน
“ช่างมันเถิด เฉียนเฟยเซวียก็ไม่ใช่ตัวเลวร้ายสักเท่าไหร่”
หลินเป่ยเฉินนั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้หนังสัตว์ ได้รับการนวดไหล่จากเฉียนเหมย ได้รับการนวดขาจากเฉียนเจิน หน้าตามีความสุขเป็นอย่างยิ่ง
“แผนการของพวกเราสำเร็จลงด้วยดี ส่วนการบริหารหลังจากนี้คงต้องฝากให้เป็นหน้าที่ของท่านแล้ว หากท่านเจ้าเมืองฉุยมีสิ่งใดที่ต้องการจากชาวทะเล โปรดบอกข้าได้ตลอดเวลา หรือหากมีรายละเอียดในสัญญาส่วนไหนที่พวกเราเสียเปรียบมากเกินไป ท่านเจ้าเมืองฉุยก็สามารถบอกมาได้เลย…”
“หรือหากพวกชาวทะเลมันกล้ามาก่อเรื่องในเมืองของเรา โปรดรีบมาบอกข้า ข้าจะไปจัดการพวกมันด้วยตนเอง”
“อ้อ ข้าคงต้องรบกวนท่านเจ้าเมืองฉุยช่วยร่างกฎหมายฉบับใหม่ขึ้นมาด้วย เอาให้พวกเราเป็นฝ่ายได้เปรียบชาวทะเลมากที่สุด ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องทางจักรวรรดิ หากพวกเขาไม่พอใจ เดี๋ยวข้าจะบอกให้พวกเขาไปคุยกับพวกชาวทะเลเอง…”
“และเรื่องการจัดการงานส่วนต่างๆ ในตัวเมือง คงไม่มีใครชำนาญมากไปกว่าท่านเจ้าเมืองฉุยแล้ว ต้องขอฝากธุระทุกอย่างไว้ที่ท่านด้วย”
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่หลินเป่ยเฉินแสดงออกถึงความไร้ยางอายไม่มีที่สิ้นสุด เขาถึงกับโยนงานทุกอย่างที่ตนเองสมควรทำให้กลายเป็นหน้าที่ของฉุยเฮาเฟิงหน้าตาเฉย
“คุณชายหลินได้โปรดวางใจ”
ฉุยเฮาเฟิงพยักหน้า ดวงตาเป็นประกายแวววาวด้วยความปลาบปลื้ม
เขารู้สึกว่านครเจาฮุยกำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่
และฉุยเฮาเฟิงเองก็ไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถด้านการบริหารงานบ้านเมืองมานานแล้ว ในที่สุด อดีตท่านเจ้าเมืองหนุ่มใหญ่ก็ได้กลับมามีความกระตือรือร้นในชีวิตอีกครั้ง
การบริหารงานบ้านเมืองที่มีประชาชนให้ดูแลนับสิบล้านคน คือสิ่งที่ฉุยเฮาเฟิงไม่เคยคิดฝันมาก่อน
ถึงเขาจะเป็นแค่ ‘เงา’ ของผู้ปกครองเมืองตัวจริงก็ตาม แต่ใครจะสนใจกันล่ะ?
เพียงเท่านี้ก็ถือว่าสวรรค์เมตตาฉุยเฮาเฟิงมากแล้ว
เขาสนับสนุนแผนการของหลินเป่ยเฉินด้วยความหนักแน่น
“แล้วคุณชายจะทำอย่างไรหลังจากนี้?”
ฉุยเฮาเฟิงสอบถาม
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ฝ่าบาททรงรับสั่งเรียกตัวข้าเข้าวังหลวง วันมะรืนนี้ข้าก็คงต้องออกเดินทางแล้ว เมื่อได้เข้านครหลวงทั้งที ก็ถือว่าข้าจะได้ไปเปิดหูเปิดตาเห็นสิ่งแปลกใหม่ รวมถึงข้าจะใช้โอกาสนี้สืบหาข่าวคราวของบิดาและพี่สาวข้าด้วย และข้าอยากรู้เหลือเกินว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลหลินของเรากันแน่”
ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างนั้น เด็กหนุ่มต้องไปถึงนครหลวงก่อนจึงจะสามารถเริ่มทำได้
…
“ว่าไงนะ? มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“มีคนใส่ร้ายข้า มีคนใส่ร้ายข้า…”
“ข้าไม่ได้ทำ ข้าไม่ใช่คนผิด…”
“อะเฮือก!”
เมื่อตื่นขึ้นมาและได้รับทราบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างที่ตนเองสลบไป เจิ้งหลงเซียงก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจสุดขีด ก่อนกระอักเลือดและหมดสติลงไปอีกครั้ง
ใช้เวลาเพียงไม่นานนัก ศิลาบันทึกภาพเหตุการณ์ที่เจิ้งหลงเซียงร้องตะโกนคำว่า ‘ข้าเป็นผู้จัดการเรื่องราวทุกอย่างเอง’และ ‘ข้าเป็นผู้ลงนามในสัญญาสงบศึก’ ก็ถูกส่งต่อไปทั่วเมืองเจาฮุย
ทางคณะตัวแทนจากวังหลวงไม่ออกมาเคลื่อนไหวใดๆ
วันต่อมา หลินเป่ยเฉินมีงานยุ่งมาก
เพราะว่ายังมีหลายสิ่งหลายอย่างรอให้เขาจัดการ
เมื่อจัดการเรื่องราวต่างๆ เสร็จเรียบร้อย เด็กหนุ่มก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่นครหลวงมาพร้อมกับคณะตัวแทนจากวังหลวง
หวังจง อากวง เฉียนเหมย เฉียนเจิน เซี่ยวปิง และยอดฝีมือประจำหมู่บ้านผู้อพยพคนอื่นๆ ล้วนติดตามมาด้วย เพราะถึงอยู่เฝ้าเมืองต่อไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา
ส่วนบุคคลที่ถนัดงานด้านบริหารอย่างฉุยเฮาเฟิง อานมู่ซี และหลินฮุน ยังคงต้องอยู่จัดการเรื่องราวต่างๆ ในตัวเมืองต่อไป
“นครหลวงจ๋า ข้ามาแล้ว”
หลินเป่ยเฉินยกมือป้องปากตะโกนอยู่บนเรือเหาะ
“กราบเรียนคุณชาย ในขณะนี้สงครามระหว่างพวกเรามนุษย์และชาวทะเลยุติลงชั่วคราว เรือเหาะจึงสามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัย คำนวณแล้วคงใช้เวลาไม่เกินสามวัน พวกเราก็จะไปถึงนครหลวง ไม่ทราบว่าในเวลาระหว่างนี้ คุณชายมีงานอะไรอยากให้ข้าทำบ้างหรือไม่”
เสี่ยวเย่ผู้สวมใส่ชุดเกราะเดินเข้ามาถามอย่างนอบน้อม
นายทหารหนุ่มผู้นี้เป็นบุคคลที่เกาเฉิงฮั่นแนะนำต่อหลินเป่ยเฉินว่าจะมีประโยชน์มากทีเดียวเมื่อพวกเขาไปถึงนครหลวง
ทางด้านของเกาเฉิงฮั่นก็ยังคงต้องอยู่ในนครเจาฮุยต่อไปอีกครึ่งเดือน และจะออกเดินทางมาสู่นครหลวงก็ต่อเมื่อแน่ใจแล้วว่าเรื่องราวระหว่างชาวเมืองกับชาวทะเลได้รับการจัดการอย่างลงตัวทุกอย่างแล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า ก็ไม่มีอะไรหรอกขอรับพี่เสี่ยว ข้าแค่อยากให้ท่านช่วยให้อาหารม้าขาวของข้าเป็นประจำก็พอ อย่าให้มันน้ำหนักลด เพราะเมื่อข้าไปถึงนครหลวงเมื่อไหร่ ข้าอยากจะใส่ชุดแดงขี่ม้าขาวผ่านประตูเมืองเข้าไป เอาให้ทุกคนต้องจดจำไม่มีทางลืมเลือนเลยขอรับ อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่า!”
หลินเป่ยเฉินเงยหน้ามองท้องฟ้าอันสดใสราวกับกำลังจ้องมองอนาคตของตนเอง
เขากำลังจะได้พบเจอสิ่งใหม่ๆ อีกแล้ว
เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู
การอัปเกรดอุปกรณ์ผ่านไปแล้ว 50%
เมื่อไปถึงนครหลวงก็คงอัปเกรดเสร็จพอดี
ช่างเหมาะเจาะยิ่งนัก