ตอนที่ 847 เหตุระเบิด
เฉียนเฟยเซวียชะงักกึกและพูดออกมาว่า “คุณชายหลินอย่าได้พูดจาล้อเล่น”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ข้าไม่ได้ล้อเล่นกับท่าน หลินเป่ยเฉินคนนี้ใครๆ ก็รู้ดีว่าเห็นความสำคัญของเงินทองมากกว่าชีวิตผู้คน ท่านเองก็น่าจะได้ข้อมูลมาบ้างไม่ใช่หรือ? เสี่ยวเซวีย ดูเหมือนฝ่ายสืบข่าวของท่านจะทำงานเปล่าประโยชน์เสียแล้ว”
เฉียนเฟยเซวียยืนนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยความมึนงง
นี่คือเหตุการณ์ที่เขาไม่เคยพานพบมาก่อน
ยามอยู่ในนครหลวง เป็นเฉียนเฟยเซวียที่คอยพูดจากดดันผู้อื่น หาได้มีผู้อื่นมาพูดจากดดันและทับถมเขาไม่
แต่ตอนนี้เล่า?
เฉียนเฟยเซวียกลับรู้สึกว่าการพูดคุยกับหลินเป่ยเฉินช่างเป็นเรื่องที่ยากลำบากเหลือเกิน
เขายืนอยู่ข้างกราบเรือเหาะ ทบทวนบทสนทนามาถึงบัดนี้ และก็สังเกตพบอะไรบางอย่าง
เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ว่าจะพูดอะไรออกมา… ต่างก็เป็นความจริงทั้งสิ้น
เมื่อเฉียนเฟยเซวียลองพิจารณาเรื่องราวดูให้ดี เขาก็รู้ว่าตลอดเรื่องราวที่ผ่านมา ไม่ว่ากระทำเรื่องราวใด หลินเป่ยเฉินก็มักจะมีผลประโยชน์เป็นที่ตั้งเสมอ
หรือว่าในโลกนี้จะไม่มีสิ่งใดที่เงินซื้อไม่ได้จริงๆ?
เนื่องจากการแสดงฝีมือในนครเจาฮุยของหลินเป่ยเฉินมีความยอดเยี่ยมมากเกินไป เฉียนเฟยเซวียจึงไม่ได้สนใจข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวรวบรวมมาได้ทั้งหมดก่อนหน้านี้ เพราะผู้ตรวจการหนุ่มไม่อยากจะตัดสินหลินเป่ยเฉินโดยที่ยังไม่ได้เห็นทุกอย่างด้วยตาของตนเองเสียก่อน
แล้วบทกวีที่หลินเป่ยเฉินแต่งขึ้นมาเพราะสงสารประชาชนตาดำๆ ล่ะ?
มันเป็นบทกวีที่มีแต่ผู้มีจิตใจอันดีงามเท่านั้นถึงจะรังสรรค์ออกมาได้
คนธรรมดาจะสามารถแต่งบทกวีเช่นนี้ได้หรือ?
ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด
ถึงแม้เฉียนเฟยเซวียจะเคยรับมือกับบรรดาขุนนางที่เจ้าเล่ห์มากเหลี่ยมได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ประสบการณ์ทางการเมืองของเขาทั้งหมด กลับไม่สามารถนำมาใช้งานกับหลินเป่ยเฉินได้เลยแม้แต่อย่างเดียว
เพราะเด็กหนุ่มคนนี้มีความซับซ้อนมากเกินไป
เมื่อตั้งสติได้แล้ว เฉียนเฟยเซวียก็มั่นใจว่าตนเองน่าจะสามารถพูดคุยดีๆ กับหลินเป่ยเฉินได้อีกครั้ง เขารู้แล้วว่าควรจะคุยกับเด็กหนุ่มอย่างไร แต่เมื่อเงยหน้ามองขึ้นมาเท่านั้น…
อ้าว?
มีแต่ความว่างเปล่า
หลินเป่ยเฉินหายไปไหนแล้ว?
ดาดฟ้าเรือว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว
เฉียนเฟยเซวียได้แต่ยืนตกตะลึงและยิ้มออกมาอย่างฝืดฝืน
นี่คือการประกาศข้อความจากคุณชายหลินอย่างชัดเจนว่า ‘ข้าไม่อยากคุยกับท่าน’
…
ในห้องพักใต้ท้องเรือ
หลินเป่ยเฉินกำลังหงุดหงิด
“ให้ตายสิ คิดอะไรอยู่ถึงจะมาพูดคุยเรื่องการช่วยเหลือประชาชนกับข้า เขาเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร ทำไมเฉียนเฟยเซวียถึงได้มองข้าเป็นคนดีขนาดนั้น?”
“หากเปลี่ยนเป็นพูดเรื่องเงินทองแล้วละก็ ข้าจะไม่รู้สึกเสียดายเวลาเท่านี้เลย”
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินคอยทำหน้าที่นวดสองไหล่ของหลินเป่ยเฉินอยู่คนละฝั่ง
หลังจากนั้นไม่นาน
เสี่ยวเย่เคาะประตูก่อนจะเดินเข้ามา
“คุณชายให้คนไปตามตัวข้ามาหรือขอรับ?”
นายทหารหนุ่มประสานมือทำความเคารพขณะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินหันกลับมาส่งยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี “พี่เสี่ยว นั่งก่อนสิ เชิญนั่งก่อน”
เสี่ยวเย่ลังเลเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงตามคำสั่ง “คุณชายมีเรื่องอะไรหรือ?”
คราวนี้ หลินเป่ยเฉินไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์ เขาบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนดาดฟ้าเรือและกล่าวว่า “ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องราวในนครหลวงสักเท่าไหร่ แต่ไหนๆ ในเมื่อข้าจะไปที่นั่นแล้ว ก็คงหนีเรื่องการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองไม่พ้น ดังนั้น ข้าจึงให้คนไปตามตัวพี่เสียวมา เพราะอยากจะทำความเข้าใจสถานการณ์ในนครหลวงสักหน่อยน่ะ”
เสี่ยวเย่เตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้มานานแล้ว “ไม่ทราบว่าคุณชายอยากจะรู้เรื่องใดบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ปัจจุบันนี้ มีใครบ้างที่ถือว่าเป็นผู้มีอำนาจในนครหลวง?”
เสี่ยวเย่ก้มหน้าลงใช้ความคิดเล็กน้อย และเริ่มต้นอธิบาย
“เท่าที่ข้าทราบ ปัจจุบันในนครหลวงแบ่งกลุ่มผู้มีอำนาจออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ ประกอบไปด้วยกลุ่มของขุนนาง กลุ่มของนายทหาร และกลุ่มของราชวงศ์ พวกเขาคอยคานอำนาจกันและกันตลอดมา แต่ในช่วงหลายปีหลัง อำนาจของทางกลุ่มราชวงศ์และกลุ่มขุนนางลดน้อยลง อำนาจของกลุ่มทหารจึงเข้มแข็งมากขึ้น แต่สถานการณ์โดยรวมยังคงปกติดี”
“ทว่า เมื่อปีที่แล้วจากการรุ่งเรืองของตระกูลเว่ยแห่งมณฑลเฉียนเกา โดยเฉพาะนับตั้งแต่ที่เว่ยหมิงเฉินปรากฏตัวออกมา อำนาจของตระกูลเว่ยก็เริ่มทำให้สมดุลในนครหลวงปั่นป่วน…”
“และหากอำนาจของทั้งสามกลุ่มนี้ล่มสลายลงเมื่อไหร่ นครหลวงก็จะต้องถึงคราวโกลาหลเป็นแน่แท้”
“บัดนี้ ทางพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางกำลังจะทำการจัดระดับจักรวรรดิใหม่ทั้งหมด ซ้ำยังมีข่าวลือว่าทางจักรวรรดิจี้กวงก็ได้ทำการจัดระดับใหม่เสร็จสิ้นแล้วด้วย”
“เพราะฉะนั้น บรรยากาศในนครหลวงขณะนี้จึงไม่ปกติเป็นอย่างยิ่ง”
เสี่ยวเย่อธิบายเรื่องราวทั้งหมดอย่างแช่มช้าแต่ชัดเจน
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าหงึกหงัก
เพียงเท่านี้ เขาก็เข้าใจสถานการณ์โดยรวมของนครหลวงแล้ว
เมื่อเทียบกับเฉียนเฟยเซวีย หลินเป่ยเฉินก็ต้องยอมรับเลยว่าเขาเชื่อใจเสี่ยวเย่มากกว่าผู้ตรวจการหนุ่มท่านนั้นหลายเท่า
แต่ดูเหมือนท่านพี่เสี่ยวเย่คนนี้จะรู้ข้อมูลดีมากเกินไป
ไม่ทราบว่าเขามีเส้นสายคอยส่งข่าวมาจากในนครหลวงตลอดเวลาใช่หรือไม่?
เหตุไฉนถึงได้รู้เรื่องราวดีกว่าหลินเป่ยเฉินที่มีโทรศัพท์มือถือเสียอีก
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เด็กหนุ่มก็ยิ่งสงสัยในตัวตนที่แท้จริงของเสี่ยวเย่มากขึ้นเท่านั้น
แน่นอนว่านายทหารหนุ่มผู้นี้คงมีพื้นเพไม่ธรรมดา
“รบกวนพี่เสี่ยวช่วยบอกเล่าเรื่องราวรายละเอียดของกลุ่มขุนนาง กลุ่มราชวงศ์และกลุ่มทหารให้ข้าฟังหน่อยสิขอรับ”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงสุภาพ
เสี่ยวเย่นิ่งเงียบใช้ความคิดอึดใจใหญ่และตอบว่า “กลุ่มขุนนางเป็นการรวมตัวกันของขุนนางนครหลวง พวกเขาถือเป็นฐานอำนาจสำคัญในการดำรงอยู่ของราชวงศ์ ส่วนกลุ่มทหารนั้นปกครองด้วยนายทหารระดับสูง แต่ละคนมีพื้นเพไม่ธรรมดา หัวหน้ากลุ่มมีนามว่าใต้เท้าเจิ้งกัว เกิดข่าวลือว่าทั้งสองกลุ่มนี้คือผู้บริหารจักรวรรดิที่แท้จริง แต่กลับไม่ลงรอยกันตลอดมา และนับตั้งแต่ที่เทพีกระบี่ไม่เคยแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ออกมาหลายปี องค์จักรพรรดิก็ทรงเก็บตัวอยู่ในห้อง ฝึกฝนวิชาอย่างมุ่งมั่น บางครั้งก็เสด็จไปยังเมืองไป๋หยุุนหรือเมืองเจี้ยนหยวน เพื่อเรียนวิชากระบี่ด้วยพระองค์เอง…”
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว
สถานการณ์ยุ่งเหยิงจริงๆ ด้วย
ท่าทางการไปนครหลวงครั้งนี้คงไม่สนุกแล้วสิ
องค์จักรพรรดิไม่สนใจกิจการบ้านเมือง ขุนนางและทหารต่างก็อยากครอบครองอำนาจ เพื่อเสริมสร้างให้ตนเองเป็นใหญ่ที่สุด…
บัดนี้ แค่ยังไม่เกิดการจลาจลขึ้นทั่วจักรวรรดิก็นับว่าเป็นบุญมากแล้ว
ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางถึงทนไม่ไหวอีกต่อไป และต้องทำเรื่องจัดลำดับจักรวรรดิใหม่ทั้งหมด
เพราะถ้าหลินเป่ยเฉินเป็นสมาชิกในกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง จักรวรรดิเป่ยไห่ที่ทำท่าจะมีปัญหาเช่นนี้ ถ้าควบคุมให้อยู่ในความสงบไม่ได้ ก็มีแต่ต้องกำจัดทิ้งไปอย่างเดียวเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินมองหน้าเสี่ยวเย่อย่างใช้ความคิด
เสี่ยวเย่นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน เมื่อสบตากับหลินเป่ยเฉิน ก็พูดออกมาว่า “ความจริงนั้น ข้าคือ…”
แต่พูดยังไม่ทันจบประโยค
ครืน!
เรือเหาะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
จากนั้นรอบทิศทางก็เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้อง ก่อนที่ทุกอย่างในห้องพักจะพลิกกลับตีลังกา
นั่นไงล่ะ เรือเหาะกำลังจะตกจริงๆ ด้วย
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในสมองของหลินเป่ยเฉิน
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็ยื่นมือซ้ายและมือขวาออกไปโอบกอดเฉียนเหมยกับเฉียนเจินตามสัญชาตญาณ ก่อนโคจรพลังลมปราณ สร้างม่านพลังขึ้นมาคุ้มกันสาวรับใช้ทั้งสองคน
ตู้ม!
แล้วเรือเหาะก็ระเบิดทันที
คลื่นแรงระเบิดแผ่ไปรอบทิศทาง
บัดนี้ เรือเหาะมีสภาพกลายเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ เศษไม้แตกกระจายนับจำนวนไม่ถ้วนปลิวว่อนในอากาศ
เสียงระเบิดดังระคนมาพร้อมกับเสียงกรีดร้อง
“เกิดอะไรขึ้น?”
หลินเป่ยเฉินร้องตะโกน โคจรพลังลมปราณระดับเซียนของตนเอง สร้างม่านพลังเพื่อคุ้มกันทุกคนในเรือเหาะให้ได้มากที่สุด
แต่แรงระเบิดครั้งนี้มีความรุนแรงไม่ใช่เล่น
แม้แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังได้รับแรงกระแทกอย่างหนักหน่วง ม่านพลังที่เขาสร้างขึ้นมาเกิดรอยแตกร้าวให้เห็นเด่นชัด
“วงแหวนวารี”
เด็กหนุ่มกระซิบออกมา
เขารีบโคจรพลังปราณธาตุน้ำ
ในเวลาเดียวกันนี้ หลินเป่ยเฉินก็โยนวงแหวนวารีออกไปหลายสิบวง เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้นให้แก่เหล่านายทหารที่ได้รับลูกหลงจากแรงระเบิด
“ต้องใช้งานกระบี่แล้วละ”
หลินเป่ยเฉินไม่คิดอะไรให้มากความอีกแล้ว
ไม่กี่ลมหายใจหลังจากนั้น กระบี่เล่มใหญ่หลายสิบเล่มก็ลอยตัวอยู่ในอากาศและช้อนรับร่างของเหล่าผู้คนที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าทุกคน ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะมีสภาพเป็นหรือตายก็ตาม
…
ผ่านไปชั่วเวลาหนึ่งก้านธูป
ณ บริเวณชายแดนระหว่างมณฑลเฟิงอวี่กับมณฑลชิงซวง
เศษซากของเรือเหาะกำลังเผาไหม้อยู่กลางป่าหิมะน้ำแข็ง
หลินเป่ยเฉินจ้องมองเศษซากเรือเหาะที่กำลังไหม้ไฟด้วยสีหน้าเศร้าสลด
เขาคิดตั้งแต่ขึ้นมานั่งบนเรือเหาะลำนี้แล้วว่ามันจะต้องตกแน่ๆ แล้วมันก็ตกจริงๆ ด้วย
ทำไมลางสังหรณ์ถึงแม่นยำขนาดนี้นะ?
แต่ไม่ใช่สิ
จะเรียกว่าเรือเหาะตกไม่ได้
ต้องเรียกว่ามันระเบิดมากกว่า
แล้วเรือเหาะระเบิดได้อย่างไร?
หรือว่าช่างซ่อมบำรุงเรือเหาะประจำจักรวรรดิเป่ยไห่จะทำงานผิดพลาด
“เรือเหาะลำนี้ไม่มีสิ่งใดผิดปกติก่อนออกเดินทางขอรับ หมายความว่านี่คือแผนลอบสังหารที่ถูกวางเอาไว้เนิ่นนานแล้ว”
เสี่ยวเย่ผู้ที่เส้นผมบนศีรษะถูกไฟเผาไหม้หายไปครึ่งหนึ่งเดินเข้ามารายงานด้วยสีหน้าโกรธแค้น
ว่าไงนะ?
ใบหน้าของหลินเป่ยเฉินพลันบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้นไม่แพ้กันทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น