ตอนที่ 851 เรื่องนี้ที่ข้าคุ้นเคย
สีหน้าของชายชราหน้านกเค้าแมวมีความวิตกกังวลมากขึ้น
หลินเป่ยเฉินสามารถควบคุมพลังได้ดีมากเกินไป
ทั้งที่การมีพลังปราณธาตุต่างชนิดอยู่ในร่างกาย ไม่ใช่สิ่งที่จะควบคุมกันได้ง่ายๆ
“เจ้า…” ชายชรามองหน้าเด็กหนุ่มด้วยความตกตะลึง “เจ้ามีพลังปราณธาตุสองชนิดอย่างนั้นหรือ?”
“นี่เจ้ากำลังตกใจ แปลกใจ หรือว่าหวั่นใจล่ะ?” หลินเป่ยเฉินใช้ท่อนแขนรัดลำคอของชายชราผมขาวพลางกล่าวว่า “ทีนี้จะพูดได้หรือยังว่าใครส่งเจ้ามา?”
ชายชราผมขาวเบิกตาโต ตอบว่า “รู้ไปเจ้าจะทำอะไรได้ บุคคลผู้นั้นเป็นคนที่เจ้าไม่สามารถต่อกรด้วยได้เด็ดขาด สู้เจ้าไม่รู้เสียยังจะดีกว่า”
“เจ้าทำให้ข้าโมโหแล้วนะ” หลินเป่ยเฉินเพิ่มน้ำหนักแรงรัดแขนของตนเองมากขึ้น ทำเอาชายชราดวงตาเหลือกลาน “ม้าของข้าต้องตาย ผู้ติดตามข้าต้องเสียชีวิตไปหลายคน บัดนี้ข้าโกรธแค้นเจ้าแล้วจริงๆ เจ้ารีบบอกความจริงมาดีกว่า มิฉะนั้น ข้าอาจจะควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้และอาจจะเผลอเผาเจ้าทั้งเป็น… บอกมา ใครเป็นคนส่งเจ้ามาลอบสังหารข้า อย่าได้คิดโกหกเป็นอันขาด”
ชายชราผมขาวถูกบีบรัดจนหายใจไม่ออก รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเลือดไม่ไหลเวียนไปเลี้ยงสมองอีกแล้ว
“ก็ได้ ข้าจะพูดแล้ว ข้าจะพูดแล้ว” ชายชราอ้าปากพะงาบๆ “ข้าจะพูดว่าต่อให้ต้องตาย ข้าก็ไม่บอกเจ้าเป็นอันขาด”
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบๆ
นั่นแน่ะ
เดี๋ยวนี้มียอกย้อน
นี่ชายชราตั้งใจกวนประสาทเขาใช่หรือไม่?
“เจ้าคิดว่าข้าอารมณ์ดีนักหรือไง?”
หลินเป่ยเฉินโคจรพลังปราณธาตุไฟสีเงินไหลรินเข้าสู่ร่างกายฝ่ายตรงข้าม
“นี่มันอะไรกัน…” ชายชราส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน “เอาอีก เอาอีก…”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว
ยังจะเอาอีกอย่างนั้นหรือ?
ตาเฒ่าเจ็บปวดขนาดนี้ยังจะให้เขาเพิ่มพลังปราณธาตุไฟอีก?
ใจเด็ดมากกว่าที่คิดอีกแฮะ
สงสัยจะคุยด้วยไม่รู้เรื่องแล้ว
งั้นฆ่าทิ้งเลยแล้วกัน
เดี๋ยวค่อยค้นศพทีหลังว่าพกของมีค่าติดตัวมาบ้างหรือไม่
ดวงตาของเด็กหนุ่มเป็นประกายวาวโรจน์ ราวกับว่าตัดสินใจแล้วที่จะสังหารชายชราจริงๆ
“นี่เป็นภารกิจของจักรวรรดิต้าเกี๋ยน…”
ชายชราผมขาวสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของหลินเป่ยเฉิน ดังนั้น เขาจึงไม่กล้าเล่นลวดลายออกลีลาอีกต่อไป แม้จะไม่แน่ใจว่าเด็กหนุ่มจะปล่อยให้ตนเองรอดชีวิตจริงๆ แต่อย่างน้อยชายชราก็ต้องพยายามเพื่อความอยู่รอดของตนเอง
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วหน้ายุ่ง
ทีนี้เขาก็รู้แล้วว่าใครเป็นคนส่งชายชรามา
จักรวรรดิต้าเกี๋ยนคือหนึ่งในประเทศที่เป็นสมาชิกกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางใช่หรือไม่?
“ทำไมจักรวรรดิต้าเกี๋ยนต้องส่งคนมาลอบสังหารข้าด้วย? ข้ากับพวกเจ้าไม่เคยมีเรื่องหมางใจกันสักหน่อย หรือว่าข้าหล่อเหลามากเกินไปจนพวกเจ้าอิจฉา?”
หลินเป่ยเฉินผ่อนคลายพลังปราณธาตุไฟของตนเองลงและถามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
ชายชราผมขาวไอออกมาอย่างรุนแรง
หลินเป่ยเฉินคลายน้ำหนักวงแขนที่รัดคอลงเล็กน้อย
“จักรวรรดิต้าเกี๋ยนไม่อยากให้มีจักรวรรดิเป่ยไห่คงอยู่อีกต่อไป หากผู้มีพลังระดับเซียนคนใหม่ปรากฏตัวออกมา มันก็จะส่งผลดีต่อการจัดระดับจักรวรรดิใหม่ของพวกเจ้า…”
ชายชราหน้านกเค้าแมวตอบกลับอย่างเร็วไว
หลินเป่ยเฉินฟังแล้วก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เพราะมันเป็นเหตุผลที่ฟังดูตื้นเขินมากเกินไป
หรือว่าจักรวรรดิต้าเกี๋ยนจะเป็นพวกเดียวกับจักรวรรดิจี้กวง?
พวกนั้นเกลียดชังจักรวรรดิเป่ยไห่ขนาดนี้เชียวหรือ?
“ที่เรือเหาะของข้าระเบิด เป็นฝีมือของพวกเจ้าใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถามอีกครั้ง
“ไม่ใช่”
ชายชราผมขาวรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “เรือเหาะของเจ้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกข้า แผนการลอบสังหารของเราคือรอให้พวกเจ้าเดินทางมาถึงเขตภูเขาสูงในมณฑลเฟิงอวี่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ข้าสร้างค่ายอาคมครอบคลุมภูเขาหิมะเหล่านั้นไว้ทั้งหมดแล้ว แต่น่าเสียดายที่เรือเหาะของเจ้ากลับระเบิดก่อนถึงเขตค่ายอาคมของข้า แผนการที่พวกเราวางเอาไว้จึงพังทลายลง และด้วยเหตุนี้ ข้าจึงต้องปรากฏตัวออกมาเพื่อสังหารเจ้าด้วยมือของข้าเอง…”
“พูดจริงสิ?”
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็หนังหัวชายิบ
เฉียดฉิวเหลือเกิน
นี่มันหนีเสือปะจระเข้ชัดๆ
ชายชราผมขาวหอบหายใจรุนแรงและพยักหน้า “ย่อมเป็นความจริง… สิ่งที่ข้าพูดออกไปเป็นความจริงทุกประการ… การใช้โลหิตในร่างกายเป็นอาวุธโจมตีคือตัวเลือกสุดท้ายของข้า เพราะมันจะทำให้ข้าสูญเสียพลังอย่างใหญ่หลวง และทำให้อายุขัยของข้าต้องสั้นลงมากกว่าเดิม…”
“ข้ามีพลังระดับเซียนก็จริง แต่ข้าเป็นผู้ใช้ค่ายอาคม ชำนาญเรื่องการใช้เวทย์มนต์ ส่วนการต่อสู้ประหัตประหารเช่นนี้ไม่ใช่งานถนัดของข้าเลย หากมิได้ถูกบังคับ ข้าก็คงไม่มาหาเจ้าเด็ดขาด…”
นี่สิค่อยฟังดูน่าเชื่อหน่อย
หลินเป่ยเฉินเชื่อคำตอบนี้ของชายชรา
แล้วเขาก็ขนลุกเกรียวด้วยความตื่นกลัว
หากเรือเหาะไม่ระเบิดเสียก่อน พวกเขาก็คงลอยลำเข้าไปในเขตค่ายอาคมที่ชายชราผู้นี้สร้างเอาไว้ และเกรงว่าความเสียหายคงจะร้ายแรงมากไปกว่านี้ ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะต้องเสียชีวิตกันทั้งหมดก็เป็นได้
คำถามอีกมากมายจึงเกิดขึ้นตามมา
ผู้ที่วางระเบิดเรือเหาะของพวกเขาเป็นใครกันแน่?
ทำไมบุคคลผู้นั้นถึงต้องการสังหารหลินเป่ยเฉินผู้น่ารักคนนี้?
นี่เขามีศัตรูมากมายถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ทำไมพวกมันไม่พยายามลอบสังหารเว่ยหมิงเฉินบ้างนะ?
หลินเป่ยเฉินคิดว่านี่ไม่ใช่ปัญหาของเขา
แต่เป็นปัญหาของโลกใบนี้ต่างหาก
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจเด็ดขาด
“ข้าบอกทุกอย่างที่ข้ารู้ไปแล้ว เจ้าต้องไว้ชีวิตข้านะ”
“ขะ… ข้าจะเดินทางกลับจักรวรรดิต้าเกี๋ยน และข้าจะมอบโอสถวิเศษให้พวกเจ้าไว้รักษาตัวด้วย”
“ข้าไม่เคยมีความแค้นอะไรกับเจ้า… หากเจ้าปล่อยข้าไป เราก็ยังสามารถเป็นสหายกันได้”
ชายชราผมขาวพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองรอดชีวิต
“ให้ตายสิ เจ้ารู้จักคำว่าละอายใจบ้างไหมเนี่ย” หลินเป่ยเฉินพูดเหยียดหยามตอบกลับไป “มีพลังถึงขั้นเซียนเสียเปล่า กลับปราศจากกระดูกสันหลัง ข้าก็แค่พูดขู่เจ้าเฉยๆ เท่านั้น แต่เจ้ากลับคายความลับออกมาทั้งหมด เช่นนี้ยังจะมีผู้ใดไว้ใจเจ้าได้อีก?”
ชายชราผมขาวเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
“ยามที่ลำคอของคนเราพาดอยู่บนเขียง ทุกคนย่อมกลัวตายเป็นเรื่องธรรมดา ผู้เฒ่า… เพียงหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ผู้เฒ่ายังไม่อยากตาย…” เมื่อรู้ว่าสถานการณ์ของตนเองเป็นรองฝ่ายตรงข้ามทุกประตู ชายชราก็ได้แต่ขอร้องอ้อนวอนเด็กหนุ่มต่อไปเท่านั้น “ตราบใดที่เจ้าไม่สังหารผู้เฒ่า ผู้เฒ่ายินดีทำทุกอย่าง ผู้เฒ่าสามารถขึ้นให้การเป็นพยานเอาผิดจักรวรรดิต้าเกี๋ยนด้วยซ้ำ…”
“อยากจะกันตัวเองไว้เป็นพยานงั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกว่านี่คือคำโกหก
ชายชราผมขาวผู้นี้กลัวตายมากกว่าหวังจงเสียอีก แล้วจะกล้าขึ้นให้การเป็นพยานเอาผิดจักรวรรดิของตนเองได้อย่างไร?
แน่นอนว่าที่พูดออกมาเช่นนี้ ก็เพื่อเอาตัวรอดไปก่อนเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินถึงกับเกิดสังหรณ์อัปมงคลว่าชายชราผมขาวอาจหาโอกาสลอบสังหารเขาอีกครั้งก็เป็นได้
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะควบคุมชายชราผู้นี้
หลินเป่ยเฉินส่ายศีรษะ ตอบว่า “ไม่จำเป็น”
ทันใดนั้น เขาจับศีรษะชายชราแล้วบิด
กร๊อบ!
กระดูกลำคอของชายชราหักครึ่ง
“อะเฮือก…” ชายชราผมขาวมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความตกตะลึง “นี่เจ้า… เจ้า…”
เขาอุตส่าห์ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
แล้วทำไมหลินเป่ยเฉินถึงยังต้องฆ่าเขาอีก?
สวบ!
กระบี่สีเงินแทงทะลุหัวใจ
ให้ตายสิ
แค่หักคอยังไม่พอใจอีกหรือ?
ชายชราผมขาวมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยสติที่เลือนรางลงไปเรื่อยๆ
เด็กหนุ่มผู้นี้นับว่ามีสติปัญญาเฉียบแหลม สามารถรับมือกับวิกฤตการณ์ได้อย่างเยือกเย็น มิหนำซ้ำ ยังสามารถหาจังหวะโต้กลับได้อย่างร้ายกาจ
ผลก็คือ…
ชายชราไม่มีทางสู้ได้เลย
ทันใดนั้น ดูเหมือนหลินเป่ยเฉินจะรู้สึกว่าตนเองยังคงไม่ปลอดภัย เพราะอีกฝ่ายมีพลังถึงขั้นเซียน ย่อมสามารถสร้างค่ายอาคมร้ายกาจนานาชนิด ไม่แน่ว่าการหักคอและแทงหัวใจ อาจจะไม่ได้ทำให้ชายชราถึงแก่ความตายจริงๆ ก็เป็นได้
ด้วยเหตุนี้ คุณชายหลินจึงต้องใช้ไฟเผาศพของชายชราให้มอดไหม้ไปกับตา
บัดนี้ ชายชราผู้มีความชำนาญเรื่องการสร้างค่ายอาคม กลับไม่สามารถปกป้องแม้แต่ซากศพของตัวเองได้อีกแล้ว
เขาไม่น่ามาเป็นศัตรูกับหลินเป่ยเฉินเลยจริงๆ
ถุงเก็บสมบัติสีดำประดับลวดลายสีทองคำพลันร่วงหล่นลงมาจากกองขี้เถ้าในอากาศ
นอกจากนี้ ก็ยังมีกระบี่สีดำและเม็ดมรกตสีเขียวเป็นประกายเรืองรองเช่นเดียวกับดวงตาของชายชราร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าด้วยเช่นกัน
“พอผู้มีพลังระดับเซียนตายแล้ว ของวิเศษที่ติดตัวอยู่ก็จะถูกทิ้งทันทีเลยสินะ?”
มีข่าวลือว่าผู้มีพลังระดับเซียนบางคนมักจะใช้อวัยวะภายในร่างกายตนเองเป็นที่เก็บของวิเศษ อาจจะฟังดูเป็นสิ่งที่น่าขนลุกอยู่สักหน่อย แต่ว่ากันว่าการใช้อวัยวะภายในเป็นที่เก็บของวิเศษแทนถุงเก็บของทั่วไปนั้น มีความปลอดภัยมากกว่ากันหลายเท่า
เพราะเมื่อถูกฆ่าตายเท่านั้น ของวิเศษทั้งหมดจึงจะถูกดีดสะท้อนกลับออกมาจากร่างกาย
ยิ่งผู้ตายมีระดับพลังสูงมากเท่าไหร่ สิ่งของที่พกติดตัวก็ยิ่งเป็นของดีมากเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินพบว่านี่คือความรู้สึกที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
เด็กหนุ่มเก็บสิ่งของทั้งสามอย่างนั้นและทิ้งตัวกลับมาลงสู่พื้นดิน
“นายน้อยขอรับ นายน้อยกลับมาแล้ว นายน้อยแข็งแกร่งไร้เทียมทานที่สุด”
หวังจงวิ่งเข้ามาเสนอหน้าเป็นคนแรก ทำหน้าที่ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ที่ดีด้วยการประจบเอาใจเด็กหนุ่มอย่างสุดความสามารถ
หลินเป่ยเฉินทำเป็นมองไม่เห็นหวังจง แล้วหมุนตัวมาสวมกอดเฉียนเหมยกับเฉียนเจินที่วิ่งเข้ามาหาพร้อมกับปลอบโยนพวกนางว่า “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว ข้าปลอดภัยดีแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล”
เซียวปิงกวาดตามองรอบตัวและลดแขนที่อ้ากว้างของตนเองลงด้วยความเก้อเขิน แกล้งทำเหมือนไม่มีใครมองเห็น ก่อนจะก้มหน้าก้มตารับประทานน่องไก่ต่อจากเดิม
โหลวซานกวนกับเฉียนเฟยเซวียกำลังจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยสีหน้าซับซ้อนสับสน
การต่อสู้ครั้งนี้เปิดเผยให้เห็นถึงความสามารถที่แท้จริงของเด็กหนุ่ม
แข็งแกร่ง
แข็งแกร่งจนน่ากลัว
แม้ว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะแก่ชรามากเกินไป แต่ก็ต้องยอมรับว่าหลินเป่ยเฉินมีพรสวรรค์และระดับพลังสูงล้ำจนชายชราหน้านกเค้าแมวไม่สามารถต่อกรได้อย่างที่ควรจะเป็น
ปรากฏว่าการประเมินหลินเป่ยเฉินของพวกเขาก่อนหน้านี้ยังคงต่ำต้อยมากเกินไป
ความอัจฉริยะของเด็กหนุ่มไม่สามารถตรวจวัดได้จากระดับพลัง
มีแต่ต้องเห็นการต่อสู้ของหลินเป่ยเฉินด้วยตาตนเองเท่านั้น จึงจะรู้ว่าเด็กหนุ่มมีความยอดเยี่ยมมากเพียงใด
“พวกเรารีบเก็บของ เตรียมตัวเดินทางออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่งเสียงดังกังวาน
เมื่อมีศัตรูคอยจับตาดูอยู่ในความมืด เขาก็ไม่อยากเสียเวลาอีกแล้ว
มีแต่ต้องรีบไปให้ถึงนครหลวงให้เร็วที่สุดเท่านั้น
ทุกคนออกเดินทางยามราตรี
เมื่อไม่มีเรือเหาะให้โดยสาร การเดินทางจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า
ต้องใช้เวลาถึงสี่วันเต็มกว่าที่พวกเขาจะมาถึงมณฑลอวิ้นซุย ซึ่งเป็นที่ตั้งของนครหลวง
แต่ที่ทำให้หลินเป่ยเฉินแปลกใจก็คือตลอดการเดินทางราบรื่นไม่มีสิ่งใดรบกวน
และวันนี้โทรศัพท์มือถือก็อัปเกรดอุปกรณ์เสร็จสิ้นในที่สุด
ขณะนี้ มันกำลังรีสตาร์ทเครื่อง