ตอนที่ 862 เข้ามอบตัวดีหรือไม่?
ครั้งนี้นับว่านางขาดทุนย่อยยับ
เพื่อช่วยชีวิตหลินเป่ยเฉินให้อยู่รอดปลอดภัยในโลกมนุษย์ นางถึงกับต้องยอมเสียเงินจำนวนมาก นอกจากเป็นหนี้เป็นสินไปหยิบยืมมาจากพวกเงินกู้นอกระบบแล้ว เทพีกระบี่หิมะไร้นามถึงกับนำวิหารของตนเองไปจำนอง เพื่อเตรียมเงินและทรัพยากรทุกอย่างให้พร้อม สำหรับการเดินทางลงไปที่โลกมนุษย์เพื่อแก้แค้นให้แก่หลินเป่ยเฉิน
แต่ใครจะไปรู้เลยว่า…
หลินเป่ยเฉินยังคงอยู่รอดปลอดภัยดีทุกประการ
และเขาทำให้นางเป็นหนี้ก้อนโต
เมื่อคิดถึงพวกเทพเจ้าเงินกู้นอกระบบจอมโหดเหล่านั้น เทพีกระบี่หิมะไร้นามก็แทบจะกระอักเลือดออกมาโดยไม่รู้ตัว
ทำไมนางถึงได้มีโชคชะตาอาภัพเช่นนี้หนอ
ครอบครัวไม่มี เงินทองขาดแคลน ซ้ำยังมีหนี้สินท่วมหัว
ข้างกายเทพีกระบี่หิมะไร้นามในขณะนี้ เหลือแต่เพียงสุนัข แมวและนกซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงอย่างละตัวเท่านั้น
เทพีสาวนึกทบทวนการเข้ามอบตัวต่อเผ่าพันธุ์เทพพงไพรเพื่อแลกกับค่าหัวมหาศาลของตนเอง
เพราะถึงอย่างไรคนที่ขโมยคัมภีร์ห้าธาตุหลอมวิญญาณของพวกเขาก็คือนาง
“รบกวนสอบถามพี่ท่าน ไม่ทราบว่าป่านนี้พวกท่านจับหัวขโมยน้อยที่ขโมยคัมภีร์ห้าธาตุหลอมวิญญาณได้แล้วหรือยัง?”
นางถามกับนักรบสาวที่คุมประตูมิติ
นักรบสาวชำเลืองมองมาและตอบว่า “บัดนี้ยังจับไม่ได้ แต่ก็คงอีกไม่นานแล้วละ พวกเรามีการเพิ่มรางวัลนำจับเป็นคะแนนศรัทธาอีก 200,000 แต้ม ร่วมด้วยศิลาบูชาอีก 5,000 ก้อน ซ้ำยังมีอาวุธวิเศษและสมุนไพรวิเศษอีกจำนวนมาก…หากพวกเราสามารถจับหัวขโมยได้เมื่อไหร่ รับรองว่ามันต้องถูกจับมาป่นกระดูกและจองจำวิญญาณแผดเผาอยู่ในไฟนรกไปตลอดกาล”
เทพีกระบี่หิมะไร้นามเย็นวาบไปถึงขั้วหัวใจขณะตอบ “ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ ใครก็ตามที่คิดขโมยคัมภีร์ไปจากพวกท่าน นับว่ามันช่างโง่จริงๆ”
ให้ตายสิ
อำมหิตกันเหลือเกิน
แบบนี้คงมอบตัวไม่ได้แล้ว
ถ้าอย่างนั้น…
คงต้องโยนความผิดไปให้แก่หลินเป่ยเฉินแต่เพียงผู้เดียว
มีแต่ต้องส่งมอบตัวเขาให้พวกเทพพงไพรเท่านั้น
แต่คิดดูอีกที
ไม่ได้สิ
มีหวังเจ้าเด็กหนุ่มนั่นต้องซัดทอดนางแน่ๆ
สงสัยคงต้องรีบหาวิธีสร้างหัวขโมยขึ้นมาเพื่อรับค่าหัวจากเผ่าพันธุ์เทพพงไพรแล้วสิ
ใช่แล้ว
มีแต่ต้องทำอย่างนี้เท่านั้น
ที่สำคัญก็คือ น้องชายตัวแสบผู้นั้นมีหน้าตาหล่อเหลา ร่างกายกำยำสมส่วน ผิวพรรณขาวเนียน…
เพียงแค่คิด เทพีกระบี่หิมะไร้นามก็ต้องกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
นางเริ่มวางแผนในใจอย่างรวดเร็ว
…
ป่านนี้นางจะเป็นอย่างไรบ้างนะ?
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม จินตนาการเอาว่าในขณะนี้เทพีกระบี่หิมะไร้นามคงต้องเพ้อฝันถึงเรือนร่างของเขาจนน้ำลายไหลย้อยเป็นแน่แท้
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก้มหน้าตรวจสอบความเรียบร้อยของแอปอื่นๆ ในโทรศัพท์
เมื่อขึ้นสู่ขอบเขตพลังขั้นเซียนได้สำเร็จ แอปที่ไร้ประโยชน์มากที่สุดก็คงเป็นแอปออกกำลังกาย
ส่วนแอปกระบี่ 17 คาบสมุทรก็ยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ เพราะยังมีคัมภีร์อีกส่วนหนึ่งที่ขาดหายไป ส่วนวิชาอื่นๆ ที่เคยฝึกฝนอย่าง วิชากระบี่สามพิฆาต วิชาอินทรีถลานางแอ่นเหินลม ไปจนถึงวิชาการโคจรพลังลมปราณขั้นสูง ต่างก็ไร้ประโยชน์กับขอบเขตพลังในปัจจุบันของหลินเป่ยเฉินหมดแล้ว
มีแต่เพียงแอปห้าธาตุหลอมวิญญาณเท่านั้นที่ยังใช้ได้อยู่ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เด็กหนุ่มต้องการในตอนนี้ก็คือการหาคัมภีร์ระดับเซียนมาฝึกฝนเพิ่มเติม
หลินเป่ยเฉินนั่งนิ่งใช้ความคิด สงสัยคงมีแต่ต้องไปขึ้นทะเบียนเป็นผู้มีพลังระดับเซียนอย่างเป็นทางการแล้วสิ เขาถึงจะได้คัมภีร์ใหม่ตามที่ตนเองต้องการ
แต่กว่าจะได้คัมภีร์มาครอบครองคงไม่ง่ายแน่นอน
ส่วนแอปพลิเคชันอื่นนอกจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ ไม่ว่าจะเป็นแอปไป่ตู้ แมป แอปเมจิก คาเมร่า แอปเจิ้นอ้ายหว่าง และแอปอื่นๆ อีกมากมาย หลังโทรศัพท์ได้รับการอัปเกรด พวกมันก็พลอยได้รับการอัปเดตและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมหลายเท่า
หลินเป่ยเฉินพยายามกำหนดเส้นทางกลับโลกมนุษย์ใบเดิมโดยใช้แอปไป่ตู้แมป แต่ก็ยังล้มเหลว
ส่วนในแอปเจิ้นอ้ายหว่าง ธิดาอู๋ไห่จือตี้ส่งข้อความส่วนตัวมาหาเขามากมายก็จริง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคำร้องขอดูรูปภาพเสี่ยวเอ้อร์ เสี่ยวซาน ไปจนถึงเจ้าลูกเสือน้อย นอกจากนี้ นางยังส่งของขวัญเป็นปลาแห้งและข้าวเกรียบกุ้งมาให้พวกมันด้วย แต่เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินไม่ตอบข้อความ สุดท้ายธิดาอู๋ไห่จือตี้ก็ไม่ส่งอะไรมาอีก
เด็กหนุ่มรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
เขากำลังจะพิมพ์ข้อความส่งไปหาธิดาอู๋ไห่จือตี้ เพื่ออธิบายว่าทำไมตนเองถึงไม่ยอมตอบข้อความของนาง…
แต่แล้วในทันใดนั้น…
“นายน้อยขอรับ นายน้อย เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ…”
พ่อบ้านชราหวังจงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาราวกับถูกคนเหยียบหางอย่างไรอย่างนั้น
หลินเป่ยเฉินนึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที
เฮ้อ
ตาเฒ่าคนนี้ทำไมไม่รู้จักเปลี่ยนคำพูดบ้างนะ?
เอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาทีไร
รับรองว่ามีงานเข้าทุกที
“มีเรื่องอะไร?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความไม่พอใจ
“กงกงอยากเข้าพบนายน้อยขอรับ”
หวังจงตอบ
หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าอย่างขุ่นเคือง “กงกงไหนอีก? เอ๋? ทำไมชื่อนี้ถึงได้ฟังดูคุ้นหูชอบกล… อ้อ นึกออกแล้ว ชื่อคนขับรถม้าของข้านี่เอง ว่าแต่เขาอยากมาพบข้าด้วยเหตุอันใด? ขอบอกเลยนะว่าถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ เจ้าตายแน่ หวังจง”
“ไม่ใช่กงกงนั้นขอรับ แต่หวังจงหมายถึงกงกงจริงๆ” หวังจงยืนย่ำเท้าอยู่กับที่ด้วยความร้อนใจ “กงกงท่านนี้มาจากวังหลวง สวมใส่เครื่องแบบเต็มยศ อยากขอเข้าพบนายน้อย…ก่อนหน้านี้ องค์ชายเจ็ดก็ส่งคนมาเตือนว่าอาจมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ให้นายน้อยได้โปรดระมัดระวังตัวเอาไว้ อาจเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่นายน้อยกระทำในวันนี้ก็ได้ขอรับ บางทีองค์จักรพรรดิอาจจะไม่พอพระทัย…”
อ้าว?
หมายถึงกงกงที่เป็นขันทีน่ะหรือ?
หรือจะมาเพราะเรื่องที่เขาไปฆ่านักรบชาวจี้กวงพวกนั้นนะ?
น่าสนใจนี่นา
อยากรู้แล้วสิว่าทางราชวงศ์จะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร
หลินเป่ยเฉินเดินขึ้นจากบ่อน้ำพุร้อน
หวังจงยืนรออยากจะช่วยนายน้อยแต่งตัว แต่กลับถูกเด็กหนุ่มกระโดดถีบขาคู่กลิ้งกระเด็นออกไป พร้อมกับแผดเสียงคำรามว่า “ไปตามตัวเฉียนเหมยกับเฉียนเจินเข้ามา…”
สองสาวรับใช้รอให้เด็กหนุ่มสวมใส่เสื้อคลุมเสร็จเรียบร้อย ก็ช่วยเขาเช็ดผมให้แห้งและออกจากบ่อน้ำพุร้อนมาพร้อมกัน
หวังจงยืนอยู่ข้างทาง สองมือกุมก้นของตนเอง ที่ก้นยังมีรอยเท้าของเด็กหนุ่มประทับชัดเจน
ชายชราถอนหายใจออกมาด้วยความปลาบปลื้ม “ฮื่อ นายน้อยเติบโตขึ้นแล้วสินะ…”
หลังจากนั้นไม่นาน
ในสวนดอกไม้ของจวนซางจั้วหยวน
หลินเป่ยเฉินเดินเข้ามาด้วยชุดเสื้อคลุมอาบน้ำ กวาดสายตามองรอบบริเวณ สีหน้าขึงขัง
ขันทีกลุ่มหนึ่งนั่งรออยู่ในห้องโถงใหญ่
ขันทีคนแรกสวมใส่ชุดเครื่องแบบสีแดงเข้ม เพียงมองดูปราดเดียวก็รู้แล้วว่าสถานะสูงส่ง ผมบนศีรษะและหนวดใต้คางเป็นสีขาว ใบหน้าหล่อเหลา ลักษณะนุ่มนวลอ่อนหวาน ถ้าโกนหนวดเหล่านั้นออกไป เขาก็จะเป็นบัณฑิตเฒ่าที่ดูสุขุมมากคนหนึ่ง
นอกจากนี้ ก็ยังมีขันทีผู้ติดตามสวมใส่เสื้อคลุมสีม่วงเข้มอีกหลายคน บางคนยังหนุ่ม บางคนชราแล้ว บางคนตัวใหญ่ บางคนตัวเล็ก บรรยากาศจึงผสมผสานกันอย่างน่าพิศวง แต่เพียงชำเลืองมองวูบหนึ่ง หลินเป่ยเฉินก็พอจะดูออกว่าขันทีกลุ่มนี้ชำนาญเรื่องการฆ่าคนอยู่ไม่น้อย
ทุกคนมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ ระดับพลังไม่ต่ำต้อย
โดยเฉพาะขันทีชราที่ใส่ชุดสีแดงเข้ม เด็กหนุ่มไม่สามารถตรวจจับได้ในขณะนี้ว่าเขามีพลังอยู่ในขั้นไหนกันแน่
“พวกท่านมาหาข้าหรือ?” หลินเป่ยเฉินเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่ตัวใหญ่ที่สุดและหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ ก่อนถามต่อ “มีเรื่องอะไร? เชิญท่านพูดมาได้เลย”
สีหน้าของกลุ่มขันทีเปลี่ยนแปลงไป
“เจ้าคือหลินเป่ยเฉินอย่างนั้นหรือ? เจ้ารู้ตัวไหมว่าตนเองได้ก่อหายนะใหญ่หลวงขึ้นมาแล้ว…”
ขันทีหนุ่มร่างผอมในชุดสีม่วงคนหนึ่ง แสดงความหงุดหงิดทางสีหน้าและแผดเสียงคำรามออกมา
ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 70 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย