ตอนที่ 867 สุนัขขี้เรื้อน
“ถ้าทนได้ไม่ถึงเวลาหนึ่งก้านธูป นั่นก็หมายความว่าการขึ้นทะเบียนของคุณชายจะล้มเหลว”
เกออู๋โหยวยิ้มออกมา
“สิ่งที่อยู่ในค่ายอาคมจำแนกปราณธาตุอันตรายมาก หากเจ้าไม่แน่ใจว่าตนเองจะรับมือไหว กลับไปตอนนี้ก็ยังทันนะ”
จูจวิ้นหลานหัวเราะเยาะและกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เคยมีตัวโง่งมมากมายเข้ารับการทดสอบเช่นเจ้า แต่พวกเขาก็ต้องตายอย่างน่าอนาถอยู่ในค่ายอาคมนั้น แม้แต่วิญญาณก็ไม่สามารถกลับออกมาได้ เนื่องจากวิญญาณต้องติดอยู่ในนั้นไปตลอดกาล”
หลินเป่ยเฉินไม่สนใจรับฟัง
ไอ้จมูกหักนี่คงตั้งใจปั่นหัวเขาอยู่แล้ว
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องสนใจคำพูดของจูจวิ้นหลาน
เขาหันกลับไปถามเกออู๋โหยวว่า “หมายความว่าถ้าทนอยู่ในนั้นได้ครบเวลาหนึ่งก้านธูป ก็จะถือว่าผ่านด่านนี้ได้สำเร็จสินะ แล้วถ้าสามารถอยู่ได้เลยกำหนดหนึ่งก้านธูปเล่า?”
เด็กหนุ่มผู้ดูแลเจดีย์ตอบ “ฮ่าฮ่าฮ่า หลักการในเรื่องนี้เรียบง่ายมาก ยิ่งสามารถอยู่ในค่ายจำแนกปราณธาตุได้นานมากเท่าไหร่ นั่นก็หมายความว่าผู้ทดสอบมีพลังลมปราณแข็งแกร่งมากเท่านั้น และผู้ทดสอบจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มผู้มีพลังระดับเซียนขั้นสูง”
หลินเป่ยเฉินถามต่อด้วยความพิศวง “ยังจะมีแบ่งระดับเซียนกันอีกหรือ?”
“ช่างโง่เขลาอะไรขนาดนี้”
จูจวิ้นหลานยังคงเหยียดหยามต่อไป
หลินเป่ยเฉินก็ยังแกล้งไม่สนใจต่อไป
เกออู๋โหยวอธิบายพร้อมกับยิ้มกว้าง “สำหรับผู้มีพลังระดับเซียนนั้นจะถูกแบ่งออกเป็นสี่ขั้น ประกอบไปด้วยขั้นเหรียญทองแดง ขั้นเหรียญเงิน ขั้นเหรียญทองคำ และขั้นเหรียญตราศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสิทธิในการตัดสินมอบขั้นต่างๆ ให้แก่ผู้ทดสอบจะขึ้นอยู่กับสมาคมผู้มีพลังระดับเซียนแต่เพียงผู้เดียว”
“ขั้นต่างๆ เหล่านี้คงเป็นตัวแทนความสามารถของผู้ทดสอบ?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยสีหน้าครุ่นคิดและกล่าวต่อ “แต่ละขั้นมีความแตกต่างกันหรือไม่? สมมุติว่า ผู้ที่มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองคำจะได้รับทรัพยากรสำหรับการฝึกฝน มากกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเซียนขั้นเหรียญเงินกับเหรียญทองแดงสินะ?”
เกออู๋โหยวพยักหน้า ตอบว่า “คุณชายเข้าใจถูกต้องแล้ว มีแต่ยอดอัจฉริยะที่แท้จริงเท่านั้น จึงจะได้รับการดูแลจากสมาคมอย่างดีที่สุด”
จูจวิ้นหลานชำเลืองมองมาที่หลินเป่ยเฉินและแสยะยิ้มด้วยความขบขัน “เจ้าคิดว่าตนเองจะอยู่รอดได้ครบหนึ่งก้านธูปเชียวหรือ? ระดับพลังต่ำต้อยอย่างเจ้า เต็มที่ก็คงได้อยู่ในขั้นเหรียญทองแดงเท่านั้น คิดที่จะได้อยู่ในขั้นเหรียญเงินหรือสูงกว่านั้นรึ? ฮ่าฮ่าฮ่า รีบตื่นจากฝันกลางวันเสียที”
ชายฉกรรจ์จมูกงอยังคงเล่นสงครามประสาทกับหลินเป่ยเฉินอย่างต่อเนื่อง
เพราะสำหรับผู้มีพลังระดับเซียน เมื่อต้องเข้ารับการทดสอบในค่ายอาคมจำแนกปราณธาตุ หากจิตใจไม่สงบแล้วนั้น ประสิทธิภาพในการต่อสู้ก็จะลดน้อยลง
หลินเป่ยเฉินยังคงทำเป็นไม่ได้ยิน
เขายกมือขึ้นมาทำท่าดันแว่นด้วยความเคยชิน
ความคิดบางอย่างปรากฏขึ้นในหัวใจ
เกออู๋โหยวถามออกมาอย่างอดทนว่า “คุณชายยังมีคำถามใดอีกหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้าตอบกลับไป “ไม่มีแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า”
เขาหัวเราะและเดินตรงไปยังอุโมงค์ดำมืดที่อยู่เบื้องหน้า
“สุดทางเดินจะเป็นประตูมิติขนาดเล็กที่จะนำพาคุณชายไปยังค่ายอาคมประจำพลังปราณธาตุ คุณชายต้องเลือกชนิดของพลังปราณธาตุให้ถูกต้อง ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณชายจะสามารถผ่านบททดสอบนี้ได้สำเร็จ…” เกออู๋โหยวส่งเสียงตะโกนตามมาด้านหลัง
“สุนัขขี้เรื้อน…”
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าตื่นเต้นขณะเร่งฝีเท้าวิ่งเข้าไปในอุโมงค์และตะโกนกลับมาว่า “เจ้าคอยดูให้ดีก็แล้วกันว่าใครจะได้หัวเราะทีหลังกันแน่!”
เกออู๋โหยวขมวดคิ้ว
สุนัขขี้เรื้อนอันใด?
หลินเป่ยเฉินมีเจตนาพาดพิงจูจวิ้นหลานใช่หรือไม่?
หลายคำถามปรากฏขึ้นในหัวใจของเกออู๋โหยว
เช่นเดียวกับความมึนงงสงสัยที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของขันทีชราจางเชียนเชียน
ชายชราพยายามรักษาท่าทีให้เยือกเย็นพลางอธิบายว่า “อ้อ นี่เป็นบทเพลงที่โด่งดังมากในเมืองหยุนเมิ่ง เวลาที่บุรุษหนุ่มจะออกไปสู้รบ พวกเขามักร้องออกมาเพื่อปลุกใจตนเอง”
“จริงหรือ?”
เกออู๋โหยวมั่นใจว่าตนเองเพิ่งเคยได้ยินบทเพลงนี้เป็นครั้งแรก
ขันทีชราจางเชียนเชียนพยักหน้าตอบรับอย่างไม่มีสิ่งใดผิดปกติ “ย่อมจริงแท้แน่นอน…”
แปลกประหลาด
เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณชายหลินจะตะโกนออกมาเพื่ออะไร
…การต้องมาดูแลบุคคลสมองเสื่อมเช่นนี้ ถือเป็นงานที่หนักหนาสาหัสเหลือเกิน
…
สุดทางเดินในอุโมงค์เป็นห้องโถงใหญ่มืดมิด
ปรากฏแสงสว่างหลายสีสันพุ่งตรงลงมาจากเพดานจรดพื้นหิน
แสงสว่างเหล่านั้นมีสีสันต่างกันไป
บนพื้นเกิดเป็นเส้นวงกลมหลากหลายวง
และถ้าจะลองพิจารณาดูให้ดีก็จะเห็นว่าบนพื้นที่อยู่ในลำแสงวงกลมเหล่านั้น ปรากฏวัตถุคล้ายโลหะบางชนิดถูกตั้งเอาไว้สำหรับให้ผู้ทดสอบเดินขึ้นไปยืนเหยียบ
“นี่แหละมั้งประตูมิติอะไรนั่น?”
ประตูมิติเหล่านี้จะพาขึ้นไปยังชั้นต่างๆ ในเจดีย์
เมื่อกวาดสายตาสำรวจมองโดยรอบ หลินเป่ยเฉินก็พบเข้ากับวงแหวนลำแสงสีทองคำ ซึ่งเป็นตัวแทนของพลังปราณธาตุทองคำ
เขาก้าวเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล
ลมหายใจต่อมา เสียงนับถอยหลังก็ดังขึ้น
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็รู้สึกเหมือนกำลังนั่งรถไฟเหาะตีลังกา ร่างกายปราศจากน้ำหนัก ลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศ
ต่อมา ดวงตาของเขาพร่าพราย
แล้วดินแดนที่แปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหลินเป่ยเฉิน
ที่นี่มีแต่แสงสว่างสีทองคำ ไม่มีพื้นดิน
ดวงอาทิตย์ลอยตัวอยู่ห่างไกล สาดแสงรัศมีสีทองอร่าม ไม่สามารถบอกได้เลยว่านี่คือยามพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตก
แสงแดดไม่ร้อน
และจุดที่หลินเป่ยเฉินกำลังยืนอยู่ก็เป็นแผ่นโลหะสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ
เมื่อเขายืนอยู่ด้านบน ตนเองก็มีสภาพไม่ต่างไปจากหินก้อนเล็กๆ ที่อยู่บนบ้านต้นไม้หลังใหญ่
พื้นที่บนแผ่นโลหะสี่เหลี่ยมนี้กว้างใหญ่เสียจนมองไปไกลสุดลูกหูลูกตา
ส่วนบริเวณโดยรอบแผ่นโลหะปรากฏสิ่งที่คล้ายกับกล่องไม้ขีดลอยตัวอยู่ในอากาศเป็นจำนวนมาก
ภายใต้แสงตะวัน เสาโลหะเกิดประกายวิบวับแวววาว
ครืน!
ทันใดนั้น แผ่นโลหะใต้เท้าสั่นสะเทือน
หลินเป่ยเฉินสัมผัสได้ถึงรังสีอันตรายที่คุกคามเข้ามาจากทางด้านหลัง
เขาหันหลังกลับไป
และสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างคล้ายกับสิงโตทองคำตัวหนึ่งก็ทิ้งตัวลงมายืนอยู่บนแผ่นโลหะ มันระเบิดเสียงคำรามดังสนั่น ก่อนจะวิ่งสี่เท้าพุ่งเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินด้วยความดุร้าย
“เชี่ย ยังไม่ตรุษจีนสักหน่อย มาเชิดสิงโตอะไรตอนนี้”
เด็กหนุ่มคำรามลั่น และตั้งท่าเตรียมรับมือการโจมตี
…
ในโถงทางเดินบนชั้นสอง
ขันทีชราจางเชียนเชียนยืนรออยู่ที่ทางเข้าอุโมงค์เพียงลำพัง
ข้างทางเดินเป็นโต๊ะตั้งกระถางธูป ธูปสีม่วงดอกหนึ่งถูกปักลงไปและมันกำลังเผาไหม้อย่างช้าๆ
ควันขาวม้วนตัวขึ้นในอากาศ ก่อให้เกิดบรรยากาศที่น่าขนลุก
เกออู๋โหยวกับจูจวิ้นหลานไม่ได้อยู่ตรงนี้อีกแล้ว
บนชั้นที่ 21 ของเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ ใน ‘ห้องสังเกตการณ์’ เต็มไปด้วยจออาคมขนาดเล็กใหญ่ เกออู๋โหยวผู้สวมใส่เสื้อสีน้ำเงินนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ถือถ้วยน้ำชาอยู่ในมือ บนใบหน้าประดับรอยยิ้ม ท่าทางสบายอกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนชายฉกรรจ์จมูกตะขอจูจวิ้นหลานก็กำลังนั่งหัวเราะเยาะอยู่ที่โต๊ะหยกขาวขนาดใหญ่ นิ้วมือของเขาจิ้มลงไปบนพื้นผิวของโต๊ะ ซึ่งมีลวดลายสลับซับซ้อนราวกับเป็นวงจรการทำงานของเครื่องจักรกล
“หึหึ ข้าปรับให้เป็นระดับยากสุดแล้ว มาดูกันเถอะว่าเจ้าลูกเต่าตัวนี้จะอยู่ได้ครบหนึ่งก้านธูปหรือไม่”
จูจวิ้นหลานพึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าชั่วร้าย
“นี่ ห้ามฆ่าคนเป็นอันขาด”
เกออู๋โหยวยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบและพูดต่อ “เด็กคนนี้เป็นคนของราชวงศ์ อย่ารังแกเขาให้มากเกินไป ข้ารับของขวัญของพวกเขามาแล้ว”
“ว่าไงนะ?”
จูจวิ้นหลานหันกลับมาถาม “ของขวัญที่ทางราชวงศ์เป่ยไห่ให้เจ้า เทียบได้กับของขวัญที่ข้าให้เจ้าเชียวหรือ?”
เกออู๋โหยวยิ้มตอบว่า “ข้าเองก็ไม่อยากรับของขวัญจากท่านหรอก เสียแต่ว่าปฏิเสธไม่ได้ เพราะว่าท่านให้มากเกินไป”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
จูจวิ้นหลานระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ฆ่าเขาหรอก ข้าก็แค่อยากเล่นสนุกสักหน่อยเท่านั้น ส่วนเจ้าลูกเต่าตัวนี้จะผ่านการทดสอบในด่านนี้ได้หรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับตัวเขาเองแล้ว”