ตอนที่ 868 คัมภีร์กระบี่เซียนทองคำ
ขันทีชราจางเชียนเชียนชำเลืองมองก้านธูปสีม่วงเข้มที่กำลังเผาไหม้อยู่ในกระถางธูปด้านข้าง
บัดนี้ธูปเผาไหม้มาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว
“ดูเหมือนจะใช้เวลานานกว่าที่คิดแล้วสิ?”
เขาขมวดคิ้ว
การเผาไหม้ของธูปก้านนี้ช้ากว่าปกติถึงสองเท่า
ชายชราพยายามพูดถึงหลินเป่ยเฉินในแง่ดีที่สุดยามอยู่ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ เพราะเขามองออกว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีฝีมือไม่ธรรมดา
แต่ในการขึ้นทะเบียนสำหรับผู้มีพลังระดับเซียนอย่างเป็นทางการนั้น มีปัจจัยอื่น ๆ เป็นตัวแปรสำคัญมากมาย
อย่างเช่น ค่ายอาคมจำแนกปราณธาตุ พวกมันถูกสร้างขึ้นมาโดยผู้มีพลังระดับเซียนขั้นสูงสุดของแผ่นดินตงเต้า และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในหกค่ายอาคมที่มีความแปลกประหลาดพิสดารมากที่สุด
ไม่ทราบเลยว่ามียอดฝีมือระดับเซียนมากมายเพียงใดต้องมาพ่ายแพ้ให้แก่ค่ายอาคมนี้
กาลเวลาผ่านไป
ขันทีชราจางเชียนเชียนได้แต่เดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าทางเข้าอุโมงค์ด้วยความวิตกกังวล
ในที่สุด ก้านธูปก็เผาไหม้หมดสิ้น
ชายชราถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เพราะว่า
นี่หมายความว่าหลินเป่ยเฉินสามารถผ่านด่านแรกได้สำเร็จแล้ว
การทดสอบด่านนี้ถือเป็นด่านสำคัญที่สุดในการขึ้นทะเบียน
ตราบใดที่สามารถผ่านด่านนี้ได้สำเร็จ อีกสองด่านที่เหลืออยู่ก็ไม่ใช่ปัญหา
ในอุโมงค์ที่มืดมิด ได้ยินเสียงฝีเท้าคนวิ่งออกมา
ขันทีชราจางเชียนเชียนหันหน้ากลับไปมอง
เขาเห็นหลินเป่ยเฉินวิ่งโซเซออกมาด้วยสภาพที่เสื้อคลุมสีขาวแปดเปื้อนเลือด “สิงโตผีสางนั่นเกือบจะฆ่าข้าซะแล้วสิ…”
ได้รับบาดเจ็บ?
ขันทีชราจางเชียนเชียนตกตะลึงและรีบวิ่งเข้าไปช่วยประคองหลินเป่ยเฉิน ก่อนถามอย่างเป็นกังวล “คุณชายหลิน ท่านปลอดภัยดี…หรือไม่?”
“ข้าปลอดภัยดี อย่างน้อยก็ผ่านด่านนี้ได้แล้ว”
หลินเป่ยเฉินโบกมือพร้อมกับหอบหายใจ “ข้าแค่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย พักสักหน่อยก็หาย”
“หึหึ บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย?”
เสียงหัวเราะเหยียดหยามของจูจวิ้นหลานดังขึ้น “นึกว่าเจ้าจะอยู่ได้นานสักสิบก้านธูปเสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่า… เหอเหอเหอ วางท่าใหญ่โตสูงส่งเทียมฟ้า ตัวจริงกลับเปราะบางยิ่งกว่าแผ่นกระดาษ ช่างน่าละอายยิ่งนัก”
หลินเป่ยเฉินยังคงไม่สนใจ
คำที่พูดออกมาจากปากชายฉกรรจ์คนนี้หาได้มีความหมายไม่
รอให้มีโอกาสเหมาะ ๆ ก่อนเถอะ เขาจะทำให้ไอ้จมูกหักคนนี้ต้องมาคุกเข่าอ้อนวอนร้องขอชีวิตให้ได้
“คุณชายหลินปลอดภัยดีใช่หรือไม่?”
เกออู๋โหยวเดินเข้ามาสอบถาม “ข้ามียาสมานแผลเทียนอวี่ คุณชายได้โปรด…”
หลินเป่ยเฉินโบกมือปฏิเสธพร้อมกับตอบว่า “ไม่เป็นไร ข้าพกยามาด้วย”
พูดจบ เขาก็ดาวน์โหลดผงขาวเป่ยเฉินออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ มันเป็นผงที่มีลักษณะคล้ายผงแป้ง ซึ่งได้มาจากการนำกรงเล็บสิงโตอสูรไปบดละเอียด
“เฮอะ อวดดีนัก ยาสมานแผลเทียนอวี่นับเป็นยาวิเศษที่จัดทำขึ้นมาเพื่อผู้มีพลังระดับเซียนโดยเฉพาะ ยากที่จะหายาชนิดใดมาเทียบเคียง คุณชายเกอเมตตาเจ้าถึงเพียงนี้ น่าเสียดายที่เจ้ากลับไม่เห็นคุณค่า” จูจวิ้นหลานยังคงกล่าวเย้ยหยันต่อไป “ผงยาราคาถูกของเจ้าจะมีปัญญาทำสิ่งใด หากมันสามารถรักษาบาดแผลที่เกิดขึ้นจากสัตว์อสูรทองคำในค่ายอาคมจำแนกปราณธาตุได้สำเร็จล่ะก็ ข้าจะ…”
คำพูดของเขากลับขาดหายไป
เพราะชายฉกรรจ์กำลังตกตะลึงเมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินเป่าผงแป้งเหล่านั้นลงไปบนบาดแผลตามร่างกาย เพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น บาดแผลเหล่านั้นก็อันตรธานหายไป ราวกับว่าหลินเป่ยเฉินไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน
เป็นไปได้อย่างไร
มียาวิเศษเช่นนี้อยู่ในโลกนี้ด้วยหรือ?
จูจวิ้นหลานตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
สัตว์อสูรที่อยู่ในค่ายอาคมมีพลังเท่ากับสัตว์ระดับเซียน บาดแผลที่เกิดขึ้นจากพวกมันรักษาไม่ง่าย จำเป็นต้องใช้โอสถคุณภาพสูงเท่านั้นเพื่อไม่ให้มีผลข้างเคียงตามมา
พูดง่าย ๆ ก็คือบาดแผลที่เกิดขึ้นจากพวกมัน จำเป็นต้องใช้ยารักษาคุณภาพสูงและราคาแพง
แต่ผงแป้งของหลินเป่ยเฉินคืออะไร?
ดวงตาของจูจวิ้นหลานเป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นมาอีกครั้ง
หากสามารถรู้ได้ว่าผงแป้งชนิดนี้ทำมาจากอะไร บางทีเขาก็อาจจะรู้สูตรปรุงมันได้ไม่ยาก
เกออู๋โหยวมีสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็สามารถเก็บอาการได้อย่างแนบเนียน เขายิ้มและถามว่า “ยังเหลือบททดสอบให้คุณชายหลินได้พิสูจน์ฝีมืออีกสองด่าน ไม่ทราบว่าคุณชายต้องการหยุดพักเพื่อปรับระดับพลังในร่างกายก่อน หรือคุณชายจะทำการทดสอบต่อไปเลยขอรับ?”
“ยังจะต้องถามอีกหรือ?”
จูจวิ้นหลานส่งเสียงแทรกขึ้นมา “สภาพบาดเจ็บปางตายเพียงนี้ จะไปทดสอบต่อไหวได้อย่างไร เขาต้องเลือกพักก่อนอยู่แล้ว”
หลินเป่ยเฉินแค่นหัวเราะในลำคอ ไม่สนใจชายฉกรรจ์จมูกงอซึ่งมีรายชื่ออยู่ในบัญชีแค้นของเขาเรียบร้อย เขาหันกลับไปถามเกออู๋โหยว “ไม่ทราบว่าบททดสอบที่เหลืออยู่อีกสองด่าน ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง?”
เกออู๋โหยวตอบว่า “บททดสอบที่สองคือการเลือกคัมภีร์ฝึกวิชาระดับเซียน คุณชายมีเวลาหนึ่งชั่วยามในการอ่านและทำความเข้าใจ หลังจากนั้น คุณชายก็ต้องไปที่ค่ายอาคมกระจกสะท้อนปัญญาเพื่อทดสอบความเข้าใจในคัมภีร์ที่ตนเองเลือก ส่วนบททดสอบด่านที่สามจะเป็นบททดสอบการต่อสู้ขอรับ”
“มีเวลาให้ทำความเข้าใจคัมภีร์ได้แค่ชั่วยามเดียวเนี่ยนะ?” หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ “คัมภีร์ระดับเซียนมันฝึกกันง่ายดายขนาดนั้นเลยหรือไร?”
“หึหึ หากเจ้าคิดว่าตนเองทำไม่ได้ จะถอนตัวตอนนี้ก็ยังไม่สาย ไม่มีใครคิดเหนี่ยวรั้งเจ้าเอาไว้สักหน่อย” จูจวิ้นหลานพูดยั่วโมโหเช่นเคย
ยังคงพยายามก่อกวนสมาธิหลินเป่ยเฉินไม่หยุดยั้ง
ตราบใดที่จิตใจว่อกแว่กไม่มีสมาธิ ถึงมีพลังระดับเซียน แต่ประสิทธิภาพในการต่อสู้ก็จะลดน้อยลงมากโข
“ผู้มีพลังระดับเซียนมากมายสามารถบรรลุวิชาที่ตนเองเลือกได้ในเวลาหนึ่งชั่วยาม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่จะสามารถตัดสินว่าคุณชายจะผ่านบททดสอบนี้ได้หรือไม่ ก็อยู่ที่การเข้าไปทดสอบในค่ายอาคมกระจกสะท้อนปัญญาขอรับ” เกออู๋โหยวยังคงอธิบายอย่างอดทน
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องหยุดพัก ข้าจะทดสอบต่อเลย”
เกออู๋โหยวพยักหน้ากล่าวว่า “รับทราบขอรับ”
หลังจากนั้น เขาก็พาทุกคนเดินเข้าสู่ประตูมิติขนาดเล็ก
มันเป็นค่ายอาคมที่ส่งพวกเขาเข้าไปยังส่วนลึกในเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ
พื้นที่ในค่ายอาคมแห่งนี้มีแสงสลัวราวกับเป็นยามพลบค่ำ แม้แสงสว่างมีไม่มาก แต่ก็ยังมากพอที่จะทำให้มองเห็นวัตถุสิ่งของที่อยู่รอบกาย
ตรงหน้าของหลินเป่ยเฉินตั้งไว้ด้วยคัมภีร์กองใหญ่
มันวางซ้อนกันมีความสูงแหงนมองคอตั้งบ่า
คำนวณดูด้วยสายตา คาดว่าน่าจะมีคัมภีร์ให้เลือกสรรไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนเล่ม
คัมภีร์แต่ละเล่มมีแสงสว่างส่องออกมาแตกต่างกันไป และนั่นก็ทำให้กองภูเขาคัมภีร์มีสีสันสวยงามเจิดจรัส ไม่ต่างจากหมู่ดาวบนฟากฟ้าที่มารวมตัวกันในพื้นที่เดียว…
“นี่คือกองคัมภีร์ที่คุณชายต้องเลือก คัมภีร์บางเล่มเป็นเพียงสมุดเปล่า บางเล่มก็เป็นคัมภีร์ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐาน และบางเล่มก็เป็นคัมภีร์ฝึกยุทธ์สำหรับผู้มีพลังระดับเซียน”
เกออู๋โหยวผายมือไปยังกองคัมภีร์ที่อยู่เบื้องหน้า “คุณชายหลินต้องรีบหาคัมภีร์ที่เหมาะสมสำหรับตนเอง พวกเรามีเวลาให้คุณชายหนึ่งชั่วยาม หากครบกำหนดแล้วคุณชายยังเลือกไม่ได้ ก็จะถือว่าไม่ผ่านการทดสอบ”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วพลางบ่นว่า “คัมภีร์มากมายก่ายกองเช่นนี้ มีเวลาให้เลือกเพียงชั่วยามเดียว ก็คงต้องอาศัยโชคช่วยเพียงอย่างเดียวแล้วกระมัง”
เป็นไปอย่างที่คิด จูจวิ้นหลานคว้าโอกาสนี้เหยียดหยามหลินเป่ยเฉินโดยไม่ลังเลอีกครั้ง “การที่ใครสักคนจะเป็นผู้มีพลังระดับเซียนได้ คนผู้นั้นย่อมมีความพิเศษมากกว่าบุคคลทั่วไป นี่หมายความว่าเจ้าต้องมีพรสวรรค์และความพร้อมในทุก ๆ ด้าน หากเจ้าไม่สามารถหาคัมภีร์ให้แก่ตนเองได้สำเร็จ นั่นก็คงเป็นลิขิตจากสวรรค์ที่ไม่อยากให้เจ้ากลายเป็นผู้มีพลังระดับเซียนแล้ว”
หลินเป่ยเฉินยังคงไม่สนใจ
เกออู๋โหยวรีบให้คำแนะนำว่า “คุณชายหลินสามารถใช้พลังจิตและพลังลมปราณของตนเองสำรวจดูได้ว่า มีคัมภีร์ชนิดใดเหมาะสมกับระดับพลังของท่านบ้างหรือไม่”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง”
หลินเป่ยเฉินเข้าใจในที่สุด
เมื่อรู้อย่างนี้ก็ไม่น่ามีปัญหา
เขาประสานมือขอบคุณเกออู๋โหยวและเดินตรงเข้าไปหากองคัมภีร์
“สุนัขขี้เรื้อน… เจ้าคอยดูให้ดีก็แล้วกันว่าใครจะได้หัวเราะทีหลังกันแน่…”
เสียงเพลงปลุกใจดังก้องกังวานไปทั่วค่ายอาคม
ขันทีชราจางเชียนเชียนกลับมามีสีหน้าตึงเครียดอีกครั้ง
ภายใต้การจ้องมองของทุกคน หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปยังฐานของกองคัมภีร์ เด็กหนุ่มหยุดชะงักและโคจรพลังลมปราณ ก่อนจะยกมือขึ้นกระดิกนิ้วมือในอากาศ ผ่านไป 30 ลมหายใจ เขาก็ก้มตัวลงและหยิบคัมภีร์สภาพเก่าแก่ยับเยินเล่มหนึ่งออกมา หลินเป่ยเฉินประคองมันด้วยสองมือราวกับกำลังถือสมบัติล้ำค่า สุดท้าย เขาก็หมุนตัวเดินกลับมาอย่างมีความสุข
สีหน้าผ่อนคลายแจ่มใส ไม่ต่างจากคนที่แวะชมความสวยงามของดอกไม้ริมทาง
เด็กหนุ่มคนนี้จะทำอะไรต่อไปอีก?
ขันทีชราจางเชียนเชียนขมวดคิ้วนิ่วหน้า
จูจวิ้นหลานหัวเราะเยาะ
เกออู๋โหยวมีสีหน้าเรียบเฉยไม่สุขไม่เศร้า
เมื่อหลินเป่ยเฉินเดินกลับมาถึง เกออู๋โหยวก็ส่งยิ้มให้และถามว่า “คุณชายหลินเลือกคัมภีร์ได้แล้วหรือ?”
“ย่อมเลือกได้แล้ว”
หลินเป่ยเฉินยกคัมภีร์สภาพเก่าครึในมือขึ้นชูด้วยความภาคภูมิใจ “นี่คือ… คัมภีร์กระบี่เซียนทองคำ”