บทที่ 89 โรงเตี๊ยมชิงฝู
ความคมของกระบี่วิหคครามเทียบเท่ากับยอดศาสตราวุธชนิดหนึ่ง
นอกจากนี้ บนตัวกระบี่ยังสลักสัญลักษณ์วิเศษเอาไว้ถึง 16 ตำแหน่ง ซึ่งมากเท่าที่กระบี่ระดับ 1 ดาวจะมีได้แล้ว
หลังเหน็บกระบี่วิหคครามเข้ากับข้างเอว หลินเป่ยเฉินก็แต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมใส่หน้ากากปิดบังใบหน้า หลบหนีออกจากสถานศึกษากระบี่ที่สาม โดยไม่มีผู้ใดพบเห็น
นี่คือครั้งแรกที่เด็กหนุ่มออกนอกสถานศึกษา หลังครอบครัวล่มสลาย
พ่อบ้านหวังอยากติดตามมาด้วย แต่หลินเป่ยเฉินก็สั่งให้ชายชรารออยู่ที่ตำหนักไม้ไผ่ต่อไป
แค่นี้หลินเป่ยเฉินก็ปลอมตัวยากลำบากมากพอแล้ว เกิดพาพ่อบ้านหวังห้อยท้ายมาด้วยอีกคน ไม่ว่าเดินไปไหน ผู้คนต้องจำได้แน่นอน
แม้ขณะนี้เด็กหนุ่มจะมีป้ายประจำตัวผู้มีพรสวรรค์คอยคุ้มครองความปลอดภัย ที่ทำให้บรรดาคู่อริไม่กล้าทำอะไรเขาอีก แต่ด้วยชื่อเสียงที่เคยก่อเรื่องเอาไว้มากมาย ก็เป็นสิ่งยืนยันชั้นดีว่าหลินเป่ยเฉินยังคงมีศัตรูอยู่จำนวนไม่น้อย เช่นเดียวกับที่ยังมีคนหวาดกลัวเขาอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าเด็กหนุ่มปรากฏตัวขึ้นที่ใด หากมีคนจดจำเขาได้ พาลจะทำให้เสียบรรยากาศกันไปหมดทุกฝ่ายเปล่าๆ
ที่หลินเป่ยเฉินต้องออกมานอกสถานศึกษาครั้งนี้ ก็เพื่อเดินทางไปเก็บหนี้ เขาไม่ได้อยากออกไปสร้างความแตกตื่นให้ใครทั้งนั้น
เด็กหนุ่มเดินทอดน่องไปตามถนนหนทางในตัวเมือง แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาให้ความอบอุ่น บรรยากาศเบาสบาย หลินเป่ยเฉินอารมณ์ดีอยู่ไม่น้อย
เมืองหยุนเมิ่งเป็นเมืองเล็กๆ อยู่ติดชายทะเล
ตึกรามบ้านช่องที่ตั้งอยู่สองฟากฝั่งของถนนเป็นอาคารที่ก่อด้วยอิฐ หินและแผ่นไม้ พวกมันถูกสร้างอย่างแข็งแรงและสวยงาม ไม่เหมือนเมืองโบราณที่หลินเป่ยเฉินเคยเห็นในตำราเรียนของโลกมนุษย์ หน้าตาบ้านเรือนของโลกจอมยุทธ์มีลักษณะเหมือนบ้านคนยุคปัจจุบันทุกประการ เพียงแต่ไม่มีไฟฟ้ากับอินเทอร์เน็ตใช้เท่านั้น
ระหว่างทาง หลินเป่ยเฉินพบเจอท่อระบายน้ำ รถม้าขนส่งมวลชน และร้านขายของจำนวนมาก
เมื่อเพิ่มบรรดาจอมยุทธ์เข้าไปด้วย เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าที่แห่งนี้นั้นน่าอยู่อาศัย ไม่ต่างจากโลกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยวิทยาศาสตร์เลย
ตอนทะลุมิติมายังโลกนี้แรกๆ หลินเป่ยเฉินมีจิตใจมุ่งมั่นที่จะกลับโลกมนุษย์ เขาเพียงโดยสารรถม้าไปกลับสถานศึกษา ไม่เคยออกมาสำรวจเมืองสักครั้งเดียว แต่ตอนนี้ เด็กหนุ่มกำลังเดินสำรวจทุกตรอกซอกซอย ด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับได้หลุดมาอยู่ในโลกการ์ตูนสองมิติก็ไม่ปาน
สิ่งที่ทำให้หลินเป่ยเฉินแปลกใจมากที่สุดก็คือ ผู้คนบนท้องถนนช่างแต่งตัวแตกต่างกันเหลือเกิน
หลังจากเฝ้ามองด้วยความระมัดระวังอยู่พักใหญ่ ในที่สุด เขาก็ได้รู้ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเป็นพ่อค้าต่างเมือง หรือไม่ก็มาจากต่างดินแดนเสียด้วยซ้ำ เมืองหยุนเมิ่งมีขนาดเล็กก็จริง แต่มันเป็นเมืองที่อยู่ติดทะเลด้านตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลเฟิงอวี่ มีสถานะเป็นเมืองท่าสำคัญสำหรับการขนส่งสินค้า จึงไม่น่าแปลกใจที่จะสามารถพบเจอคนต่างแดนเดินปะปนร่วมกับชาวเมืองมากมายขนาดนี้
กล่าวได้ว่าเมืองเล็กๆ เมืองนี้มีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่างร้ายกาจ
หลินเป่ยเฉินมีสัญญากู้ยืมอยู่ในมือทั้งสิ้น 31 ฉบับ ทุกฉบับล้วนได้มาจากการประมูลเข็มกลัดดาราทั้งสิ้น
เด็กหนุ่มทยอยไปตามเก็บหนี้ทีละคน
ถึงจะไม่ค่อยคุ้นเคยเส้นทางในเมืองสักเท่าไหร่ แต่เขาก็อาศัยป้อนชื่อลูกหนี้ลงไปในแอปแผนที่นำทาง เพียงเท่านี้ ปัญหาทุกอย่างก็หมดไป
หนึ่งชั่วยามต่อมา หลินเป่ยเฉินสามารถตามเก็บหนี้ได้ทั้งสิ้น 1,300 เหรียญทองคำ
สัญญากู้ยืมที่พวกเขาทำขึ้น นอกจากจะมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายแล้ว มันยังเป็นสัญญาที่บังคับไม่ให้ผู้ลงนามผิดสัญญาได้เด็ดขาด หลินเป่ยเฉินร่างสัญญาขึ้นมาอย่างรอบคอบรัดกุม โดยเฉพาะวันเก็บเงินที่ระบุไว้ชัดเจน ทำให้ลูกหนี้ของเขาไม่สามารถบิดพริ้วได้เลยสักคนเดียว
หลินเป่ยเฉินไม่ค่อยมีโอกาสพักผ่อนหย่อนใจสักเท่าไหร่ เมื่อได้เดินเที่ยวในตัวเมืองโบราณ เขาก็ถือโอกาสเดินลอยชายชมสองข้างทางไปด้วยในตัว เวลาเดินผ่านรถเข็นขายอาหาร เด็กหนุ่มก็ไม่ลืมที่จะหยุดซื้อลองชิมด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หลินเป่ยเฉินไม่เคยอารมณ์ดีเช่นนี้มานานแล้ว
เมื่อถึงตอนเย็น เขาก็แวะเข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
“โรงเตี๊ยมชิงฝู (โรงเตี๊ยมแห่งความสุข)?”
ช่างเป็นชื่อที่คุ้นหูเหลือเกิน!
หลินเป่ยเฉินอดยิ้มออกมาไม่ได้
ในโลกมนุษย์ โรงเตี๊ยมแห่งความสุขมักเป็นชื่อที่ปรากฏอยู่ตามนิยายกำลังภายในหลายต่อหลายเรื่อง หลินเป่ยเฉินไม่คิดเลยว่าตนเองจะมีโอกาสได้เข้ามาใช้บริการของมันจริงๆ เช่นนี้
เมื่อเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมแล้ว บริกรที่เป็นเด็กชายคนหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้น กล่าวต้อนรับเขาว่า “เชิญขอรับนายท่าน ไม่ทราบว่านายท่านแวะมาทานอาหารหรือหาที่พักแรมขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “แวะมาหาอะไรรับประทานสักหน่อย”
“ได้เลยขอรับ เรียนเชิญนายท่านมาทางด้านนี้”
เด็กชายคนนี้มีอายุไม่เกิน 12 ปี หากที่นี่เป็นโลกมนุษย์ เจ้าของโรงเตี๊ยมก็น่าจะโดนตำรวจจับข้อหาใช้แรงงานเด็กไปแล้ว สีหน้าและแววตาของบริกรตัวน้อยบ่งบอกถึงความฉลาดเฉลียว คล่องแคล่วปราดเปรียว เขานำหลินเป่ยเฉินมานั่งอยู่ในห้องรับประทานอาหาร ‘เด็ดบุปผาชมวิหค’ และยื่นส่งรายการอาหารมาให้ดู ว่าวันนี้ทางโรงเตี๊ยมมีอะไรให้รับประทานบ้าง
หลินเป่ยเฉินสั่งอาหารมาจำนวนหนึ่งพลางสอบถามข้อมูลจากเด็กชาย จึงได้ทราบว่าโรงเตี๊ยมชิงฝูเป็นหนึ่งในเครือข่ายกิจการที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลเฟิงอวี่เลยทีเดียว
หลินเป่ยเฉินอดถามออกไปไม่ได้ว่า “ดูหน้าตาเจ้ายังเด็กนัก ทำไมไม่ไปโรงเรียนเล่า?”
เด็กชายตอบกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ครอบครัวของข้าน้อยยากจนมากขอรับ พวกเราไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียนให้ข้าน้อย อีกอย่าง ความสามารถของข้าน้อยก็ธรรมดา สู้ให้ข้าน้อยทำงานหาเงินก็ไม่ได้ เพราะอย่างน้อยๆ ข้าน้อยก็ยังช่วยจ่ายค่าเล่าเรียนให้แก่พี่สาวของข้าได้…”
เมื่อพูดถึงพี่สาวของตนเอง แววตาของเด็กชายก็เต็มไปด้วยประกายแห่งความภาคภูมิใจ “นายท่านคงไม่รู้ แต่พี่สาวของข้าน้อยมีฝีมือเก่งกาจมาก นางถึงกับสามารถเข้าร่วมการค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองของปีนี้ได้เลยนะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินอุทานว่า “โห สุดยอดเลยนะนั่น”
เขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เข้าไปร่วมแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์เช่นกัน แม้จะแข่งกันแค่ในกลุ่มลูกศิษย์ชั้นปีที่ 2 แต่หลินเป่ยเฉินก็พอคาดเดาได้ว่าทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ ไม่ว่าจะอยู่ชั้นปีไหน ต่างก็ต้องจัดอยู่ในทำเนียบอัจฉริยะรุ่นต่อไปทั้งสิ้น
ไม่กี่อึดใจต่อมา
โต๊ะเบื้องหน้าหลินเป่ยเฉินก็เต็มไปด้วยจานอาหารละลานตา
อาหารบางจานเด็กชายบริกรก็เป็นผู้แนะนำด้วยตนเอง
ตอนที่หลินเป่ยเฉินยังอยู่โลกมนุษย์ เขาเชื่อในคำกล่าวที่ว่า “หากอยากจะเข้าถึงจิตวิญญาณของชุมชนไหน ให้ลองรับประทานอาหารจากร้านข้างทางของชุมชนนั้นๆ ดู เพราะต่อให้เป็นอาหารจากโรงแรม 5 ดาวที่มีหน้าตาเลิศหรูราคาแพง รสชาติก็อาจเทียบไม่ได้กับร้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริมทาง แต่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนแล้วก็เป็นได้”
เช่นเดียวกับในโลกจอมยุทธ์ใบนี้
อาหารของโรงเตี๊ยมชิงฝูมีหน้าตาธรรมดา แต่เพียงสูดกลิ่นที่ลอยขึ้นมาจากจานอาหาร น้ำลายของหลินเป่ยเฉินก็ไหลยืดแล้ว
เด็กหนุ่มรับประทานอาหารด้วยความเอร็ดอร่อย
ที่สำคัญ อาหารมื้อนี้มีราคาเพียง 75 เหรียญทองแดงเท่านั้น
“ทำไมถูกจัง?”
หลินเป่ยเฉินอดอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงไม่ได้
เด็กชายบริกรยิ้มกว้าง “ข้าน้อยแนะนำแต่อาหารที่มีราคาถูกเท่านั้นขอรับ หากนายท่านติดใจ จะได้กลับมาที่โรงเตี๊ยมของเราอีกบ่อยๆ ยังมีอาหารอีกหลายอย่างที่นายท่านไม่ได้ลองชิม อย่างเช่น ปลาทอดผัดซอสหอยนางรม หัวหมูผัดพริก ผัดเป็ดโรยเกลือ และโรงเตี๊ยมของเรามีบริการส่งอาหารถึงที่ด้วยขอรับ เพียงนายท่านนัดแนะช่วงเวลาให้เรียบร้อย เราก็จะให้คนส่งอาหารตามเวลานั้นขอรับ”
หา?
“มีบริการเดลิเวอรี่ด้วยเหรอวะเนี่ย?” หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสั่งให้โรงเตี๊ยมจัดเตรียมอาหารไปส่งให้ที่ตำหนักไม้ไผ่วันพรุ่งนี้และวันมะรืนโดยไม่ลังเล
เมื่อเดินกลับออกมาจากโรงเตี๊ยมชิงฝูอีกครั้ง หลินเป่ยเฉินก็พบว่าตนเองหมดค่าใช้จ่ายไปเพียง 2 เหรียญเงินเท่านั้นเอง
ต้องยอมรับว่าเจ้าเด็กเสิร์ฟคนนั้นขายของเก่งเหลือเกิน
หลินเป่ยเฉินชื่นชมเด็กชายอยู่สองสามคำ เมื่อชำเลืองมองท้องฟ้าพบว่ายังไม่ดึกเกินไป เขาจึงออกเดินเล่นเรื่อยเปื่อยรอบตัวเมืองอีกครั้ง
หลังจากที่ต้องผจญภัยในฐานะนักท่องเวลามาพักใหญ่ ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็มีโอกาสได้พักผ่อนหย่อนใจบ้างเสียที ขณะนี้ เขาอยากจะซึมซับมนต์เสน่ห์ของโลกจอมยุทธ์ให้เต็มที่
เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
หลินเป่ยเฉินเดินมาถึงชุมชนแออัดที่คล้ายกับสลัมในโลกมนุษย์
ไม่ว่าจะเป็นโลกไหนๆ ความแตกต่างของชนชั้นทางสังคมก็มีเหมือนกันหมด
เด็กหนุ่มถอนหายใจ
บัดนี้ ได้ยินเสียงการต่อสู้แว่วออกมาจากด้านในตรอกตรงหน้าเขา พร้อมกับมีกลิ่นเลือดจางๆ ลอยคลุ้งในอากาศ
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจเดินเข้าไปดู