ตอนที่ 871 เซียนกระบี่รชตะ
จูจวิ้นหลานถูกกระทำอยู่แต่เพียงฝ่ายเดียว
เขาคิดไม่ถึงเลยว่ามือกระบี่อย่างหลินเป่ยเฉินกลับสามารถใช้กำปั้นได้อย่างน่ากลัวถึงเพียงนี้
หมัดแล้วหมัดเล่า หนักหน่วงราวกับหินอุกกาบาต คล้ายกับต้องการจะทุบวิญญาณของเขาให้แหลกสลาย
ไม่ใช่ว่าจูจวิ้นหลานไม่คิดตอบโต้
แต่เป็นเพราะเขาไม่มีโอกาสตอบโต้เลยต่างหาก
พละกำลังของหลินเป่ยเฉินแข็งแกร่งเกินคาดคิด
จูจวิ้นหลานรู้สึกเสมือนตนเองเป็นสาวน้อยที่ตกอยู่ภายใต้น้ำมือคนเถื่อน อีกฝ่ายมีพละกำลังมากกว่าเขาถึงสองเท่า
ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก!
กำปั้นรัวใส่ใบหน้าของจูจวิ้นหลานจนสติเขาเริ่มพร่าเลือน
“ใครใช้ให้เจ้าปากเก่งถึงเพียงนั้น…”
“ฝีมือช่างอ่อนหัดนัก…”
“แน่ใจหรือว่าเจ้ามีพลังอยู่ในระดับเซียน…”
“ย๊าก… ตายซะเถอะ!”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงคำรามพร้อมกับรัวกำปั้นด้วยความเร็วไว กำปั้นของเขาซัดใส่ใบหน้าจูจวิ้นหลานด้วยความแม่นยำอย่างน่าเหลือเชื่อ
ในห้องสังเกตการณ์ เกออู๋โหยวได้ยินเสียงร้องคำรามของหลินเป่ยเฉินไม่ต่างไปจากเสียงคำรามของอสูรกายกระหายเลือด
เขานึกถึงบทเพลงปลุกใจที่แปลกประหลาดของชาวเมืองหยุนเมิ่งขึ้นมาทันที
หากเป็นยามปกติ เมื่อเกออู๋โหยวได้ยินเสียงคำรามเช่นนี้ เขาก็คงยิ้มออกมาเล็กน้อย และแอบเหยียดหยามผู้ที่พ่ายแพ้อยู่ในใจ
แต่บัดนี้เล่า?
เกออู๋โหยวจะไม่แปลกใจเลยหากคืนนี้เขานอนฝันร้ายถึงบทเพลงปลุกใจของชาวเมืองหยุนเมิ่ง รวมไปถึงได้ยินเสียงคำรามของหลินเป่ยเฉินหลอนหูไปตลอดทั้งคืน
เขากำลังจะกดเคลื่อนย้ายจูจวิ้นหลานออกมาจากค่ายอาคมตรอกพิรุณ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ชายฉกรรจ์จมูกงอต้องตายด้วยน้ำมือของหลินเป่ยเฉิน
แต่นั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่หลินเป่ยเฉินหยุดมือพอดี
…
หลินเป่ยเฉินกระชากศีรษะของจูจวิ้นหลานขึ้นมาจากใต้พื้นอิฐด้วยความรุนแรง
ผู้ดูแลสมาคมผู้มีพลังระดับเซียนประจำจักรวรรดิต้าเกี๋ยนมีใบหน้าบวมช้ำราวกับหัวหมูไหว้เจ้า บัดนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถจดจำใบหน้าเดิมของเขาได้อีกแล้ว
“นี่ ฟื้นขึ้นมาสิ”
หลินเป่ยเฉินเขย่าตัวฝ่ายตรงข้าม
จูจวิ้นหลานลืมตาขึ้นมาด้วยความมึนงง สติสัมปชัญญะเริ่มกลับคืนสู่ร่างกายทีละเล็กทีละน้อย
เมื่อเห็นใบหน้าของหลินเป่ยเฉินในระยะใกล้ จูจวิ้นหลานก็ถึงกับตกตะลึงและในดวงตาก็แสดงออกถึงความหวาดกลัวอย่างควบคุมไม่ได้ ในหัวสมองของเขามีแต่คำแจ้งเตือนว่า ‘อันตราย’ อยู่เต็มไปหมด…
จูจวิ้นหลานลนลานคลานถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม
เขากระชากคอเสื้อจูจวิ้นหลานขึ้นมา และใช้หลังมือตบหน้าไปอีกหลายเพี๊ยะ
จูจวิ้นหลานยังไม่ทันได้โคจรพลังลมปราณ พลังของเขาก็ถูกสลายลงไป
“เรามาพูดคุยกันดีกว่า”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มด้วยความจริงใจ
จูจวิ้นหลานไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น
พูดคุย…
จะให้พูดคุยเรื่องอันใด?
หลินเป่ยเฉินต้องตบหน้าเรียกสติอีกหลายฉาด จนกระทั่งเห็นจูจวิ้นหลานมีเลือดกำเดาไหลออกมา เขาจึงถามว่า “เหตุไฉนเจ้าไม่ปากดีเหมือนก่อนหน้านี้? เจ้าเอาแต่หัวเราะเยาะข้าทุกครั้งที่มีโอกาส บัดนี้ ทำไมข้าไม่ได้ยินเสียงหัวเราะของเจ้าเลย? เจ้าไม่อยากหัวเราะแล้วหรือ?”
จูจวิ้นหลานอยากจะสลบให้รู้แล้วรู้รอดไป
เด็กหนุ่มคนนี้มีจิตใจอาฆาตแค้นเหลือเกิน
“คือว่า…”
ฟันในปากของจูจวิ้นหลานหลุดออกไปหลายซี่ เขาพูดออกมาอย่างยากลำบาก “ข้า… ขอยอมรับ… ความพ่ายแพ้”
“แน่นอนว่าถึงอย่างไรข้าก็ต้องชนะอยู่แล้ว”
หลินเป่ยเฉินฉีกยิ้มกว้าง “แต่เจ้าคิดยอมแพ้แล้วหรือ? บัดซบ ใครอนุญาตให้เจ้ายอมแพ้”
หลังจากนั้น เขาก็อัดจูจวิ้นหลานอีกชุดใหญ่
ส่งผลให้ร่างกายของจูจวิ้นหลานมีลักษณะบวมช้ำตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
สำหรับผู้มีพลังระดับเซียน พวกเขามีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งมากกว่าคนทั่วไป ต่อให้ใบหน้าบิดเบี้ยวผิดรูป อวัยวะภายในได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง แต่พวกเขาก็ยังไม่ตาย
และหลินเป่ยเฉินก็มีเจตนาออมมือด้วยเช่นกัน
เคยมีคนกล่าวเอาไว้ว่าเก็บศัตรูเอาไว้ทรมานให้นานที่สุด ย่อมสาแก่ใจกว่าฆ่าให้ตายในกระบี่เดียว
เพราะการฆ่าให้ตายในกระบี่เดียว จะทำให้อีกฝ่ายตายสบายมากเกินไป
สู้เก็บเอาไว้ทรมานให้ตายอย่างช้าๆ ไม่ได้
“ใครใช้ให้เจ้ามาอวดดีกับข้า?”
ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก!
“ใครเป็นตัวโง่งม?”
ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก!
“ใครเป็นเศษสวะ?”
ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก!
“เจ้าบอกให้ข้าคอยดูอะไรนะ?”
ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก!
“ใครใช้ให้เจ้ามาหัวเราะเยาะข้า?”
ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก!
“ทำไมเจ้าถึงไม่สวมหมวก?”
ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก!
หลินเป่ยเฉินกระโดดขึ้นคร่อมจูจวิ้นหลาน ระเบิดเสียงคำรามต่อเนื่องและรัวหมัดอัดใส่ใบหน้าชายฉกรรจ์อย่างบ้าคลั่ง
จูจวิ้นหลานทั้งร้อนรนทั้งโกรธแค้น
เขาไม่ใส่หมวกก็นับเป็นความผิดด้วยหรือ?
ชายฉกรรจ์ปวดระบมไปทั้งร่างกาย
ทำไมเจ้าลูกเต่าตัวนี้ถึงได้แข็งแกร่งนักนะ?
เขาไม่สามารถสู้ได้เลยแม้แต่น้อย
ถ้ารู้เช่นนี้แต่แรก ต่อให้ตาย จูจวิ้นหลานก็จะไม่มาเป็นผู้คุ้มกันตรอกพิรุณเด็ดขาด
เขาตกสู่ห้วงแห่งความทรมานที่เหมือนไม่มีวันจบสิ้น
สุดท้าย จูจวิ้นหลานก็ล้มเลิกความคิดที่จะตอบโต้กลับและทำได้เพียงนอนนิ่งอยู่บนพื้น รองรับหมัดของหลินเป่ยเฉินอย่างไร้หนทางสู้
จนกระทั่งหลินเป่ยเฉินรู้สึกกำปั้นชาดิก เขาก็ลุกขึ้นยืน
หลินเป่ยเฉินสะบัดมือวูบเดียว กระบี่เงินเล่มใหญ่ก็ถูกดาวน์โหลดออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์
“ข้าอยากจะใช้เจ้าเป็นเครื่องมือทดสอบอานุภาพการโจมตีของวิชากระบี่เซียนทองคำดูสักหน่อย”
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย ไม่ต่างจากยมทูตที่หมายมั่นเอาชีวิตผู้คน
“เจ้า…”
จูจวิ้นหลานตกตะลึงแทบลืมหายใจ “เจ้า… กล้าดีอย่างไร… คิดจะสังหารข้าเชียวหรือ?”
“แล้วมันจะเป็นไรไปเล่า”
หลินเป่ยเฉินโคจรพลังลมปราณ ปลายกระบี่ของเขากลายเป็นสีทองคำ
ลำแสงสีทองคำกำลังจะพุ่งออกจากตัวกระบี่
“ผลึกทองคำละลายวิญญาณ… จงตายซะ!”
หลินเป่ยเฉินแทงกระบี่ออกไป
เคล้ง!
ได้ยินเสียงโลหะปะทะโลหะดังขึ้น
ลำแสงสีทองคำพุ่งหายลงไปที่พื้นอิฐ
บนพื้นถนนขณะนี้ปรากฏหลุมขนาดใหญ่เป็นสีทองคำสว่างไสว
จูจวิ้นหลานอันตรธานหายไปแล้ว
หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะนึกขึ้นได้
“เอ๋? ถูกเคลื่อนย้ายไปแล้วสินะ”
เขายกมือจับคางและพูดพึมพำกับตัวเอง “สงสัยจะเป็นฝีมือของเกออู๋โหยว… เฮ้อ เจ้านี่มันหาเรื่องใส่ตัวจริง ๆ ”
หลินเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้กับหน้าจออาคมภายในห้องสังเกตการณ์ที่อยู่ด้านบนตรอกพิรุณ
ในห้องสังเกตการณ์ขณะนี้ เกออู๋โหยวนั่งมองหลินเป่ยเฉินส่งยิ้มมาให้ตนเองด้วยหัวใจที่หนาวเยือก เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เกออู๋โหยวรีบสลัดความว้าวุ่นออกจากสมองและกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “คุณชายหลิน จูจวิ้นหลานเป็นผู้ดูแลสมาคมผู้มีพลังระดับเซียนของจักรวรรดิอื่น หากเขามาเสียชีวิตที่นี่ จักรวรรดิเป่ยไห่คงต้องเดือดร้อนใหญ่หลวง บัดนี้ คุณชายก็สั่งสอนเขาพอสมควรแล้ว ช่วยเห็นแก่หน้าข้า ไว้ชีวิตเขาได้หรือไม่?”
เสียงของหลินเป่ยเฉินดังตอบกลับมาจากจออาคม “แล้วถ้าข้าปฏิเสธ?”
เกออู๋โหยวได้แต่ยิ้มฝืดฝืน
“ไม่เป็นไร ถือว่าข้าเห็นแก่หน้าคุณชายเกอ ชีวิตของเขา ข้าค่อยเอาวันอื่นก็ได้”
เสียงของหลินเป่ยเฉินดังขึ้นอีกครั้ง
เกออู๋โหยวสะดุ้งโหยง ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เขากดปุ่มควบคุมค่ายอาคมที่อยู่บนแผงควบคุมด้านหน้า
การทดสอบจบสิ้นลงแล้ว
“รบกวนคุณชายหลินกรุณารอสักครู่ ทางเจดีย์เซียนเหยียบเมฆกำลังประมวลผล คาดว่าลำดับชั้นและตำแหน่งประจำตัวของคุณชายหลินจะถูกประกาศออกมาในไม่ช้า”
เกออู๋โหยวส่งเสียงพูดผ่านค่ายอาคม
หลังจากนั้น เขาปิดการทำงานของค่ายอาคมทั้งหมด ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องพักที่อยู่ข้างๆ กัน
จูจวิ้นหลานนอนครึ่งเป็นครึ่งตายอยู่บนพื้นห้อง
เด็กหนุ่มหยิบยาสมานแผลเทียนอวี่ออกมาใช้งาน และถ่ายทอดพลังลมปราณ รักษาอาการบาดเจ็บให้แก่ชายฉกรรจ์จมูกงออย่างต่อเนื่อง
…
ด้านนอกตรอกพิรุณ
ขันทีชราจางเชียนเชียนรอคอยด้วยความกระวนกระวาย
ถึงเขาจะมั่นใจในฝีมือของหลินเป่ยเฉิน แต่ถ้ายังไม่เห็นผลการทดสอบด้วยตาของตนเอง ชายชราก็ยังอดรู้สึกวิตกกังวลไม่ได้
ทันใดนั้น มีลำแสงถูกยิงลงมาจากเพดาน
หลินเป่ยเฉินกลับมาปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง
“เป็นอย่างไรบ้างขอรับคุณชาย?”
ขันทีชราจางเชียนเชียนรีบวิ่งเข้าไปถามด้วยความกระตือรือร้น
หลินเป่ยเฉินยักไหล่ด้วยท่วงท่าสบาย ๆ “ย่อมผ่านได้ดีไม่มีปัญหา… ฮ่าฮ่า อันที่จริงนั้น ผ่านได้ง่ายมากกว่าที่คิดเสียอีก”
ขันทีชราจางเชียนเชียนได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ผ่านการทดสอบทั้งสามด่านแล้ว
หลินเป่ยเฉินสามารถขึ้นทะเบียนได้สำเร็จ
ทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อย
“ประเสริฐขอรับ นี่ถือเป็นข่าวดีของจักรวรรดิเป่ยไห่”
ขันทีชราจางเชียนเชียนถูไม้ถูมือด้วยความตื่นเต้น พร้อมกับกล่าวต่อ “หลังจากนี้ คุณชายก็แค่ต้องอดทนรอ อีกไม่นานทางเจดีย์เซียนเหยียบเมฆจะต้องประกาศตำแหน่งและลำดับชั้นของคุณชายแน่นอน”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความประหลาดใจว่า “เจดีย์แห่งนี้จะเป็นผู้ที่มอบตำแหน่งและลำดับชั้นให้กับผู้ทดสอบทั้งหมดเลยหรือ?”
“ใช่แล้วขอรับ”
ขันทีชราจางเชียนเชียนตอบ “มีข่าวลือว่าเจดีย์แห่งนี้มีวิญญาณเป็นของตนเอง วิญญาณของเจดีย์จะเป็นผู้ควบคุมการขึ้นทะเบียนทั้งหมด ส่วนคุณชายเกอและอาจารย์ของเขานั้นเป็นเพียงผู้ดูแลทั่วไป พวกเขาไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับขั้นตอนการตัดสินลำดับชั้นและการตั้งชื่อตำแหน่งประจำตัวของผู้ทดสอบได้เลยขอรับ”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง
หลินเป่ยเฉินดีใจที่ตนเองมีความรู้เพิ่มขึ้นมาอีกนิด
ผ่านไปชั่วเวลาประมาณหนึ่งก้านธูป
ม่านพลังสายหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าบุคคลทั้งสอง
“ผลออกมาแล้วขอรับ”
ขันทีชราจางเชียนเชียนกลั้นหายใจและจ้องมองข้อความบนม่านพลัง
เขาเห็นข้อความระบุไว้สองประโยคว่า
ลำดับชั้น : ผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองแดง
ตำแหน่งฉายา : [1]เซียนกระบี่รชตะ