ตอนที่ 872 เรื่องนี้ช่วยไม่ได้จริงๆ
“นี่คือลำดับชั้นกับตำแหน่งของข้าหรือ?”
หลินเป่ยเฉินมองข้อความบนม่านพลังด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ขั้นเหรียญทองแดง?
ฮ่าฮ่า สงสัยก่อนหน้านี้คงออมมือมากไปหน่อย
ถึงได้เป็นแค่ขั้นเหรียญทองแดงเท่านั้น
ก็ดี หลังจากนี้จะได้ตั้งใจมากขึ้นหน่อย
แล้วตำแหน่งฉายาคืออะไรนะ?
เซียนกระบี่รชตะ?
ไม่เลวนี่นา
ฟังดูเท่ดี
สงสัยคงเป็นเพราะเขาใช้กระบี่เงินเป็นอาวุธแน่ๆ
เหนืออื่นใดก็คือ ตลอดเวลาที่เข้ารับการทดสอบ หลินเป่ยเฉินใช้เพียงกระบี่เงินเท่านั้น
ยอดเยี่ยม
ภารกิจสำเร็จแล้ว
หลินเป่ยเฉินรู้สึกมีความสุข
ในขณะที่ขันทีชราจางเชียนเชียนแสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมา แต่ในใจกลับอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้
แค่ขั้นเหรียญทองแดงเท่านั้น?
ชายชราประเมินว่าคุณชายหลินน่าจะได้ระดับขั้นเหรียญเงินเป็นอย่างต่ำ
แต่ปรากฏว่ากลับได้ระดับต่ำกว่าที่คิด
น่าเสียดาย
การขึ้นทะเบียนคราวนี้ดูจะมีความเข้มงวดมากกว่าหลายครั้งก่อนมาก
ขันทีชราจางเชียนเชียนอยากจะปลอบใจหลินเป่ยเฉิน แต่เมื่อหันหน้าไปมองเด็กหนุ่ม เขาก็พบว่าหลินเป่ยเฉินมีความสุขแทบหุบยิ้มไม่ได้
เฮอะ!
ไม่เห็นจะเสียใจตรงไหน
ไม่ต้องปลอบใจก็ได้กระมัง
ทันใดนั้น แสงสว่างระเบิดประกายเจิดจ้า ลำแสงสายหนึ่งพุ่งตรงลงมาจากเพดาน
เกออู๋โหยวยังคงปรากฏกายในชุดเสื้อสีน้ำเงิน
“ฮ่าฮ่า ขอแสดงความยินดีกับคุณหลินด้วยขอรับ การขึ้นทะเบียนลุล่วงแล้ว จากนี้ไป คุณชายหลินคือผู้มีพลังระดับเซียนอย่างเป็นทางการ”
บัดนี้ สีหน้าท่าทีของเกออู๋โหยวมีความสุภาพอ่อนน้อมมากกว่าเดิมหลายเท่า รอยยิ้มของเขาปรากฏขึ้นด้วยความจริงใจ
หลินเป่ยเฉินนึกชื่นชมอยู่ในใจว่าเด็กหนุ่มผู้พิทักษ์เจดีย์คนนี้สามารถเปลี่ยนสีหน้าได้เร็วกว่าเขาเสียอีก
“ในเมื่อบัดนี้ ข้าเป็นผู้มีพลังระดับเซียนอย่างเป็นทางการแล้ว หมายความว่าข้าก็คงได้ทรัพยากรจากสมาคมแล้วสินะ?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มและยื่นมือออกไปข้างหน้า “สิ่งที่ข้าต้องการมีไม่มาก ก่อนอื่น ข้าอยากได้ศิลาบูชาสัก 1,800 ก้อน”
หยาดเหงื่อไหลหยดลงจากข้างขมับของเกออู๋โหยว
1,800 ก้อน?
“คุณชายหลิน สำหรับผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองแดง พวกเขาจะได้รับศิลาบูชาเพียงเดือนละ 100 ก้อนเท่านั้น”
เกออู๋โหยวอธิบายรายละเอียดกฎของสมาคมผู้มีพลังระดับเซียน
“ได้แค่นั้นเองหรือ?”
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าผิดหวัง
ขันทีชราจางเชียนเชียนถึงกับพูดอะไรไม่ออก
ได้มากขนาดนี้ยังไม่พอใจอีก?
ศิลาบูชา 100 ก้อนมีค่าเท่ากับเหรียญทองคำ 10 ล้านเหรียญ
เหรียญทองคำ 10 ล้านเหรียญถือว่าน้อยเกินไป?
เกออู๋โหยวเองก็พูดอะไรไม่ออกแล้วเช่นกัน แต่เขาไม่ได้แสดงท่าทีออกมา
เด็กหนุ่มผู้พิทักษ์เจดีย์อธิบายด้วยความอดทน “คุณชายหลิน คุณชายอาจจะยังไม่รู้ว่าสำหรับศิลาบูชาในแผ่นดินตงเต้านั้น นับเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากกว่าเงินทองมหาศาล นับดูในจักรวรรดิทั่วไป การได้รับศิลาบูชาเดือนละ 100 ก้อนก็ถือว่ามากแล้ว ในจักรวรรดิเป่ยไห่ นี่เท่ากับเป็นรายได้เฉลี่ยต่อปีของร้านค้าขนาดใหญ่ด้วยซ้ำ แม้แต่ผู้คนก็ยังกล่าวขานกันว่าไม่มีใครจะร่ำรวยมากกว่าผู้มีพลังระดับเซียนอีกแล้ว…”
“เฮ้อ เอาอย่างนั้นก็ได้”
หลินเป่ยเฉินโบกมือขัดจังหวะ “ท่านนี่หาโอกาสทำตัวสั่งสอนข้าอยู่เรื่อย”
ทำตัวสั่งสอน?
หมายความว่าอย่างไร?
เกออู๋โหยวไม่ได้อยากสั่งสอนสักหน่อย
แต่เป็นหลินเป่ยเฉินที่ไม่เข้าใจอะไรเลยต่างหาก!
เกออู๋โหยวไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
หลินเป่ยเฉินมองสีหน้าของฝ่ายตรงข้ามและรู้ว่าเกออู๋โหยวกำลังลำบากใจ
ด้วยเหตุนี้
เขาจึงรีบพูดต่อไปเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ
“แล้วผู้มีพลังระดับเซียนขั้นอื่น ๆ ได้รับเท่าไหร่?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมา
เกออู๋โหยวตั้งสติแล้วตอบว่า “ผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญเงินจะได้รับศิลาบูชา 120 ก้อนต่อเดือน ผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองจะได้รับ 160 ก้อนต่อเดือน และผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญตราศักดิ์สิทธิ์…”
พูดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของเด็กหนุ่มเสื้อน้ำเงินก็แสดงความเลื่อมใสออกมา “ถือเป็นยอดอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่ง เพราะฉะนั้น พวกเขาจะได้รับศิลาบูชา 400 ก้อนต่อเดือนขอรับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็ถอนหายใจ
เฮ้อ ก็ไม่เยอะเท่าไหร่นี่นา
ได้เดือนละ 400 ก้อน หนึ่งปีได้ประมาณ 5,000 ก้อน สองปีก็ได้ 10,000 ก้อน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินถึงได้รู้ตัวว่าเมื่อหลายเดือนก่อน…ตนเองคือมหาเศรษฐีจริง ๆ
คิดได้ตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว
เขาไม่รู้เลยว่าศิลาบูชาที่ได้มาจากเหมืองแร่หินในภูเขาเสี่ยวซีจะมีค่ามากมายมหาศาลถึงเพียงนี้
ถ้ารู้อย่างนี้ ตอนอยู่ในนครเจาฮุย เขาไม่มีทางเอาออกมาแจกจ่ายให้ใครเด็ดขาด
ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใด พวกของฉุยเฮาเฟิงจึงได้แสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมาถึงขนาดนั้น เมื่อได้รับคำสั่งให้นำศิลาบูชาไปแจกจ่ายให้แก่เหล่าบุคคลสำคัญในค่ายที่พักของผู้อพยพ
ปรากฏว่าหลินเป่ยเฉินให้มากเกินไปจริงๆ
เวลาเพียงพริบตาเดียว หลินเป่ยเฉินถลุงศิลาบูชาไปมากกว่า 10,000 ก้อน
ฮึ่ย!!
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเจ็บใจมากเท่านั้น
ไม่รู้ว่ากลับไปนครเจาฮุยในครั้งนี้ ยังจะพอทวงคืนศิลาบูชาจากใครมาได้บ้างหรือไม่?
แต่ส่วนใหญ่คงไม่มีใครให้คืนแน่ๆ
คงได้แต่ทำใจ
ในเมื่อเขาเป็นคนให้ทุกคนเอง ก็มีแต่ต้องปลอบใจตัวเองนั่นแหละนะ
น่าอนาถใจชะมัด หลินเป่ยเฉินรู้แล้วว่าตนเองไม่สมควรใจดีมากเกินไปเลยจริง ๆ
ดูเหมือนโลกนี้จะไม่ยุติธรรมกับเขาเอาเสียเลย
ก่อนหน้านี้ เขาหัวเราะเยาะหวังจงที่นำเศษเงินไปแจกจ่ายให้แก่ผู้คนแล้วหลงลำพองคิดว่าตนเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่
แต่พอย้อนดูตัวเองบ้าง เด็กหนุ่มก็ได้แต่สงสัยว่าทำไมเขาต้องทำตัวเป็นเจ้าบุญทุ่มขนาดนั้นด้วย?
ณ ตอนนั้น ก็คงเป็นหวังจงที่ลอบหัวเราะเยาะเขาอยู่แน่ ๆ
หลินเป่ยเฉินเกิดความคิดฟุ้งซ่านมากมาย
สุดท้าย เขาก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ‘ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องเสียใจ สุขของการเป็นผู้ให้ ก็คือการเห็นผู้รับมีความสุขนี่แหละ’ …ฮือฮือฮือ
“แล้วข้ายังจะได้รับอะไรอีกบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินรีบตั้งสติและถามต่อไป
เกออู๋โหยวตอบว่า “ทุกครั้งที่คุณชายแวะมายังเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ คุณชายก็จะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนวิทยายุทธ์กับผู้มีพลังระดับเซียนในขั้นเดียวกันผ่านทางค่ายอาคมระยะไกล แน่นอนว่าพวกท่านสมควรต่อสู้กันผ่านทางค่ายอาคมเท่านั้น เพราะหากต่อสู้กันแบบพบปะตัวจริงขึ้นมา ก็จะไม่มีใครสามารถรับประกันความปลอดภัยของพวกท่านได้เลย”
“ต่อสู้ผ่านทางค่ายอาคม?”
หลินเป่ยเฉินค้นพบเรื่องใหม่ที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน
เกออู๋โหยวยังคงอธิบายด้วยความอดทนต่อไป
“มันเป็นช่องทางการสื่อสารภายในสมาคมผู้มีพลังระดับเซียน พวกเราจะมีค่ายอาคมที่ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใด ก็สามารถทำให้ผู้มีพลังระดับเซียนมาพบเจอกันได้เสมอ…”
“เมื่อถึงเวลานั้น เดี๋ยวคุณชายหลินก็จะรู้เอง”
“นี่คือป้ายประจำตัวสำหรับเข้าใช้งานค่ายอาคม กรุณาอย่าทำหายเด็ดขาด”
“ป้ายประจำตัวชิ้นนี้ ทำให้คุณชายมีคุณสมบัติรับภารกิจจากสมาคมผู้มีพลังระดับเซียน เพื่อขอรับทรัพยากรเพิ่มเติม หรือคุณชายจะประกาศหางาน เพื่อขอรับภารกิจจากสำนักใหญ่ ๆ ทั่วจักรวรรดิได้อีกด้วย…”
“กล่าวโดยสรุปก็คือ การเป็นผู้มีพลังระดับเซียนนั้น ให้อะไรมากกว่าที่คุณชายคิด”
เกออู๋โหยวส่งป้ายประจำตัวที่มีลักษณะเป็นเหรียญทองแดงมาให้หลินเป่ยเฉิน
ป้ายประจำตัวชิ้นนี้มีลักษณะราบเรียบ ไม่ซับซ้อน
ด้านหนึ่งแกะสลักเป็นลวดลายดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาว ส่วนอีกด้านแกะสลักคำว่า ‘แสงสว่าง’ อยู่ตรงกลาง พื้นหลังเป็นภาพของภูเขา แม่น้ำและร่างคนกำลังนั่งขัดสมาธิเพื่อโคจรพลังลมปราณ
หลินเป่ยเฉินรับป้ายหรือที่จริงควรเรียกว่าเหรียญตราประจำตัวมาถือพร้อมกับย่อยข้อมูลจากเกออู๋โหยว
หมายความว่าสมาคมผู้มีพลังระดับเซียนมีสาย ‘แลน’ เป็นของตนเองสินะ?
กล่าวให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือเจดีย์เซียนเหยียบเมฆแห่งนี้ มีหน้าที่คล้ายกับเสาส่งสัญญาณ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมค่าซ่อมแซมถึงแพงนัก
ส่วนเหรียญตราประจำตัวในมือเขาก็คือตัวรับสัญญาณ
น่าสนใจดีนี่นา
วิทยาศาสตร์และวิทยายุทธ์ สองสิ่งที่แตกต่างกันสุดขั้วสามารถมารวมกันได้ด้วยหรือ?
“ประเสริฐ ข้าเข้าใจแล้ว”
เมื่อรับเหรียญตราประจำตัวเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็หมุนตัวเดินออกมาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
ขันทีชราจางเชียนเชียนรีบประสานมือขอบคุณเกออู๋โหยวอีกครั้ง ก่อนจะวิ่งตามเด็กหนุ่มออกไปจากเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ
…
ระหว่างทางกลับที่พัก
หลินเป่ยเฉินอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
“ผู้อาวุโสจาง รบกวนท่านกลับไปก่อน ข้ามีธุระต้องไปทำ”
หลินเป่ยเฉินส่งยิ้มอย่างสุภาพอ่อนน้อม
ขันทีชราจางเชียนเชียนมีเจตนาสร้างความสนิทสนมระหว่างหลินเป่ยเฉินกับทางวังหลวง จึงได้แต่ยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายมีธุระอันใด ให้ข้าช่วยเหลือได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มเจ้าเล่ห์ ตอบว่า “เรื่องนี้ท่านช่วยไม่ได้จริง ๆ ”
ขันทีชราจางเชียนเชียนกล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่า “ข้าไม่ได้มีเจตนาโอ้อวด แต่ในนครหลวงแห่งนี้ ไม่มีสิ่งใดที่ข้าจะทำไม่ได้”
หลินเป่ยเฉินกล่าว “ข้ากำลังจะแวะไปหาเหล่าสาวงามที่หอนางโลม พวกนางบอกว่าจะดูแลข้าเป็นอย่างดีไม่ใช่หรือ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสจางจะช่วยอะไรข้าได้?”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็ตั้งใจมองไปที่หว่างขาของขันทีชราจางเชียนเชียน
ชายชราชะงักกึก พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ให้ตายสิ!
เจ้าตัวบัดซบตัวนี้!!
ชอบเหยียดหยามผู้คนเกินไปแล้ว!!!
มิน่าเล่าถึงได้มีข่าวลือว่าไม่ใช่คนดี
ทำไมเจ้าลูกเต่าตัวนี้ถึงไม่ตายในตรอกพิรุณไปซะนะ?!
“ถ้าอย่างนั้น ข้าคงต้องขอตัวก่อน”
จางเชียนเชียนไม่พูดอะไรอีกและรีบแยกทางจากไปโดยทันที
หลินเป่ยเฉินที่เห็นดังนั้นยกมือทำท่าดันแว่นด้วยความเคยชิน รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่เขาจะหมุนตัวเดินกลับไปยังทิศทางของเจดีย์เซียนเหยียบเมฆอีกครั้ง