ตอนที่ 876 เซียนตะปูเพชร
เกออู๋โหยวพูดว่า “แต่เมื่อสังหารหลินเป่ยเฉินสำเร็จแล้ว ท่านก็คงฆ่าปิดปากอู๋จิงกับซุนซิงเจ๋อด้วยใช่หรือไม่?”
จูจวิ้นหลานยิ้มตอบว่า “ใครบอกว่าข้าจะฆ่าพวกเขา? ฮ่าฮ่า ซุนซิงเจ๋อเป็นถึงผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองคำ ก่อนหน้านี้ ข้าอาจจะคิดฆ่าปิดปากเขาจริง แต่บัดนี้ ข้าลองมาคิดทบทวนดูแล้ว ข้าเก็บเขาเอาไว้ใช้งานส่วนตัวดีกว่า คนพเนจรที่ไร้ญาติขาดมิตรปราศจากเงินทองเช่นนี้ คงไม่ปฏิเสธเงินของข้าแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น สถานะในตระกูลจูของข้าก็จะต้องสูงส่งมากขึ้น”
เกออู๋โหยวมองหน้าจูจวิ้นหลานด้วยความเหยียดหยาม แต่ก็อดคิดอยู่ในใจด้วยความอิจฉาไม่ได้ว่า ชายจมูกงอคนนี้ช่างเกิดมามีบุญเสียเหลือเกิน
มีใครบ้างที่ไม่อยากอยู่ในตระกูลใหญ่?
น่าเสียดายที่อาจารย์ของเขาพึ่งพาไม่ได้
มิเช่นนั้น เกออู๋โหยวก็คงไม่ต้องรับสินบนจากทุกหนทางเช่นที่เป็นอยู่ และเด็กหนุ่มก็กำลังจะกลายเป็นบุคคลอย่างที่ตนเองเกลียดชังมากที่สุดระหว่างทำหน้าที่ผู้พิทักษ์เจดีย์ตลอดปีที่ผ่านมา
เกออู๋โหยวถือถ้วยน้ำชาหน้านิ่วคิ้วขมวด กล่าวว่า “ซุนซิงเจ๋อเป็นจอมยุทธ์พเนจรไร้หัวนอนปลายเท้า เขาอาจจะยอมรับค่าจ้างเพียงศิลาบูชา 100 ก้อน แต่อู๋จิงเคยเป็นคนของตระกูลใหญ่ ไม่ใช่ไม่เคยจับต้องเงินทองมากมายมาก่อน แล้วเหตุไฉนเขาถึงยอมรับงาน โดยมีค่าจ้างเพียงศิลาบูชา 100 ก้อนเท่านั้น?”
จูจวิ้นหลานพูดอย่างภูมิใจว่า “ฮ่าฮ่า แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ศิลาบูชาเท่านั้น แต่ข้ารับปากว่าหากเขาสามารถสังหารหลินเป่ยเฉินได้สำเร็จ ตระกูลจูก็จะช่วยเหลือเขาทุกทางที่ทำได้ เพื่อให้อู๋จิงได้กลับสู่ตระกูลของตนเองอย่างไร้อุปสรรค แต่คงไม่มีตระกูลใดขับไล่ผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองคำอยู่แล้ว… เหอเหอเหอ โลกใบนี้มีผู้คนหลากหลาย เจ้าต้องหาวิธีใช้งานพวกเขาให้ถูกต้อง”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ชายจมูกงอก็ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างผู้ชนะ “อีกอย่าง ใครบอกว่าเขาจะได้ค่าจ้างเพียงศิลาบูชา 100 ก้อน อย่าลืมสิว่าในตัวของหลินเป่ยเฉินมีศิลาบูชาถึง 400 ก้อน และไหนจะเงินเดือนของเขาอีก ข้าให้ศิลาบูชา 100 ก้อนไปเป็นค่ามัดจำเท่านั้น หากเขาสามารถสังหารหลินเป่ยเฉินได้สำเร็จ ข้าก็รับปากว่าเขาจะได้รับค่าจ้างมากกว่านี้อีกหลายเท่า”
เกออู๋โหยวถอนหายใจออกมา “สรุปก็คือ ไม่ว่าใครจะสามารถสังหารหลินเป่ยเฉินได้สำเร็จ คนผู้นั้นก็จะกลับมารับรางวัลที่ท่าน แต่ท่านก็คงไม่ให้อะไรพวกเขาอีกแล้ว นอกจากหลอกใช้งานต่อไปใช่หรือไม่?”
“เจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้วนะ”
จูจวิ้นหลานตอบเสียงแข็งกระด้าง “หากข้าอยากจะใช้งานพวกเขาต่อไป ข้าก็ต้องตกรางวัลให้พวกเขาสิ แต่รางวัลเหล่านั้นตระกูลจูจะเป็นผู้จ่ายทั้งหมด ข้าไม่จำเป็นต้องควักกระเป๋าเองอีกแล้ว และข้ามั่นใจว่าท่านประมุขจะต้องยินดีจ่ายอย่างแน่นอน”
เกออู๋โหยวชำเลืองมองหน้าจูจวิ้นหลานด้วยความตกตะลึง
ความจริงแล้ว บุคคลผู้นี้ฉลาดจนเขาคิดไม่ถึง
เกออู๋โหยวถึงกับแอบเลื่อมใสอยู่ในใจ
เด็กหนุ่มได้แต่บอกตัวเองว่าจงทำตัวให้เรียบเฉยเข้าไว้
อย่าทำตัวฉลาด
อย่าทำเหมือนผู้อื่นเป็นตัวโง่งม
มิฉะนั้น เขาอาจจะตกเป็นเครื่องมือของคนอย่างจูจวิ้นหลานเข้าสักวันก็เป็นได้… !!
ชายจมูกงอผู้นี้ต้องการจะสังหารหลินเป่ยเฉิน ไม่ใช่เพราะมีเรื่องกระทบกระทั่งกันในเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ
แต่จูจวิ้นหลานมีเป้าหมายอยู่ที่การฆ่าหลินเป่ยเฉินตั้งแต่แรก
และการสังหารในครั้งนี้ ไม่ใช่ความต้องการของจูจวิ้นหลานเพียงลำพัง แต่มันเป็นคำสั่งที่ส่งมอบมาจากตระกูลจูต่างหาก
เมื่อคิดได้ดังนี้ ปริศนาหลายข้อก็เริ่มคลี่คลาย
เกออู๋โหยวยกถ้วยน้ำชากระเบื้องเคลือบขึ้นจิบต่อไป
จูจวิ้นหลานกำลังตื่นเต้นและสบายใจจึงพูดมากเป็นพิเศษ
“จะว่าไปแล้ว หลินเป่ยเฉินนับเป็นดาวนำโชคของข้าแท้ๆ”
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ชายจมูกงอก็ยิ่งตื่นเต้นมากเท่านั้น “ต่อให้ข้าต้องเสียศิลาบูชาหลายร้อยก้อน แต่มันก็อาจจะทำให้ข้ามีบริวารเป็นผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองคำได้หนึ่งหรืออาจจะถึงสองคน เฮ้อ เอาไว้หลินเป่ยเฉินตายเมื่อไหร่ ข้าคงต้องไปเคารพหลุมศพของเขาสักหน่อย…เพียงแค่คิด ข้าก็มีความสุขแล้ว”
เกออู๋โหยวทำอะไรไม่ได้นอกจากแอบสงสารหลินเป่ยเฉินอยู่ในใจ
นั่นเป็นเพราะจูจวิ้นหลานมาจากตระกูลใหญ่มากเกินไป
นี่ละนะความชอกช้ำของคนธรรมดา
ก๊อกก๊อกก๊อก!
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง
เกออู๋โหยวหยุดชะงัก ความคิดถึงกับสะดุดลง…
เดี๋ยวก่อนนะ?
มีคนมาอีกแล้วหรือ?
เด็กหนุ่มค่อยๆ หันหน้ามองไปยังหน้าจอขนาดใหญ่
เขาเห็นชายหัวโล้นหน้าตาหล่อเหลาอีกคนหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าประตูเจดีย์และยกมือเคาะประตูด้วยความเร่งร้อน
ชายหัวโล้นคนนี้อายุเพียง 20 กว่าปี ผิวพรรณขาวสะอาด หน้าตาหล่อเหลา ดวงตาคมกล้า คิ้วดกหนา ใบหน้าเรียวยาว จมูกโด่งเป็นสัน องค์ประกอบบนใบหน้าเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ต่อให้เป็นคนที่ชอบตำหนิผู้อื่นมากที่สุดในโลก ก็ยังหาคำตำหนิบนใบหน้าของชายหนุ่มหัวโล้นผู้นี้ไม่ได้
แน่นอนว่าสิ่งที่โดดเด่นสะดุดตามากที่สุด ก็คือศีรษะที่โล้นเลี่ยนเกลี้ยงเกลา
ศีรษะของชายหนุ่มผู้นี้สะท้อนประกายกับแสงตะวันระยิบระยับ
ไรผมขึ้นบางๆ อย่างเสมอกัน เพียงมองปราดเดียวก็ดูออกเลยว่าเขาตั้งใจโกนศีรษะของตนเอง มิใช่หัวโล้นเพราะเส้นผมร่วงโรย
แม้แต่รูปทรงกะโหลกศีรษะก็ยังสมบูรณ์แบบ
เมื่อผู้คนเห็นโฉมหน้าของชายหนุ่มหัวโล้น พวกเขาต่างคิดได้เพียงอย่างเดียวว่า…
หากชายหนุ่มมีเส้นผม เขาก็คงหล่อเหลาอย่างหาตัวจับยาก
เกออู๋โหยวกับจูจวิ้นหลานหันมองหน้ากัน เครื่องหมายคำถามปรากฏในหัวใจ
อย่าบอกนะว่า…
“นี่ ไม่ทราบว่ามีใครอยู่ข้างในหรือไม่?”
“ข้าถังไซเซี่ย (สามสตี : หมายถึงพิธีศพสามรูปแบบ) จากตระกูลถังตะวันออก เดินทางท่องเที่ยวรับชมโลกกว้าง…”
“บังเอิญผ่านมาชื่นชมดอกไม้งามในพื้นที่แถบนี้ ไม่มีอาหารให้รับประทาน ไม่มีน้ำดื่มดับกระหาย รู้สึกหิวโหยเป็นอย่างยิ่ง ประจวบเหมาะพบเจอเจดีย์เซียนแห่งนี้ตั้งตระหง่าน จึงอยากขอเข้ารับการขึ้นทะเบียนเพื่อรับเงินเดือนจากทางสมาคม…”
“นี่ ว่าอย่างไร มีคนอยู่หรือไม่?”
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้ ดวงตะวันกำลังจะแผดเผาผิวของข้าดำไหม้หมดแล้ว…”
“หืม? ทำไมถึงยังไม่มีใครตอบออกมาอีก ไม่มีคนอยู่จริงหรือ? แน่ใจนะว่าไม่มีใครอยู่ด้านใน?”
“นี่คือเจดีย์อันว่างเปล่าอย่างนั้นหรือ? เจดีย์เซียนที่ไม่มีผู้พิทักษ์อย่างนั้นหรือ?”
“ผู้พิทักษ์อยู่หนใด? ยังไม่รีบมาเปิดประตูอีก…”
ก๊อกก๊อกก๊อก!
ชายหนุ่มหัวโล้นพูดไปด้วยรัวมือเคาะประตูไปด้วย
เกออู๋โหยวอ้าปากค้างด้วยความเหลือเชื่อ
หัวใจกระตุกวูบ
วันนี้แปลกประหลาดมากเกินไป
มีมาอีกคนแล้วหรือ?
ถ้านับรวมหลินเป่ยเฉินด้วย นี่ก็เป็นคนที่สี่เข้าไปแล้ว
จูจวิ้นหลานยกมือจับคางและเริ่มคิดอะไรบางอย่าง
หลังจากลังเลเล็กน้อย ถึงเกออู๋โหยวจะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่เขาก็ยังสื่อสารกับชายหนุ่มหัวโล้นผ่านค่ายอาคมแห่งเสียงว่า “คุณชายถัง… ถังไซเซี่ยใช่หรือไม่? ก่อนอื่นท่านต้องเปิดประตูเข้ามาให้ได้ก่อน ถึงจะมีคุณสมบัติเข้ารับการขึ้นทะเบียน…”
พูดยังไม่ทันจบ
โครม!
ชายหนุ่มหัวโล้นหน้าตาหล่อเหลาก็ถีบประตูเปิดออกกว้าง
ด้วยความรุนแรง!
ชายหนุ่มหัวโล้นกำลังพูดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
เกออู๋โหยวกับจูจวิ้นหลานถึงกับตกตะลึง
พวกเขารีบลงมารับแขกที่ชั้นล่าง
“คุณชายถังไซเซี่ยสินะขอรับ?”
เกออู๋โหยวถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
แทนที่ชายหนุ่มหัวโล้นจะรำคาญใจ เขากลับตอบคำถามด้วยความยินดี มิหนำซ้ำ ยังถามเกออู๋โหยวกับจูจวิ้นหลานอีกด้วยว่าต้องการดูดวงหรือไม่ ชายหนุ่มคิดค่าดูดวงเป็นศิลาบูชาครั้งละหนึ่งก้อน แต่มันแพงมากเกินไป เกออู๋โหยวกับจูจวิ้นหลานจึงปฏิเสธ
พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าชายหัวโล้นจะเป็นคนพูดมาก เรียกได้ว่าสามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง สุดท้าย เกออู๋โหยวกับจูจวิ้นหลานก็รู้สึกเวียนหัวตาลาย ไม่อยากจะรับฟังอะไรอีกแล้ว…
“เอาละ คุณชายถังได้โปรดหยุดพูดก่อน เรามาเริ่มการทดสอบกันดีกว่า…”
เกออู๋โหยวผายมือไปทางม่านพลัง ก่อนจะยกมือปิดหูแล้ววิ่งหนีไป
ปรากฏว่าจูจวิ้นหลานแอบหนีไปก่อนหน้าเขาเสียอีก
การขึ้นทะเบียนผู้มีพลังระดับเซียนคนใหม่เริ่มขึ้น
เพียงชั่วยามเดียวเท่านั้น การขึ้นทะเบียนก็จบลง
ชายหัวโล้นหน้าตาหล่อเหลาเลือกคัมภีร์ระดับเซียนที่ชื่อว่าคัมภีร์ลมปราณเกราะเพชร ซึ่งเขาสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในที่สุด ชายหนุ่มหัวโล้นหน้าตาหล่อเหลาก็ผ่านการทดสอบ
ผลการประเมินของเจดีย์เซียนเหยียบเมฆออกมาว่า…
ลำดับชั้น : ผู้มีพลังขั้นเซียนเหรียญทองคำ
ตำแหน่งฉายา : เซียนตะปูเพชร
ด้วยกลัวว่าจะต้องทนฟังชายหัวโล้นพูดจาเรื่อยเปื่อยจนหูชา เกออู๋โหยวจึงรีบชิงตัดบทอธิบายการทำงานของป้ายประจำตัวและมอบทรัพยากรส่วนหนึ่ง รวมถึงอธิบายเรื่องการฝึกฝนพิเศษในค่ายอาคมระยะไกล…
สุดท้าย เมื่อสามารถส่งชายหนุ่มหัวโล้นจอมพูดมากพ้นประตูออกไปได้สำเร็จ เกออู๋โหยวก็ถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่ทันใดนั้น จูจวิ้นหลานกลับส่งเสียงถามออกไปว่า “ชื่อของท่านมีความหมายว่าอย่างไรกันแน่?”
เกออู๋โหยวสะดุ้งโหยง
คนพูดมากกำลังจะไปแล้ว
ทำไมถึงต้องไปชวนคุยอีก?
โชคดีที่ชายหัวโล้นเพียงค่อยๆ หันกลับมา ยิ้มเล็กน้อยและตอบว่า “ท่านลองเดาดูสิ ?”