ตอนที่ 881 อยู่ดีๆ ก็มีงานเข้า
“คราวนี้พวกเจ้ามีเรื่องอะไรอีก?”
น้ำเสียงที่หนักแน่นชัดเจนดังขึ้น
หลี่ซิวเยวียนและพรรคพวกฉีกยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
พวกเขาหันไปมอง
จึงได้เห็นเด็กหนุ่มในชุดขาวสวมใส่หน้ากากเงินครึ่งซีก มาปรากฏตัวอยู่ข้างโต๊ะอาหารของพวกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ
“พี่กู่”
“ท่านวีรบุรุษ…”
เสียงฮือฮาดังขึ้นจากบรรดาผู้คนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะอาหาร
พวกเขามีอยู่ด้วยกันหกคน ล้วนแต่เป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งสิ้น
นอกจากหลี่ซิวเยวียน หลิวเหวินฮุยและกานเซียวซวงแล้ว อีกสามคนก็เป็นชายหนึ่งหญิงสอง พวกเขาคือแกนนำกลุ่มผู้ประท้วงหน้าสถานทูตจักรวรรดิจี้กวงเมื่อวันก่อน ถึงจะไม่รู้ชื่อ แต่หลินเป่ยเฉินก็จำหน้าพวกเขาได้หมดสิ้น
ความรู้สึกของการถูกยกย่องให้เป็นวีรบุรุษมันช่างยอดเยี่ยมจริงๆ
โดยเฉพาะหลินเป่ยเฉินผู้ตอนอยู่บนโลกมนุษย์ไม่เคยมีความโดดเด่นในโรงเรียนเลยสักครั้ง ขณะนี้ เขาจึงพอใจมากกับสายตาสรรเสริญของเด็กหนุ่มเด็กสาวทั้งหกคนนี้
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากทุกคน
พวกเขานั่งลงที่โต๊ะอาหาร
“เสี่ยวเอ้อร์ ขอสุราและอาหารที่ดีที่สุดในโรงเตี๊ยมแห่งนี้มาอย่างละสามชุด”
หลินเป่ยเฉินสั่งเครื่องดื่มและอาหารด้วยเสียงดังกังวาน
“พี่กู่…”
กานเซียวซวงมีดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ ยิ้มแก้มแดง ก่อนพูด “ท่านอย่าเปลืองเงินเลย พวกเรา…”
หลินเป่ยเฉินโบกมือวูบและพูดว่า “ไม่เป็นไร พวกเจ้าคือวีรชนคนรุ่นใหม่แห่งจักรวรรดิเป่ยไห่ ได้เสียเงินเลี้ยงอาหารและเครื่องดื่มพวกเจ้าเพียงเล็กน้อยถือว่าเป็นเกียรติสำหรับข้าด้วยซ้ำ พวกเจ้าจงเดินขบวนประท้วงเพื่อจักรวรรดิของเราต่อไปนะ… ไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก รับประทานกันให้เต็มที่ มื้อนี้ข้าเลี้ยงเอง”
ทันใดนั้น กานเซียวซวงและเด็กสาวเพื่อนร่วมสำนักอีกสองคนก็แสดงสีหน้าเคารพเทิดทูนกู่เทียนเล่อผู้สูงส่งอย่างหมดหัวใจ
หลี่ซิวเยวียนได้แต่ขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า
ทุกคนรู้สึกเลื่อมใส ‘กู่เทียนเล่อ’ ผู้นี้จากใจจริง
“เลิกเรียกข้าว่าพี่กู่ได้แล้ว ถึงอย่างไร ข้าก็ยังถือว่าเป็นคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเจ้า”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้าง “เรียกข้าว่าศิษย์พี่เฉยๆ ก็พอ… ว่าแต่ไม่ได้พบเจอกันหลายวัน ไม่ทราบว่าพวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่หรือ?”
กานเซียวซวงยิ้มแย้มราวดอกไม้บาน ช่วยแต่งเติมให้ใบหน้าของนางงดงามมากยิ่งขึ้น “พวกเราเตรียมการที่จะเดินขบวนเปิดโปงตัวชั่วร้ายผู้หนึ่ง ที่แฝงตัวอยู่ในจักรวรรดิของเราเจ้าค่ะ”
“เหรอ ตัวชั่วร้ายผู้นี้มันทำอะไรไว้บ้างล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินสอบถามกลับไปด้วยความชอบใจ
เด็กหนุ่มเด็กสาวกลุ่มนี้ช่างมีพลังงานล้นเหลือกันจริงๆ
กานเซียวซวงตอบว่า “ตัวชั่วร้ายผู้นี้ทรยศต่อประเทศชาติ ยกดินแดนของเราให้แก่ศัตรู ลุ่มหลงอยู่ในเงินตราและราคะ ไม่มีความเป็นมนุษย์อยู่ในตัว แต่มันมักซ่อนตัวอยู่ในความมืด ไม่มีใครรู้ความร้ายกาจที่แท้จริงของตัวชั่วร้ายผู้นี้ ดังนั้น พวกเราจึงมีหน้าที่ฉุดดึงมันออกมาสู่แสงสว่าง ให้ทุกคนได้เห็นความชั่วร้ายของคนผู้นี้เจ้าค่ะ”
“โลกเรามีคนชั่วร้ายเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความตกตะลึงและรับไม่ได้ “เปิดโปงมัน พวกเราต้องเปิดโปงมัน และฆ่ามันทิ้งซะ”
เมื่อกานเซียวซวงได้รับการสนับสนุนจากวีรบุรุษประจำใจ นางก็แสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมามากขึ้น
เช่นเดียวกับศิษย์สาวร่วมสำนักอีกสองคนผู้มีนามว่าไป๋เสวี่ยและอี้ซิน
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความกระตือรือร้นว่า “เจ้าจะเดินขบวนกันเมื่อไหร่ ข้าจะไปให้กำลังใจและสนับสนุนสุดความสามารถ”
“เราจะเดินขบวนกันอีกห้าวันหลังจากนี้เจ้าค่ะ”
กานเซียวซวงอธิบายด้วยหัวใจที่พองโต “พวกเรากำหนดเส้นทางเรียบร้อย มีคำขวัญประจำกลุ่มและมีสมาชิกจำนวนหนึ่งแล้ว คาดว่าการเดินขบวนในครั้งนี้ น่าจะมีผู้ร่วมชุมนุมมากมายทีเดียว”
“โอ้โห พวกเจ้าชำนาญเรื่องการเดินขบวนประท้วงมากเลยนะ”
หลินเป่ยเฉินยกนิ้วโป้งให้ด้วยความชื่นชม
เหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวยิ้มรับคำชมอย่างมีความสุข
ไม่มีอะไรจะน่าดีใจเท่าการได้รับคำชมเชยจากวีรบุรุษประจำใจอีกแล้ว
ไม่นานหลังจากนั้น อาหารขึ้นชื่อประจำโรงเตี๊ยมก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะ
ในบรรดาอาหารเหล่านั้น มีสองชนิดที่เรียกว่าไก่สามถ้วยและเต้าหู้น้ำตก เรียกว่านับดูในนครหลวงแห่งนี้ พวกมันถูกจัดเป็นหนึ่งในยอดอาหาร 30 อันดับแรกที่จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด
นอกจากนี้ ทุกคนยังได้ดื่มสุราหยกเขียว ซึ่งเป็นสุราหมักจากผลไม้ขึ้นชื่อประจำโรงเตี๊ยมอีกด้วย
เพียงเปิดดินปิดฝาไหออก กลิ่นหอมก็ลอยตลบอบอวลในอากาศ
“พวกเราคุยไปด้วยรับประทานไปด้วยเถอะ”
หลินเป่ยเฉินส่งสัญญาณให้ทุกคนเริ่มต้นรับประทานอาหารและสอบถามว่า “จริงด้วยสิ ว่าแต่ตัวชั่วร้ายที่พวกเจ้ากำลังจะไปเปิดโปงมันนี้เป็นใครมาจากไหนหรือ?”
กานเซียวซวงยกจอกสุราขึ้นจิบและตอบว่า “บุคคลผู้นี้เป็นบุตรชายของอดีตนายทหารที่มีภาพลักษณ์ดีงาม มีผู้ติดตามมากมาย สร้างวีรกรรมกล้าหาญโด่งดังไปทั่ว แต่ใครจะรู้เลยว่าตัวจริงของนายทหารผู้นี้ กลับไม่ได้แตกต่างไปจากบุตรชายของเขาในปัจจุบันเลย…”
หลี่ซิวเยวียนส่งเสียงกระแอมไอขึ้นเล็กน้อย “เสี่ยวซวง บิดาของเขาเคยสร้างคุณงามความดีให้แก่ประเทศชาติมากมาย บัดนี้ความจริงยังไม่เปิดเผย การสืบสวนของทางจักรวรรดิยังไม่จบสิ้น เจ้าจะกล่าวหาว่าบิดาของเขาเป็นคนผิดไม่ได้”
กานเซียวซวงรับคำดังอ้อ รีบขออภัยและกล่าวต่อ “ศิษย์พี่หลี่กล่าวได้ถูกต้อง ข้าผิดไปแล้ว…”
นางแลบลิ้นออกมาทำหน้าตาน่ารักน่าชัง ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองที่หลินเป่ยเฉินและอธิบายว่า “บุคคลที่เรากำลังกล่าวถึงนี้ พี่กู่อาจจะไม่เคยได้ยิน ความจริงยังมีผู้คนในจักรวรรดิเป่ยไห่อีกมากมายที่ไม่รู้จักเขา เพราะฉะนั้น เราจึงต้องรีบกระชากหน้ากากของหลินเป่ยเฉินผู้นี้ออกมาให้เร็วที่สุด เพราะเขามีนิสัยแท้จริงเป็นจอมเสเพลอันดับหนึ่ง ไม่ว่าลูกเล็กเด็กแดงหรือคนชราได้ยินชื่อของเขา ต่างก็หนาวสั่นไปทั้งตัวและถึงกับนอนไม่หลับด้วยความหวาดกลัว…”
เคล้ง
ตะเกียบในมือหลินเป่ยเฉินตกลงไปบนพื้น
เขาอ้าปากเหวอ
หลงนั่งด่าอยู่ตั้งนาน ที่แท้ก็เป็นตัวเขาเองเหรอเนี่ย?!
นี่มันเหมือนตำนานเรื่องเล่าตลกที่กล่าวถึงชายหนุ่มคนหนึ่งเห็นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งยืนมองบ้านหลังหนึ่งไฟไหม้จึงเข้าไปยืนดูด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน แต่ภายหลังจึงพบว่าบ้านที่กำลังไฟไหม้นั้นคือบ้านของตัวเขาเอง
“พี่กู่เป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ?”
กานเซียวซวงถามออกมาเมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของหลินเป่ยเฉิน นางนึกว่าตนเองพูดอะไรผิดไป จึงรีบถามออกมาด้วยความเป็นกังวล
“อ้อ… วันก่อนที่ข้าสู้กับพวกนักรบจักรวรรดิจี้กวง แขนของข้าใช้กำลังเยอะเกินไป บัดนี้ก็เลยไม่ค่อยมีแรงน่ะ…”
หลินเป่ยเฉินเก่งกาจเรื่องการแสดงละครมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะฉะนั้น คำแก้ตัวในครั้งนี้จึงสมจริงเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากตั้งสติได้ เขาก็สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม “เจ้าไปได้ยินเรื่องความชั่วร้ายของหลินเป่ยเฉินมาจากไหน? มีหลักฐานหรือไม่? ข้าเองก็เคยได้ยินชื่อของเขามาบ้าง ว่ากันว่าเขาเป็นคนดี ข้าเองก็นึกชื่นชมวีรกรรมของเขาอยู่หลายครั้ง เห็นว่าเขาเป็นผู้ที่ถูกเลือกจากเทพีกระบี่ด้วยนะ แล้วบุคคลเช่นนี้จะเป็นผู้ทรยศประเทศชาติได้อย่างไร? พวกเจ้ากำลังใส่ร้ายคนดีอยู่หรือไม่?”
เมื่อพูดมาถึงประโยคนี้ หลินเป่ยเฉินก็เตรียมคำแก้ตัวไว้นับหมื่นคำแล้ว
หลังจากนี้ เด็กหนุ่มเด็กสาวกลุ่มนี้ก็จะต้องเริ่มลังเลและย้อนกลับไปคิดใหม่ว่าตนเองถูกหลอกได้อย่างไร
ทว่า กานเซียวซวงและพรรคพวกกลับมีดวงตาเป็นประกายแวววาวด้วยความเคารพเลื่อมใสมากกว่าเดิม
เพราะพวกนางไม่ไขว้เขวแม้แต่น้อย
“สมแล้วที่เป็นท่านพี่กู่ ช่างมีความรอบคอบจริงๆ”
ใบหน้าทรงกลมของกานเซียวซวงปรากฏรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว นางรีบกล่าวต่อ “เรื่องร้ายแรงเช่นนี้ แน่นอนว่าพวกเราต้องมีหลักฐานชัดเจนถึงจะลงมือทำสิ่งใด มิฉะนั้น พวกเราอาจจะใส่ร้ายคนดีก็เป็นได้ แต่ครั้งนี้ พวกเรามั่นใจเจ้าค่ะ หลักฐานที่มีนั้นหนาแน่นมาก เพราะพวกเราเห็นเอกสารที่มีตราประทับจากทางกองทัพอย่างเป็นทางการว่า หลินเป่ยเฉินเป็นผู้ยกมณฑลเฟิงอวี่ให้กับพวกชาวทะเล เพื่อแลกกับการที่ชาวทะเลจะถอนทัพกลับไป…”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากมณฑลชิงเซ่อซวง ซึ่งอยู่ติดกับมณฑลเฟิงอวี่ พวกเขาบอกว่ามณฑลเฟิงอวี่ถูกชาวทะเลบุกยึดโดยสมบูรณ์ กองทัพหลวงล่าถอยไม่ยอมต่อสู้…” หลิวเหวินฮุยกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น
“ใช่แล้วพี่กู่ เรื่องนี้เรามีหลักฐานยืนยันจากหลายฝ่าย”
“ไม่แต่เพียงหลักฐานจากทางกองทัพเท่านั้น แต่บัดนี้ ในนครหลวงข่าวนี้ก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วแล้ว…”
“ข้าได้ยินมาว่าหลินเป่ยเฉินอำมหิตถึงขั้นฆ่าผู้ปกครองมณฑลคนเก่าด้วยละขอรับ”
“มันไม่มีความเป็นมนุษย์เหลือยู่อีกแล้ว”
“ข้าได้ยินมาว่าเทพเจ้าที่คอยหนุนหลังหลินเป่ยเฉิน หาใช่เทพีกระบี่ไม่ แต่กลับเป็นพวกปีศาจต่างหาก”
“อันที่จริง ข่าวลือนี้เริ่มแพร่กระจายพอสมควรแล้ว สิ่งที่พวกเราต้องทำก็แค่จุดกระแสให้ทุกคนได้ล่วงรู้ความชั่วร้ายของหลินเป่ยเฉิน เจ้าสัตว์เดรัจฉานผู้นี้มันจะต้องไม่มีที่ยืนในจักรวรรดิเป่ยไห่ของพวกเรา และมันจะต้องถูกสาปแช่งในฐานะผู้ทรยศต่อประเทศชาติตลอดไป!”
กลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวพูดน้ำเสียงอาฆาตแค้น
หลินเป่ยเฉินได้แต่กะพริบตาปริบๆ
มันไม่ควรเป็นแบบนี้สิ
เจ้าเฉียนเฟยเซวียนั่นไม่ได้พูดอะไรดีๆ เกี่ยวกับเขาบ้างเลยหรือไง?
หากไม่มีคนเจตนาปล่อยข่าวลือเช่นนี้ออกมา กลุ่มลูกศิษย์เหล่านี้ก็คงไม่รู้แน่
หรือว่านี่จะเป็นฝีมือของโหลวซานกวน ฉากหน้าทำเป็นคนดี แต่ลับหลังหลินเป่ยเฉินก็แอบไปปล่อยข่าวลือเสียหายเกี่ยวกับตัวเขา?
แล้วหลังจากนี้ หลินเป่ยเฉินจะมีที่ยืนในนครหลวงได้อย่างไร?