ตอนที่ 892 ทำไมพ่อท่านถึงเป็นคนเช่นนี้
องค์ชายเจ็ดถึงกับชะงักไปเล็กน้อย “นี่เจ้าสงสัยว่าพวกเขา…”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าพลางลดเสียงลงเป็นกระซิบ “ยอดฝีมือสิบคนไม่ใช่สุกรสิบตัว อยู่ดีๆ พวกเขาจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยได้อย่างไร? ยิ่งท่านบอกว่าอาจารย์ฉู่ตะเวนซื้อหาของฝากในนครหลวง แต่ข้าลองไปสอบถามตามร้านค้าต่างๆ ดูแล้ว กลับไม่มีใครเคยพบเจอพวกของอาจารย์ฉู่แม้แต่คนเดียว ท่านคิดว่าเรื่องนี้ปกติหรือไร?”
บัดนี้ สีหน้าขององค์ชายหนุ่มก็เปลี่ยนแปลงไปแล้วเช่นกัน
นี่คือความเป็นจริงที่เขาไม่เคยนึกถึงมาก่อน
ยิ่งคิด เรื่องราวยิ่งแปลกประหลาดมากเกินไปจริงๆ
ก่อนหน้านี้ องค์ชายเจ็ดกลัวว่าหลินเป่ยเฉินจะเป็นกังวลเกี่ยวกับการหายตัวไปของอาจารย์ฉู่เหินและพรรคพวก เขาจึงส่งคนออกไปตามหากลุ่มยอดฝีมือจากเมืองหยุนเมิ่งเหล่านั้นอย่างสุดความสามารถ แต่สุดท้ายก็ได้กลับมาเพียงความว่างเปล่า
“ท่านลองนึกดูให้ดีๆ นับตั้งแต่ที่มาถึงนครหลวง ไม่สิ ระหว่างเดินทางมานครหลวง พวกท่านพบเจอเรื่องราวแปลกประหลาดพิสดารบ้างหรือไม่? หรือมีความขัดแย้งกับผู้ใดระหว่างทางบ้างหรือเปล่า?”
หลินเป่ยเฉินมองหน้าองค์ชายเจ็ด
“เรื่องนี้…”
องค์ชายเจ็ดพยายามทบทวนอย่างหนัก
เขาพึมพำออกมาว่า
“ระหว่างทางกลับมาที่นครหลวง การเดินทางราบรื่นดี เพราะข้าปลอมตัวด้วยความกลัวว่าจะเกิดเหตุร้ายระหว่างทาง จึงเสแสร้งแกล้งเป็นพ่อค้าผู้หนึ่ง…”
“แต่วันที่ข้ากับพวกคณะอาจารย์ฉู่มาถึงนครหลวง จังหวะที่กำลังจะเดินเข้าประตูเมือง ข้าก็ได้พบกับขบวนเกี้ยวของท่านพี่ใหญ่ของข้าเข้าพอดี และเขาก็จดจำข้าได้ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หาได้เกิดเหตุทะเลาะเบาะแว้งกันไม่ เมื่อพวกของอาจารย์ฉู่ปฏิบัติภารกิจเสร็จเรียบร้อย ข้าก็ให้คนส่งพวกเขาไปเข้าพักที่โรงเตี๊ยมและนำของขวัญไปมอบให้พวกเขา…”
“มีการยืนยันแน่นอนว่าพวกของอาจารย์ฉู่เข้าพักที่โรงเตี๊ยมเรียบร้อย…”
“นอกจากนี้ ข้าก็ได้รับทราบมาว่าองค์ชายสี่ องค์ชายหก และองค์ชายแปด ต่างก็ส่งของขวัญไปหาพวกของอาจารย์ฉู่ เพื่อหวังที่จะชักนำพวกเขาไปเป็นคนของตนเอง แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมา…”
“หรือว่าการที่อาจารย์ฉู่และผู้ติดตามตกอยู่ในอันตราย จะมาจากความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับข้า…”
“แต่มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย หากข้ายังแข็งแรงดีก็ว่าไปอย่าง แต่บัดนี้ข้ากลายเป็นคนพิการ ไม่มีสิทธิ์แย่งชิงบัลลังก์กับผู้ใดได้อีก องค์ชายคนอื่นไม่สนการมีตัวตนอยู่ของข้าเลย เพราะฉะนั้น พวกของอาจารย์ฉู่คงไม่ตกอยู่ในอันตรายเพราะข้าแน่ๆ”
“อีกอย่าง คณะของอาจารย์ฉู่ไม่ใช่คนของข้า นี่คือสิ่งที่ทุกคนรู้กันดี การหายตัวไปของพวกเขาย่อมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้า…”
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็ต้องถามออกมาทันที “ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับพี่น้องคนอื่นๆ เป็นอย่างไร?”
“ก็เป็นพี่น้องกันตามมารยาท”
องค์ชายเจ็ดตอบ “ตอนที่ข้ายังไม่พิการ ข้าได้รับการโปรดปรานจากบิดามากมาย โลกภายนอกจึงคิดว่าข้าจะต้องได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาท ด้วยเหตุนี้ องค์ชายคนอื่นๆ จึงเสแสร้งแกล้งทำดีกับข้าเมื่ออยู่ต่อหน้า แต่ลับหลังนั้นเล่า พวกเขาหาได้…”
“เดี๋ยวก่อนนะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินแทรกขึ้นด้วยความประหลาดใจ “อย่าบอกนะว่าพอคอของท่านเป็นเช่นนี้ พ่อท่านก็ไม่เห็นท่านอยู่ในสายตาอีกเลย? ทำไมพ่อท่านถึงเป็นคนเช่นนี้ ข้าว่าเขาเป็นคนที่ใช้ไม่ได้เกินไปแล้ว”
องค์ชายเจ็ดพูดอะไรไม่ออก
คุณชายหลิน พูดจาอะไรระวังหน่อยสิ
ถึงอย่างไรพ่อข้าก็เป็นถึงจักรพรรดิเชียวนะ
แต่เมื่อได้ยินหลินเป่ยเฉินกล่าวเช่นนี้ องค์ชายเจ็ดกลับรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา
เพราะนี่หมายความว่าคุณชายหลินยังเห็นเขาเป็นองค์ชายเจ็ดคนเดิมทุกประการ
นับตั้งแต่ที่เขาคอเอียงและถูกตราหน้าว่าเป็นคนพิการ ลำดับชั้นขององค์ชายเจ็ดในราชวงศ์ก็ลดน้อยถอยลงอย่างน่าใจหาย กลุ่มขุนนางที่เคยติดตามเขาในอดีตก็เปลี่ยนใจไปจงรักภักดีต่อเจ้าชายคนอื่นอย่างไม่เหลือเยื่อใยแม้เพียงนิด
ดังนั้น ถึงองค์ชายเจ็ดจะรู้ตัวดีว่าตนเองคงไม่มีสิทธิ์ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว แต่เขาก็กลัวว่าตนเองจะเป็นต้นไม้ที่ยืนอยู่กลางลมพายุกระโชกแรง ถึงอยู่เฉยๆ ก็อาจได้รับอันตรายโดยไม่รู้ตัว และในทางกลับกัน องค์ชายเจ็ดผู้นี้ก็จะกลายเป็นหมากที่ท่านพ่อพร้อมสละทิ้งได้ตลอดเวลา เขาจึงต้องหาทางสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเอง เพื่อปกป้องภรรยาและบุตรสาวผู้เป็นที่รักยิ่ง
องค์ชายเจ็ดอยากจะเกาะติดหลินเป่ยเฉินไม่ยอมปล่อย
เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยปกป้องเขาและครอบครัวได้
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่องค์ชายเจ็ดใส่ใจในการประลองเดิมพันชีวิตครั้งนี้ทุกรายละเอียด
เขาหวังว่าหลินเป่ยเฉินจะเป็นผู้ชนะ
“ท่านพ่อไม่ลืมข้าหรอก ท่านออกจะสงสารข้าด้วยซ้ำ แต่ท่านก็คงไม่แต่งตั้งข้าเป็นองค์รัชทายาทแน่นอน เพราะคงไม่มีจักรวรรดิใดที่จะยอมปล่อยให้จักรพรรดิคอเอียงเช่นนี้ขึ้นครองราชย์แน่นอน”
องค์ชายเจ็ดอธิบาย
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าหงึกหงัก “จริงด้วยขอรับ”
องค์ชายเจ็ดน้ำตาแทบไหล
จริงด้วยบ้านเจ้าเถอะ
เขาก็นึกว่าหลินเป่ยเฉินจะปลอบใจ แต่ที่ไหนได้ ดันมาเห็นด้วยซะอย่างนั้น!!
หลินเป่ยเฉินยกมือทำท่าดันแว่น สีหน้าครุ่นคิด “ท่านรู้จักนครหลวงดีกว่าข้า รบกวนท่านลองส่งคนไปตรวจสอบดูองค์ชายคนอื่นๆ ก่อน บางทีอาจจะมีเบาะแสอะไรบ้างก็เป็นได้ และก็ยังมีพวกตระกูลเว่ยแห่งมณฑลเฉียนเกาอีก… แม้มีความเป็นไปได้ที่พวกของอาจารย์ฉู่จะเดินทางสวนกับแม่ทัพเกาจนไม่ได้พบหน้ากัน แต่อย่างน้อย ข้าก็ต้องเตรียมตัวพร้อมรับสถานการณ์ทุกอย่างเอาไว้ก่อน”
องค์ชายเจ็ดยิ้มฝืดฝืน
ให้ตายสิ
ข้อมูลแต่ละอย่างที่หลินเป่ยเฉินต้องการ ใช่ว่าจะสืบหามาได้ง่ายๆ ซะที่ไหน
องค์ชายเจ็ดตอบกลับไปด้วยความเก้อกระดากว่า “เรื่องที่เจ้าว่าข้าสามารถทำให้ได้ แต่เกรงว่าคงไม่ได้เบาะแสอันใด และบัดนี้ ข้าก็แทบไม่เหลือผู้ติดตามฝีมือดีอีกแล้ว…”
หลินเป่ยเฉินโบกมือเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ “ไม่มีปัญหาขอรับ ข้าจะส่งคนไปช่วยท่านเอง… และคนผู้นั้นก็คือ… เจ้าหมอนั่นชื่ออะไรนะ…”
“กงกงมาแล้วขอรับ นายท่าน”
กงกงปรากฏตัวขึ้นเสมือนเป็นวิญญาณตนหนึ่ง
“เจ้ากับอากวงคัดเลือกคนจากหน่วยผู้พิทักษ์สีเงินไปช่วยเหลือองค์ชายเจ็ดสืบข่าว ได้เบาะแสอะไรบ้างก็รีบมารายงานข้าโดยเร็วที่สุด พวกเจ้าสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อหาเบาะแสมาให้ได้ แต่อย่าทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ตัวจะดีที่สุด เพราะข้ายังไม่อยากมีปัญหากับผู้ใดในตอนนี้”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง
“รับทราบขอรับ”
กงกงก้าวถอยหลังไปยืนอยู่ด้านหลังองค์ชายเจ็ด หลังจากนั้น ร่างกายของเขาก็ค่อยๆ เลือนหายไปในความมืด
ในไม่กี่อึดใจให้หลัง เมื่อองค์ชายเจ็ดขอตัวกลับ ขันทีชราจางเชียนเชียนก็แต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบเต็มยศ นำขันทีผู้ติดตามอีกสองคนมาขอเข้าพบหลินเป่ยเฉิน
ขันทีชราจางเชียนเชียนนำข่าวมือสองมารายงานทั้งหมด
เรียกข่าวมือสองจะถูกต้องหรือเปล่านะ?
เพราะทั้งหมดนั้นเป็นข่าวเดียวกับที่องค์ชายเจ็ดกล่าวถึงก่อนหน้านี้