ตอนที่ 893 ทำไมพ่อท่านถึงเป็นคนเช่นนี้
“คุณชายทราบแล้วหรือขอรับ?”
ขันทีชราจางเชียนเชียนถามออกมาเมื่อสังเกตเห็นอาการเฉยชาไม่กระตือรือร้นของหลินเป่ยเฉิน
“ข้ารู้อยู่แล้ว จริงด้วยสิ ขันทีจาง ข้ามีบางอย่างอยากรบกวนขอความช่วยเหลือจากท่าน”
หลินเป่ยเฉินอยากจะใช้ประโยชน์จากทุกๆ อย่างที่เขามีให้ดีมากที่สุด “ข้าอยากให้ท่านช่วยออกตามหาคนของข้าที่หายตัวไปสักหน่อย”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็อธิบายถึงบุคลิกและลักษณะของพวกอาจารย์ฉู่เหินครบทุกคน
ขันทีชราจางเชียนเชียนมีท่าทีหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนพูดว่า “องค์ชายเจ็ดเคยขอให้ข้าออกตามหาคนกลุ่มนี้มาแล้วครั้งหนึ่งขอรับ แต่พวกเราไม่พบเบาะแสใดๆ เลย แต่ในเมื่อนี่เป็นคำสั่งของคุณชายหลิน ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะสั่งให้คนออกตามหาอีกครั้งโดยเร็วที่สุด”
ออกตามหาอีกครั้ง?
ทันทีที่ขันทีชราพูดคำนี้ออกมา… หลินเป่ยเฉินก็รู้เลยว่าตอนที่องค์ชายเจ็ดสั่งงานก่อนหน้านี้ ขันทีชราจางเชียนเชียนคงไม่ได้ออกตามหาจริงจังแม้แต่น้อย
ดูเหมือนสถานการณ์ขององค์ชายเจ็ดจะน่าเป็นห่วงมากแล้วสิ
ขนาดขันทีชราจางเชียนเชียนยังไม่ยอมทำตามคำสั่งอีกแล้ว
ทั้งๆ ที่ขันทีผู้นี้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ภักดีต่อราชวงศ์ที่สุด
เด็กหนุ่มแสร้งแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจ “ท่านบอกว่าองค์ชายเจ็ดเคยสั่งให้ออกตามหาพวกเขาแล้วอย่างนั้นหรือ? สมแล้วที่เขาเป็นพี่ชายร่วมสาบานของข้า หลินเป่ยเฉินคนนี้ แม้ไม่ได้เกิดวันเดียวปีเดียวกับองค์ชายเจ็ด แต่ข้าก็ขอตายวันเดียวปีเดียวกับเขา ขอให้องค์ชายเจ็ดอายุยืนหมื่นปีหมื่นหมื่นปี!”
ดวงตาของขันทีชราจางเชียนเชียนเป็นประกายประหลาดใจวูบวาบ
ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายเจ็ดกับหลินเป่ยเฉินแน่นแฟ้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินยังไม่ค่อยอยากจะมองหน้าองค์ชายเจ็ดเลยด้วยซ้ำ
เหตุไฉนถึงกลายมาเป็นพี่น้องร่วมสาบานที่พร้อมตายวันเดียวกันได้แล้วเล่า?
หรือว่าองค์ชายเจ็ดสามารถซื้อใจเซียนกระบี่รชตะผู้นี้ได้แล้วจริงๆ?
ความคิดมากมายปรากฏขึ้นในหัวสมองของขันทีชราจางเชียนเชียน
แผนการหลายอย่างของเขาต้องปรับปรุงใหม่
ในที่สุด ขันทีชราก็ได้ข้อสรุปว่า…
หลังจากนี้ เขาต้องทำดีกับองค์ชายเจ็ดให้มากขึ้น
ถึงแม้องค์ชายเจ็ดจะไม่สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้อีกแล้ว แต่อย่างน้อยก็ถือเป็นบุคคลที่ล้ำค่า เป็นพี่ชายร่วมสาบานของผู้มีพลังระดับเซียน หากเป็นมิตรกับบุคคลเช่นนี้ ก็จะสุขสบายไปชั่วชีวิต
แน่นอนว่าทุกอย่างจะเป็นเช่นนั้น หากหลินเป่ยเฉินสามารถรอดชีวิตจากการประลองในอีกเจ็ดวันหลังจากนี้ได้สำเร็จ
“คุณชายหลินขอรับ คุณชายมั่นใจในการประลองครั้งนี้มากเพียงใด?”
ขันทีชราจางเชียนเชียนพยายามสอบถาม
หลินเป่ยเฉินเงยหน้ายิ้มกว้างและตอบว่า “พูดแล้วจะหาว่าคุย ข้าสามารถเอาชนะมือธนูอินทรีทะเลทรายได้ด้วยมือข้างเดียวด้วยซ้ำ…”
“อีกฝ่ายชื่อมือธนูจ้าวอินทรีขอรับ…”
ขันทีชราจางเชียนเชียนพยายามแก้ไขให้ถูกต้อง
“เขาจะชื่ออะไรก็ช่าง แต่สุดท้ายก็ต้องตายด้วยมือข้าอยู่ดี”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชั่วร้าย
ขันทีชราจางเชียนเชียนพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะมั่นใจมาก
“คุณชายหลินขอรับ มีอีกอย่างหนึ่งที่ข้าอยากเตือนท่าน ว่ากันว่าอวี้ซือไป๋ฝึกวิชาอยู่ในทะเลทรายชวี่หนี่หม่ายาวนานหลายปี สุดท้ายก็ได้ครอบครองอินทรีอสูรปีกมรกตตัวหนึ่ง มันเป็นสุดยอดสัตว์อสูร เมื่อผนึกกำลังต่อสู้ร่วมกับเจ้านาย อานุภาพในการทำลายล้างจึงรุนแรงมาก คุณชายก็สมควรเตรียมสัตว์อสูรของตนเองเอาไว้บ้างนะขอรับ…”
ขันทีชราจางเชียนเชียนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หลินเป่ยเฉินชะงักกึก แสดงสีหน้าประหลาดใจขณะถามว่า “มีกฎให้ใช้สัตว์อสูรต่อสู้ได้ด้วยหรือ?”
ขันทีชราจางเชียนเชียนตอบว่า “ย่อมมีกฎเช่นนั้นอยู่จริงๆ ขอรับ และก่อนที่ข้าจะออกมาหาคุณชาย องค์จักรพรรดิก็ทรงรับสั่งให้คุณชายเข้าไปเลือกสัตว์อสูรในคอกสัตว์อสูรส่วนพระองค์ได้ทุกเมื่อ แต่ถึงอย่างนั้น สัตว์อสูรของพวกเรามีน้อยมากที่จะสามารถต่อกรกับอินทรีอสูรปีกมรกตได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ หากใช้ในการต่อสู้ระยะสั้นนั้นคงไม่มีปัญหา แต่ถ้าหวังจะใช้ในการต่อสู้ระยะยาวแล้วไซร้ คงไม่เหมาะสมขอรับ…”
ขันทีชราจางเชียนเชียนเห็นสีหน้าหลินเป่ยเฉินคล้ายกับกำลังขบคิดอะไรบางอย่าง จึงต้องรีบปลอบโยน “ข้ารู้ว่าท่านคงลำบากใจ แต่ว่า…”
“ท่านว่าอย่างไรนะ”
หลินเป่ยเฉินขัดขึ้นมากลางปล้อง “ใครบอกว่าข้าลำบากใจ?”
ขันทีชราจางเชียนเชียนกะพริบตาปริบๆ
“หรือว่าคุณชายมีสัตว์อสูรอยู่แล้ว?”
ทันใดนั้น ขันทีชราก็เข้าใจอะไรบางอย่าง
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงหัวเราะตอบกลับไป “ข้าต้องมีอยู่แล้ว ท่านไม่เคยเห็นหรือ? มันคือหนูอสูรหางกุดที่ชื่อว่าอากวงไงล่ะ”
บัดนี้ เขาแบ่งปันสัญญาณไวไฟให้แก่อากวง เจ้าหนูอสูรจึงมีพลังเทียบเท่ากับมนุษย์ที่อยู่ในขั้นเซียน เมื่อประกอบกับทักษะการล่องหนหายตัวได้ ก็คงสามารถเอาชนะอินทรีอสูรปีกมรกตอะไรนั่นได้ในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูปด้วยซ้ำ
นับว่ากฎในการประลองครั้งนี้เข้าทางหลินเป่ยเฉินจริงๆ
ขันทีชราจางเชียนเชียนขมวดคิ้วนิ่วหน้าด้วยความไม่เข้าใจ
หนูอสูรหางกุดถือเป็นสัตว์อสูรระดับต่ำ ห่างไกลจากอินทรีอสูรที่เป็นสัตว์อสูรระดับสูงหลายร้อยหลายพันเท่า ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพวกมันฝ่ายหนึ่งเป็นหนู อีกฝ่ายเป็นนก ซึ่งถือเป็นนักล่ากับเหยื่อตามธรรมชาติกันอยู่แล้ว
“คุณชายหลิน นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะขอรับ”
ขันทีชราจางเชียนเชียนพยายามเรียกสติเด็กหนุ่ม “อีกฝ่ายเป็นสัตว์อสูรระดับสูง ยามเจ้านายตกอยู่ในวิกฤต พวกมันต้องเป็นทั้งอาวุธสำหรับการต่อสู้และเป็นผู้ช่วยชีวิตในเวลาเดียวกัน ถึงอย่างไรข้าก็ขอแนะนำให้ท่านเข้าไปที่คอกสัตว์ส่วนพระองค์และเลือกสัตว์อสูรตัวใหม่มาสักตัวดีกว่าขอรับ”
ตอนแรก หลินเป่ยเฉินคิดที่จะปฏิเสธคำร้องขอของขันทีชราจางเชียนเชียน แต่ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงถามว่า “หากข้าเลือกมันมาแล้ว สัตว์อสูรตัวนั้นก็จะเป็นของข้า ข้าจะทำอะไรกับมันก็ได้ พวกท่านจะเอาคืนกลับไปไม่ได้อีกแล้วใช่หรือไม่?”
ขันทีชราจางเชียนเชียนนิ่งคิดเล็กน้อย ก็เอ่ยตอบ “ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นขอรับ…”
“งั้นเรายังรออะไรกันอีก?”
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนด้วยความกระตือรือร้น “พวกเราไปเลือกสัตว์อสูรมาขาย… เอ๊ย! ไปเลือกสัตว์อสูรมาต่อสู้ดีกว่า”
“ได้เลยขอรับ”
ขันทีชราจางเชียนเชียนรับคำสั่งด้วยความเคยชิน
แต่มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
เพราะชายชราพบว่าหลินเป่ยเฉินออกคำสั่งต่อสองสาวรับใช้ด้วยความตื่นเต้นผิดสังเกต “เฉียนเหมย เฉียนเจิน เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการถ่ายทอดสด พวกเราจะเข้าไปที่คอกสัตว์อสูรในวังหลวง มาดูกันเถอะว่าครั้งนี้เราจะทำเงินได้สักเท่าไหร่…”
ขันทีชราจางเชียนเชียนขมวดคิ้วหน้ายุ่ง
ถ่ายทอดสด?
ถ่ายทอดสดอันใดกัน?
ดูเหมือนทุกอย่างจะอยู่นอกเหนือการควบคุมของเขาอีกแล้ว
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้นะ?
…
ครึ่งวันต่อมา
“นับว่าองค์จักรพรรดิขี้เหนียวเกินไปจริงๆ คำพูดเชื่อถือไม่ได้ พอข้าเลือกเสือสายฟ้า เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าองค์จักรพรรดิสั่งห้ามไม่ให้มอบให้ข้า พอเลือกงูดินเกล็ดทองคำ องค์จักรพรรดิก็สั่งห้ามเอาไว้อีก แบบนี้ไม่ต้องบอกให้ข้าเข้ามาเลือกเองก็ได้กระมัง…”
หลินเป่ยเฉินเดินบ่นกลับเข้าสู่จวนที่พักด้วยความหงุดหงิดใจ
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินเดินตามมาทางด้านหลังพร้อมกับเสือดาวลายมังกรตัวหนึ่ง
มันเป็นสัตว์อสูรระดับสูง ขนสีเหลืองบนลำตัวมีลวดลายคล้ายกับเกล็ดมังกร ถึงจะไม่ได้เป็นสัตว์ที่อยู่ในตำนานอย่างอินทรีอสูรปีกมรกต แต่ก็ถือว่าเป็นคู่ต่อกรที่สมน้ำสมเนื้อในสายตาของขันทีชราจางเชียนเชียน สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็ต้องยอมรับมันไว้ตามคำแนะนำโดยมีค่าปลอบใจเป็นศิลาบูชา 100 ก้อน…
ระหว่างทาง เจ้าเสือดาวลายมังกรจึงถูกหลินเป่ยเฉินทุบตีอย่างไม่มีเหตุผลอยู่บ่อยครั้ง
บัดนี้ เจ้าเสือดาวมีสภาพไม่ต่างไปจากลูกแมวเชื่องๆ ตัวหนึ่ง
“หวังจง เจ้าไปตายอยู่ที่ไหน? รีบนำเสือดาวตัวนี้ไปหาที่ขายเร็วเข้า…”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่งเสียงดังกังวาน
หลังจากนั้น เสือดาวลายมังกรก็ถูกหวังจงนำตัวไปขาย
“ไหนมาดูกันซิว่าวันนี้พวกเราได้เงินจากการถ่ายทอดสดเท่าไหร่”
หลินเป่ยเฉินนั่งลงที่โต๊ะพร้อมกับสองสาวรับใช้ หลังถอนทุนคืนจากค่าอุปกรณ์ถ่ายทอดสดได้แล้ว รายได้ทั้งหมดหลังจากนี้ก็ถือเป็นกำไรล้วนๆ
“วันนี้ได้มา 500 เหรียญทองคำ…”
นับเป็นการหารายได้ที่ไม่ลำบากเลยแม้แต่น้อย
นอกจากพวกเขาจะทำเงินได้แล้ว การถ่ายทอดสดการท่องเที่ยวคอกสัตว์ส่วนพระองค์ในวังหลวงวันนี้ ยังทำให้รายการตามติดชีวิตหนุ่มหล่ออันดับหนึ่งแห่งนครหลวงได้รับความสนใจอย่างมากมายอีกครั้ง และมีผู้คนติดตามพวกเขาเพิ่มขึ้นจำนวนมหาศาล…
หลินเป่ยเฉินจ้องมองสองสาวรับใช้ของตนเอง รู้สึกไม่ต่างจากบิดาชราที่เลี้ยงดูฟูมฟักลูกสาวมานานปี ในที่สุด พวกนางก็สามารถหลอกเงินจากพวกบุรุษหนุ่มได้แล้ว
“ทุกๆ วันต่อจากนี้ พวกเจ้าถ่ายทอดสดกันต่อไป รักษาความนิยมเอาไว้ให้ได้”
หลินเป่ยเฉินพูด
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินก็รู้สึกสนุกสนานกับการถ่ายทอดสดเช่นกัน
ทันใดนั้น สมาชิกของหน่วยผู้พิทักษ์สีเงินคนหนึ่งวิ่งเข้ามาประสานมือ รายงานว่า “กราบเรียนท่านแม่ทัพ คนจากทางโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งแจ้งว่ามีแขกมาตามหาท่านขอรับ…”
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ
เป็นพวกหลี่ซิวเยวียนอีกแล้ว?
จริงด้วยสิ
คำนวณดูจากระยะเวลา วันมะรืนนี้ก็จะถึงคราวการเดินขบวนขับไล่คนทรยศหลินเป่ยเฉิน หรือว่ากลุ่มนักเคลื่อนไหวเหล่านี้ร่างคำขวัญและคำปราศรัยที่จะใช้ขับไล่เขาเสร็จแล้ว?
เด็กหนุ่มเด็กสาวพวกนี้จะด่าเขาเป็นตัวอะไรบ้างนะ?
หลินเป่ยเฉินรีบเดินทางไปที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้นด้วยความสงสัยทันที