ตอนที่ 897 เรียบง่ายนี่แหละขอรับดีที่สุดแล้ว
“ว่าแต่ว่าสถานการณ์ในเมืองเจาฮุยเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”
นี่คือสิ่งที่หลินเป่ยเฉินสนใจ
เกาเฉิงฮั่นกลับมาตั้งสมาธิอีกครั้งและตอบว่า “ครั้งนี้นับว่าน้องหลินช่วยเหลือชีวิตผู้คนนับสิบล้านคนจริงๆ นครเจาฮุยของพวกเราอยู่รอดปลอดภัยจากชาวทะเล เห็นได้ชัดว่าเหยียนอิงทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง”
“ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่เจ้าวางเอาไว้ นครเจาฮุยเริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลง เคยมีชาวทะเลมาก่อเรื่องอาละวาดในตัวเมืองสักครั้งหรือสองครั้งนี่แหละ แต่สุดท้ายก็ถูกหน่วยรักษาความปลอดภัยที่เหยียนอิงส่งมาจัดการรับโทษไปตามระเบียบ สถานการณ์ในเมืองขณะนี้จึงดีขึ้นมาก แต่ความเกลียดชังระหว่างมนุษย์กับชาวทะเลยังคงอยู่ และนั่นคือสิ่งที่ไม่อาจลบล้างให้หายไปได้ในระยะเวลาอันสั้น บัดนี้ ทุกคนเพียงทำดีต่อกันเพราะมีกฎหมายบ้านเมืองบังคับเท่านั้น…”
หลินเป่ยเฉินรับฟังดังนั้นก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้น
เหยียนอิงไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง
เด็กสาวผู้นี้ออกจะดื้อรั้นไปสักหน่อย แต่หากสามารถล่อลวงให้นางมาอยู่ฝ่ายเดียวกันได้ โอกาสที่นางจะเป็นคู่หูที่ดีก็มีมากทีเดียว
เมื่อแม่ทัพหนุ่มใหญ่อธิบายรายละเอียดสถานการณ์ในนครเจาฮุยจบลง เขาก็พูดปิดท้ายว่า “หลังจากที่ข้ามาถึงนครหลวง ฝ่าบาทก็ทรงเรียกเข้าไปรับใช้ทันที จากนั้นข้าถึงได้มีเวลามาหาเจ้า ระหว่างทางได้ยินผู้คนปล่อยข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับเจ้าและชาวทะเล…”
หลินเป่ยเฉินพลันโบกมือบอกว่า “เรื่องนี้ข้ารู้แล้วขอรับและข้าก็มีวิธีแก้ปัญหาของตนเอง”
เกาเฉิงฮั่นพยักหน้าด้วยความเป็นกังวลเล็กน้อย “เจ้าอย่าได้ประมาท นครหลวงไม่ใช่นครเจาฮุย ที่นครเจาฮุย เจ้าอาจเป็นขวัญใจมหาชนก็จริง แต่ที่นครหลวง เจ้าเป็นเพียงเด็กหนุ่มไร้ชื่อเสียง ความดีความชอบก่อนหน้านี้ของเจ้าถูกปิดบังไว้ไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ หากเจ้าทำผิดพลาดแม้เพียงนิด ก็มีผู้คนมากมายพร้อมเหยียบย่ำเจ้าให้จมธรณี!”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไป “พี่ใหญ่เกา ท่านคิดว่าข้าเป็นตัวโง่งมหรืออย่างไร? ท่านคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องเหล่านี้หรือ? สบายใจเถอะขอรับ ข้ามีวิธีรับมือทุกอย่างแล้ว”
มีวิธีรับมือแล้ว?
แน่นอนว่าหลินเป่ยเฉินจะเริ่มต้นการแก้ปัญหาของเขาด้วยการเดินขบวนประท้วงของกลุ่มศิษย์สำนักศึกษาในนครหลวง
ลองนึกดูสิว่ามันจะดีขนาดไหน หากเปลี่ยนการเดินขบวนขับไล่หลินเป่ยเฉิน ให้เป็นการเดินขบวนเพื่อชื่นชมหลินเป่ยเฉินแทน?
แค่คิดก็สนุกแล้ว
และนั่นก็จะช่วยขจัดข่าวลือได้อย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเห็นสีหน้ามั่นใจของหลินเป่ยเฉิน เกาเฉิงฮั่นก็ไม่พูดอะไรต่อ นอกจากบอกว่า “หากเจ้าต้องการให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใด ก็บอกมาแล้วกัน”
เกาเฉิงฮั่นรู้สึกอยู่เสมอว่าเด็กหนุ่มผู้นี้คือคนที่เขาต้องเกาะติดเอาไว้ให้แนบแน่น
ในอนาคตข้างหน้า หลินเป่ยเฉินจะต้องกลายเป็นยอดฝีมือในกลุ่มผู้มีพลังระดับเซียนแน่นอน
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ “ฮ่าฮ่าฮ่า พี่ใหญ่เกา ท่านน่าสนใจจริงๆ ข้าเองก็กำลังรอฟังคำนี้อยู่พอดี ข้าขอรับปากเลยว่ากำลังจะมีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้น แล้วข้าจะไปลืมท่านได้อย่างไร? เพื่อเห็นแก่ที่ท่านทำงานหนักตลอดมา ข้าจึงเตรียมบทไว้ให้แก่พี่ใหญ่เกาแล้ว”
พูดถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็หยิบม้วนกระดาษออกมา
เป็นม้วนกระดาษที่เขียนด้วยลายมือ
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ‘บท’
เกาเฉิงฮั่นรับม้วนกระดาษมาเปิดดูด้วยความสงสัย เมื่ออ่านข้อความเหล่านั้นจบลง สีหน้าของแม่ทัพใหญ่ก็เปลี่ยนแปลงไป เขาไม่รู้ว่าตนเองสมควรหัวเราะหรือร้องไห้มากกว่ากัน “เจ้าจะทำเช่นนี้จริงๆ หรือ?”
หลินเป่ยเฉินถามว่า “ไม่ทราบพี่ใหญ่มีปัญหาหรือไม่?”
“ย่อมไม่มีปัญหา”
เกาเฉิงฮั่นยกมือจับคางทำท่าครุ่นคิดโดยไม่รู้ตัว “แต่ว่า… ข้ารู้สึกว่ามันออกจะเรียบง่ายเกินไปหน่อย”
“เรียบง่ายนี่แหละขอรับดีที่สุดแล้ว”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความรู้สึกจากใจจริง
เกาเฉิงฮั่นนิ่งคิดอะไรบางอย่างอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็พยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
“มีเหตุผล”
เขาเริ่มคล้อยตาม “ข้าเคยทุกข์ทรมานจากการคิดมากเกินไป ข้าเคยหลงอยู่ในวังวนแห่งการแย่งชิงอำนาจ แต่หลังจากได้พบเจอเจ้า ข้ารู้สึกว่าการใช้ชีวิตแบบคนที่ไม่มีความคิดอะไรเลยก็มีข้อดีเหมือนกัน”
“นี่พี่ใหญ่กำลังชมข้าแน่นะขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบๆ
เกาเฉิงฮั่นหัวเราะด้วยความชอบใจ
เขาเก็บ ‘บท’ ของตนเองและพูดว่า “ในเมื่อเจ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
หลังจากนั้น แม่ทัพหนุ่มใหญ่ก็ลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้องรับแขก
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นเดินไปส่ง
แต่พวกเขาเดินออกมายังไม่ทันถึงลานหน้าจวนที่พัก
ทันใดนั้น สีหน้าของเกาเฉิงฮั่นกับหลินเป่ยเฉินก็แปรเปลี่ยนไป
พวกเขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
อินทรีอสูรปีกมรกตตัวหนึ่งบินเข้ามาลอยอยู่เหนือจวนซางจั้วหยวน สองปีกของมันกางออกกว้าง เกิดเป็นเงาดำขนาดใหญ่ปกคลุมที่พักของหลินเป่ยเฉิน
สัตว์อสูรชนิดนี้มีหน้าตาคล้ายกับนกอินทรี แต่ดูมีสง่าราศีมากกว่ากันหลายเท่า
กรงเล็บของมันเป็นสีทองคำสะท้อนประกายแวววาว หัวขนาดใหญ่ปกคลุมด้วยขนสีน้ำตาลเข้ม อีกทั้งยังมีจะงอยปากสีขาวที่แหลมคม สามารถใช้เป็นอาวุธทะลุทะลวงได้แทบทุกสิ่งทุกอย่าง และเท้าของมันก็ยังมีความแข็งแกร่งราวกับเป็นเหล็กกล้าอีกด้วย
แต่สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดของนกตัวนี้ก็คือปีกของมัน
ปีกที่มีสีเขียวมรกต
ปีกที่เป็นประกายวิบวับ… ราวกับเป็นมรกตจริงๆ!
แม้มีแสงสว่างเพียงริบหรี่ก็ยังสามารถเห็นประกายจากปีกของมันได้ไม่ยาก
โดยเฉพาะยามที่มันกระพือปีก ก็จะปรากฏคลื่นพลังสีเขียวอ่อนแผ่กระจายออกมาจากรอบๆ ตัว
โครงสร้างร่างกายที่มีขนาดใหญ่ยักษ์ อาศัยเพียงปีกสองข้างทำให้ลอยตัวอยู่ในอากาศได้สูงลิบ อีกทั้งยังมีความปราดเปรียวว่องไวไม่น่าเชื่อ…
นี่คือสิ่งที่ขัดต่อหลักวิทยาศาสตร์ทุกข้อ
หากเซอร์ไอแซ็ก นิวตันและชาร์ล ดาร์วินล่วงรู้เรื่องนี้เข้า พวกเขาก็คงต้องรีบตะกายขึ้นมาจากหลุมศพเป็นแน่แท้
อ้อ จริงด้วยสิ นี่คือโลกแห่งวรยุทธ์
นี่คือโลกแห่งเวทมนตร์
ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ
นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่านนั้นจึงสามารถนอนอยู่ในหลุมศพได้อย่างสงบสุขต่อไป
“นกเชี่ยไรเนี่ย ตัวใหญ่ชะมัด”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความตกใจ
เกาเฉิงฮั่นพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “มันไม่ใช่นกธรรมดา แต่มันคืออินทรีอสูร”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “เป็นอินทรีอสูรของท่านหรือขอรับ?”
“ข้าไม่มีอินทรีอสูร”
เกาเฉิงฮั่นส่ายหน้าปฏิเสธ “แต่มันเป็นอินทรีอสูรของสตรีผู้นั้น”
“สตรีผู้นั้น?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความประหลาดใจ “สตรีผู้ไหนขอรับ?”
เกาเฉิงฮั่นตอบว่า “อวี้ซือไป๋ คู่ต่อสู้ของเจ้า”
“หา?”
หลินเป่ยเฉินใบหน้ากระตุกเล็กน้อยเมื่อรู้ความจริง “หมายถึงคนที่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนหน้าอกของท่านเนี่ยนะ?”
เกาเฉิงฮั่นพยักหน้า “ใช่แล้ว นี่คือสัตว์อสูรระดับจักรพรรดิ อินทรีอสูรปีกมรกต”
นี่หรือคืออินทรีปีกมรกต?
หลินเป่ยเฉินหรี่ตาเงยหน้ามองอย่างพินิจพิเคราะห์
ปีกสีเขียวปี๋ขนาดนี้ ก็สมควรมีชื่อนี้แล้วล่ะ…
“กร๊าซซซ!”
อินทรีอสูรปีกมรกตส่งเสียงกรีดร้องแหลมสูง
คลื่นเสียงของมันแผ่กระจายไปรอบทิศทาง ก่อให้เกิดความปั่นป่วนในบรรยากาศ สัตว์ป่าที่อยู่ในรัศมีหลายร้อยลี้แม้แต่หนูหรือไส้เดือนที่อยู่ใต้ดิน ก็ยังต้องตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
ยอดฝีมือจำนวนมากสัมผัสได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งจนหัวใจกระตุกวูบ
“เกาเฉิงฮั่น ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากบนท้องฟ้า ฟังระคายหูเป็นอย่างยิ่ง มันไม่เหมือนเสียงที่พูดออกมาจากปากคน แต่คล้ายเป็นเสียงการเสียดสีกันระหว่างเม็ดทรายมากกว่า
ปรากฏว่าบนแผ่นหลังของอินทรีอสูรปีกมรกต มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่บนนั้น
หลินเป่ยเฉินอดผิดหวังไม่ได้
ด้วยขนาดที่ใหญ่ยักษ์ของอินทรีอสูร เขาจึงมองไม่เห็นใบหน้าของอวี้ซือไป๋
แต่เพียงได้ยินเสียงของนาง ก็สามารถลงความเห็นได้เลยว่าเจ้าของเสียงต้องมีหน้าตาอัปลักษณ์แน่นอน
เกาเฉิงฮั่นมีสีหน้าเคร่งเครียดทวีคูณ “เหตุไฉนเจ้าถึงมาตามหาข้า?”
“เมื่อ 35 ปีก่อน ข้าพ่ายแพ้เจ้าในการต่อสู้ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ข้าเสียใจตลอดมา”
เสียงที่ฟังดูระคายหูของอวี้ซือไป๋กล่าวตอบ “วันนี้ข้ามีพลังอยู่ในขั้นเซียนแล้ว พวกเรามาสู้กันอีกครั้งดีหรือไม่?”
นางมาที่นี่เพื่อท้าสู้กับเกาเฉิงฮั่นอย่างนั้นหรือ?
เฮอะ
สตรีนางนี้เสียสติไปแล้วจริงๆ
หลังจากนี้อีกเจ็ดวัน นางต้องต่อสู้กับหลินเป่ยเฉิน แต่แทนที่จะเตรียมตัวสำหรับการประลองเดิมพันชีวิต อวี้ซือไป๋ถึงกับมีเวลาว่างมากพอเดินทางมาท้าสู้กับผู้มีพลังระดับเซียนอีกคนหนึ่งแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่เชียวหรือ?