ตอนที่ 903 มีผู้อื่นรับหน้าที่นั้นอยู่แล้ว
สถานทูตของจักรวรรดิจี้กวง
ในอาณาเขตของสถานทูตแห่งนี้มีหมู่ตึกตั้งอยู่มากมาย
สิ่งปลูกสร้างทุกหลังปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลน การก่อสร้างงดงามตระการตา มีรูปแบบเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากสิ่งปลูกสร้างโดยรอบในนครหลวง
จำนวนมือธนูที่เดินลาดตระเวนรอบสถานทูตเพิ่มมากขึ้นกว่าเก่าหลายเท่า
แม้การสังหารมือธนูนับพันคนของหลินเป่ยเฉินก่อนหน้านี้จะทำให้สถานทูตขาดแคลนกำลังคน แต่การมาถึงขององค์ชายอวี่พร้อมด้วยคณะทหารจำนวนมาก ก็ทำให้สถานทูตของพวกเขาแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
ผู้อาวุโสลู่ล่ายเดินนำท่านประมุขตู้กู่จิงหงผ่านเข้าไปทางประตูลับ เข้าสู่ห้องลับในสถานทูตที่มีเวรยามคุ้มกันแน่นหนา
ภายในห้องลับแห่งนั้นมีผู้คนรอคอยพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว
องค์ชายอวี่ในชุดเครื่องแบบเต็มยศนั่งอยู่บนบัลลังก์ใหญ่
เขาเป็นบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา มีสง่าราศี ท่าทางทรงความรู้เป็นนักกวีและหนอนหนังสือ รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าสม่ำเสมอ ชวนให้ผู้คนรู้สึกไว้ใจโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม
เว่ยชงเฟิง เอกอัครราชทูตแห่งจักรวรรดิจี้กวงนั่งอยู่บนเก้าอี้ทางฝั่งขวามือ
บุคคลผู้นี้รับหน้าที่จัดแจงเรื่องราวของจักรวรรดิจี้กวงในดินแดนเป่ยไห่ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ใบหน้ามักจะมีความเย็นชา แต่แววตานั้นบอกถึงความคิดล้ำลึกยากหยั่งถึง บัดนี้ หัวคิ้วของเขาขมวดมุ่น แสดงให้เห็นถึงปัญหาและความกระวนกระวายที่อยู่ภายในใจ
เดิมทีการมาถึงขององค์ชายอวี่สมควรเป็นเรื่องดี
เสียแต่ว่าก่อนการมาถึงขององค์ชายอวี่ สถานทูตของพวกเขาถูกบุกโจมตีอย่างสาหัส เว่ยชงเฟิงในฐานะผู้รับผิดชอบดูแลที่นี่ จึงรู้สึกกดดันมากมายมหาศาล
จนกระทั่งบัดนี้ เว่ยชงเฟิงก็ยังไม่รู้เลยว่าองค์ชายอวี่มีความคิดเห็นต่อตัวเขาเป็นอย่างไร
เมื่อเทียบกับสายลับเก่าแก่ผู้กระวนกระวายใจราวกับนั่งอยู่บนเก้าอี้ตะปูเหล็ก องค์หญิงอวี่เค่อผูู้นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกลับมีท่าทางสบายใจมากกว่ากันหลายเท่า
นางเป็นเด็กสาวอายุประมาณ 14 – 15 ปี ใบหน้างดงามราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ความงดงามของใบหน้านางนั้นเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ช่วงขาเรียวยาวหันไปทางข้างหนึ่งของเก้าอี้ ช่วงไหล่ของนางขาวเนียนราวกับหยกแกะสลัก เอวคอดกิ่ว หน้าอกอวบอิ่มขัดกับบุคลิกที่เหมือนเป็นเด็กน้อย
องค์หญิงอวี่เค่อสวมใส่ชุดกระโปรงสีชมพูสดใสและใส่รองเท้าบูตหนังสีแดง ใบหน้าขาวเนียนของนางประดับรอยยิ้มที่มุมปาก ในอ้อมอกเด็กสาวอุ้มตุ๊กตาอยู่ตัวหนึ่ง มือของนางประคองตุ๊กตาตัวนั้นอย่างทะนุถนอม คล้ายกับกำลังพยายามกล่อมให้ตุ๊กตาตัวนี้หลับใหล
ในการประชุมครั้งสำคัญเช่นนี้ อวี่เค่อกลับแสดงตัวเป็นเด็กสาวใสซื่อบริสุทธิ์ ราวกับว่าเป็นบุคคลที่ไม่สำคัญอันใด
“ถวายบังคมองค์ชาย”
ผู้อาวุโสลู่ล่ายเดินเข้าไปย่อตัวคำนับองค์ชายอวี่
ตู้กู่จิงหงไม่กล้าล่าช้า รีบเลียนแบบท่าทางทุกอย่างของผู้อาวุโสลู่ล่ายโดยไม่ลังเล
ทันใดนั้น ชายชรารู้สึกได้ถึงการจ้องมองจากองค์ชายอวี่และเว่ยชงเฟิง สายตาของคนทั้งคู่ราวกับเป็นเข็มแหลมทิ่มทะลวงร่างกายของเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ตู้กู่จิงหงไม่เคยพบเจอองค์ชายอวี่มาก่อน
เขาย่อมไม่รู้จักนิสัยใจคอขององค์ชายแห่งจักรวรรดิจี้กวง
แต่เขาเคยพบเว่ยชงเฟิงมาแล้ว
และรู้ด้วยว่าชายชราคนนี้มีเล่ห์เหลี่ยมราวกับงูพิษ
ก่อนหน้านี้ เว่ยชงเฟิงไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตู้กู่จิงหง แม้ประมุขแห่งสำนักแสงตะวันจะทำงานรับใช้จักรวรรดิจี้กวง แต่เขาทำงานทั้งหมดภายใต้การชักใยของผู้อาวุโสลู่ล่าย และเห็นได้ชัดว่าฐานะของผู้อาวุโสลู่ล่ายไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าท่านเอกอัครราชทูตเว่ยชงเฟิงแม้แต่น้อย
“ท่านประมุขตู้กู่ ถือเป็นเกียรติที่ได้พบท่าน”
องค์ชายอวี่ลุกขึ้นยืน และประคองตู้กู่จิงหงให้ลุกขึ้นยืนด้วยความอ่อนโยน เมื่อบรรยากาศผ่อนคลายลงแล้ว ผู้เป็นองค์ชายก็กล่าวต่อ “เป็นเวลานานนับสิบปีที่ท่านประมุขตู้กู่ทำงานรับใช้จักรวรรดิจี้กวงเราเป็นอย่างดี ครั้งนี้ข้าเดินทางมาที่นี่เพื่อพบกับท่านประมุขด้วยตัวเอง และเพื่อตอบแทนความซื่อสัตย์ของท่าน ข้าจึงได้นำป้ายหยกหิมะแสงเหนือมามอบให้แก่ท่านด้วย”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ องครักษ์นายหนึ่งที่ถือป้ายหยกอยู่ในมือก็เดินเข้ามาอย่างแช่มช้า
ป้ายหยกนั้นแกะสลักอย่างงดงาม
มันถูกแกะเป็นลวดลายเกล็ดหิมะโปรยปรายในอากาศ และพื้นผิวของป้ายหยกก็เป็นประกายสะท้อนแสงแวววาวสวยงามจับใจ
องค์ชายอวี่ส่งมอบป้ายหยกให้แก่ตู้กู่จิงหงพร้อมกับกล่าวว่า “ท่านประมุขตู้กู่ นี่คือป้ายประจำตัวของพลเมืองกิตติมศักดิ์แห่งจักรวรรดิจี้กวง ในอนาคตข้างหน้า เมื่อจักรวรรดิเป่ยไห่ล่มสลาย ท่านจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขุนนางผู้สูงศักดิ์ เพียบพร้อมไปด้วยอำนาจและเงินทองมากมายจากพวกเรา”
ตู้กู่จิงหงมีสีหน้ายินดียิ่ง รีบตอบรับว่า “ขอบพระทัยองค์ชาย ข้าน้อยยินดีรับใช้พวกท่านด้วยชีวิต”
เว่ยชงเฟิงที่นั่งอยู่ด้านข้างถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
องค์ชายอวี่ยังปล่อยให้เขาอยู่ร่วมในเหตุการณ์นี้ นั่นหมายความว่าองค์ชายยังคงเชื่อใจเขาอยู่
อย่างน้อยในระยะเวลานี้ สถานะของเว่ยชงเฟิงยังคงปลอดภัยไม่สั่นคลอน
เว่ยชงเฟิงลุกขึ้นยิ้มแสดงความยินดีต่อตู้กู่จิงหง “ข้าประจำการอยู่ในเมืองหลวงมานานกว่าสิบปี แต่ไม่รู้เลยว่าท่านประมุขของสำนักยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งนครหลวงกลับเป็นสหายร่วมอุดมการณ์เดียวกัน ฮ่าฮ่าฮ่า เมื่อมีท่านประมุขตู้กู่คอยช่วยเหลือเช่นนี้ เรื่องราวทั้งหลายก็คงง่ายดายแล้ว”
“ท่านทูตเว่ยชื่นชมข้าน้อยเกินไปแล้ว”
ตู้กู่จิงหงรีบแสดงอาการถ่อมตัว
ชายชราตกใจไม่น้อยที่พบว่าตนเองเป็นคนสำคัญของการประชุมในครั้งนี้
ผู้อาวุโสลู่ล่ายถอยออกไปยืนอยู่ด้านข้าง
องค์ชายอวี่มีท่าทางสง่าผ่าเผย ถ้อยคำหนักแน่นมั่นคง ทางด้านเว่ยชงเฟิงก็เป็นหัวหน้าสายลับเก่าแก่ในเมืองเป่ยไห่ยาวนานหลายปี บุคลิกสูงส่งน่าเลื่อมใส และทั้งสองคนแสดงท่าทีเป็นมิตรต่อตู้กู่จิงหงราวกับเป็นสหายเก่าที่ไม่ได้พบเจอกันมานานนับสิบปี บรรยากาศทุกอย่างผ่อนคลาย คล้ายกับไม่ใช่การประชุมเพื่อโค่นล้มจักรวรรดิข้างเคียงแม้แต่น้อย
ตู้กู่จิงหงไม่กล้าประมาทมากเกินไป เขาระมัดระวังตัวตลอดเวลา
ชายชรารู้ดีว่ายิ่งสนทนามากเท่าไหร่ ตนเองยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากเท่านั้น หากประมาทเพียงนิดเดียว ฝ่ายตรงข้ามอาจจะพบเห็นความผิดปกติของเขาก็เป็นได้
หลังจากนั้น หัวข้อการสนทนาก็ดำเนินมาถึงเรื่องที่กู่เทียนเล่อบุกเข้ามาในสำนักแสงตะวัน
“ว่าไงนะขอรับ? บุคคลที่ชื่อกู่เทียนเล่อนั้น แท้ที่จริงแล้วก็คือหลินเป่ยเฉิน?”
ตู้กู่จิงหงอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ
“ถูกแล้ว เจ้าลูกเต่าตัวนี้เติบโตขึ้นมารวดเร็วมากเกินไป หากปล่อยให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป ย่อมต้องเป็นภัยคุกคามต่อจักรวรรดิจี้กวงอย่างแน่นอน”
องค์ชายอวี่พยักหน้ากล่าวเสียงเครียด “ตอนที่ข้ามาสานสัมพันธไมตรีกับชาวทะเล ข้าเคยพบเจอกับเด็กหนุ่มคนนี้มาแล้ว ภายนอกเขาอาจจะดูเป็นคนผิดปกติ แต่ภายในนั้นเขาซ่อนความร้ายกาจเอาไว้ชนิดที่ใครก็คาดไม่ถึง ข้าไม่รู้เลยว่าบัดนี้เขามีฝีมือแข็งแกร่งอยู่ในระดับใดแล้ว ทันทีที่หลินเป่ยเฉินเดินทางมาถึงนครหลวง เขาก็บุกมาถล่มสถานทูตของจักรวรรดิจี้กวง จากนั้นจึงไปเล่นงานสำนักแสงตะวัน ทั้งหมดนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการวางแผนอย่างดี และการรับมือกับเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเราจะประมาทเขาไม่ได้เป็นอันขาด”
ตู้กู่จิงหงค่อย ๆ ผ่อนคลายสีหน้าตกตะลึงของตนเองลง
ปริศนาหลายข้อที่เขาสงสัย ในที่สุดก็ได้รับการไขกระจ่าง
“เบื้องหลังของเด็กหนุ่มผู้นี้ ข้าเกรงว่าเขาคงได้รับการหนุนหลังจากราชวงศ์เป่ยไห่” ตู้กู่จิงหงพูดออกมา “เท่าที่ข้าน้อยได้รับทราบ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเซียนกระบี่ขี้เมาเกาเฉิงฮั่นดูจะแน่นแฟ้นดีมาก นั่นยิ่งตอกย้ำเรื่องการเป็นคนของราชวงศ์มากเข้าไปอีกนะขอรับ”
เว่ยชงเฟิงพยักหน้าและกล่าวเสริมว่า “ท่านประมุขตู้กู่กล่าวได้ถูกต้อง ขันทีชราจางเชียนเชียนเป็นคนสนิทขององค์จักรพรรดิ ถึงกับรับหน้าที่นำหลินเป่ยเฉินไปขึ้นทะเบียนที่เจดีย์เซียนเหยียบเมฆด้วยตนเอง เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็ได้รับการอธิบายแล้ว”
ตู้กู่จิงหงพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าน้อยรับทราบมาว่าในนครหลวงบัดนี้มีคนพยายามปล่อยข่าวลือในแง่ร้ายเกี่ยวกับหลินเป่ยเฉิน ไม่ทราบว่าเรื่องนี้… เป็นฝีมือของท่านทูตเว่ยใช่หรือไม่?”
เว่ยชงเฟิงส่ายหน้าปฏิเสธ “นั่นเป็นฝีมือของผู้อื่น”
ตู้กู่จิงหงหัวใจกระตุกวูบ “หากพวกท่านคิดวางแผนสังหารเด็กผู้นี้ มันต้องเป็นแผนการที่สมบูรณ์แบบที่สุด หากเขาได้รับการคุ้มครองโดยองค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่ พวกเราจะสามารถทำได้อย่างไร?”
องค์ชายอวี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนกล่าว “เรื่องนี้ท่านประมุขตู้กู่ไม่ต้องเป็นห่วง มีผู้อื่นคอยรับหน้าที่นั้นอยู่แล้ว ไม่ว่าหลินเป่ยเฉินเก่งกาจมาจากไหน แต่เขาย่อมหนีไม่รอดเงื้อมมือของบุคคลผู้นี้แน่นอน”
ตู้กู่จิงหงสงสัยแต่ไม่ได้ถามอะไรออกมา
หลังจากนั้น ผู้เป็นเจ้าบ้านและผู้เป็นแขกต่างก็สนทนากันอย่างมีความสุข
ไม่นานต่อมา ตู้กู่จิงหงก็ลุกขึ้นขอตัวอำลา
องค์ชายอวี่เดินออกมาส่งด้วยตนเอง
เมื่อมาถึงประตูหน้า องค์หญิงอวี่เค่อซึ่งอุ้มตุ๊กตาอยู่ในอ้อมแขนนิ่งเงียบตลอดมา กลับส่งเสียงแทรกขึ้นเป็นครั้งแรกพร้อมส่งยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน “ท่านลุงตู้กู่ ตัวข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ ไม่มีเพื่อนในนครหลวงเลยสักคน บัดนี้ ข้าทั้งเหงาทั้งเบื่อหน่าย ได้ยินมาว่าท่านลุงมีบุตรสาวอยู่คนหนึ่ง หน้าตางดงามและเฉลียวฉลาด ไม่ทราบว่านางพอจะมาเป็นเพื่อนข้าและพาข้าเที่ยวชมนครหลวงได้หรือไม่?”