ตอนที่ 907 ขอแค่เกิดความโกลาหล
หลินเป่ยเฉินเองก็แฝงตัวอยู่ในฝูงชนด้วยเช่นกัน
เขายังคงสวมใส่หน้ากากครึ่งซีก
ยังคงแต่งกายด้วยชุดสีขาว
เด็กหนุ่มเดินไปพบกับพวกของเยวียนเหวินจวิ้น หลี่ซิวเยวียนและคนอื่นๆ แล้ว แต่เขาไม่อยากตกเป็นจุดสนใจ จึงเลือกที่จะเดินไปปะปนกับผู้ร่วมขบวนธรรมดา
ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินลังเลว่าตนเองควรสวมใส่หน้ากากดีหรือไม่ มันจะดูแปลกประหลาดเกินไปหรือเปล่า แต่ผลกลับปรากฏว่า ผู้ร่วมขบวนประท้วงในครั้งนี้แต่งกายแปลกประหลาดพิสดารมากกว่าเขาหลายเท่า
บางคนสวมใส่หน้ากาก
บางคนนำสีมาทาตามเนื้อตัว
บางคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด…
การแต่งกายมีทุกรูปแบบ ไม่ต่างจากงานเทศกาลวันฮัลโลวีน
ดูเหมือนจะไม่ได้มีเพียงแต่หลินเป่ยเฉินคนเดียวเท่านั้นที่ไม่อยากเปิดเผยตัวตน
ในขบวนประท้วงขณะนี้ หลินเป่ยเฉินกลายเป็นคนปกติมากที่สุดแล้ว
เป็นเวลาหนึ่งก้านธูปก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
อากาศหนาวเย็นทำให้ร่างกายผู้คนสั่นสะท้าน
ลมหายใจกลายเป็นม่านหมอก
ณ จัตุรัสแห่งอิสรภาพ ผู้คนมารวมตัวกันหนาแน่น
ศิษย์สำนักศึกษาจากทั่วนครหลวงมารวมตัวกันมากกว่า 40,000 ชีวิต มีทุกระดับชั้นและทุกเพศทุกวัย และการเดินขบวนด้วยความรวดเร็วเช่นนี้ ก็บอกชัดว่ากลุ่มศิษย์ทั้งหลายเคยเข้าร่วมการประท้วงมาแล้วหลายครั้ง พวกเขาจึงคุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี
เสียงย่ำกลองดังขึ้นเป็นจังหวะ
ไม่ต่างจากเสียงกลองรบ
หลังจากนั้น บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
“ทุกท่าน… ได้โปรดฟังทางนี้”
เยวียนเหวินจวิ้นปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าทุกคน
เสียงของเขาดังหนักแน่นกังวานผ่านการลงค่ายอาคมที่เครื่องขยายเสียง ได้ยินไปถึงหูทุกๆ คนอย่างชัดเจน
สายตาของผู้ชุมนุมจำนวนมากจ้องมองมาที่เยวียนเหวินจวิ้นเป็นจุดเดียว
“เราเตรียมการเดินขบวนในครั้งนี้มานานแล้ว ทุกคนคงรู้จุดประสงค์ในการประท้วงของเราเป็นอย่างดี”
“นี่คือการรวมตัวกันของกลุ่มศิษย์สำนักศึกษากระบี่รุ่นเยาว์ ระดับสามัญและระดับสูงในเมืองเป่ยไห่ ภารกิจของเราในครั้งนี้ มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือการปกป้องประเทศชาติ”
“แม้ว่าพวกเราอาจจะไม่สามารถหยิบจับอาวุธไปเข่นฆ่าศัตรูได้เหมือนพวกนายทหาร แต่พวกเราก็สามารถใช้ฐานะศิษย์สำนักศึกษาสร้างคุณประโยชน์ให้แก่จักรวรรดิเป่ยไห่ได้เช่นกัน พวกเรา… จะปกป้องวีรบุรุษแห่งแผ่นดิน!”
“นี่คือเป้าหมายในการรวมตัวของเราประจำวันนี้”
“เพราะว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเราได้รับทราบข่าวมาจากทางเจ้าหน้าที่ของจักรวรรดิ และได้ค้นพบความลับบางประการที่สำคัญต่อการประท้วงของเราอย่างยิ่งยวด…”
“โชคดีที่พวกเราค้นพบความลับนี้ได้ทันเวลา มิฉะนั้น หากการเดินขบวนของเรายึดถือตามแผนเดิม มันก็จะกลายเป็นตราบาปของสำนักศึกษาทั้งสามระดับไปตลอดกาลและกลายเป็นมลทินที่ไม่มีผู้ใดสามารถลบล้างออกไปได้ชั่วชีวิต”
เสียงของเยวียนเหวินจวิ้นก้องกังวานไปทั่วบริเวณ
กลุ่มผู้ร่วมประท้วงส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความสงสัย
“ความลับอะไรกัน?”
“ฟังดูน่าจะเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่น้อย…”
“ข้าชักจะตื่นเต้นขึ้นมาแล้วสิ”
เหล่าศิษย์สำนักศึกษารอบๆ หลินเป่ยเฉินแสดงสีหน้าพิศวงออกมา
หลินเป่ยเฉินร่วมผสมโรงโดยการกล่าวว่า “ต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่นอน ฟังจากที่อาจารย์เยวียนพูดแล้ว นี่ต้องไม่ใช่เรื่องโกหก”
“ใช่แล้ว อาจารย์เยวียนพูดความจริงเสมอ”
เสียงกระซิบของกลุ่มศิษย์สำนักศึกษาดังตอบกลับมา
“ทุกคนโปรดมองไปที่หน้าจอเบื้องหน้าและรับฟังการอธิบายจากหลี่ซิวเยวียนเป็นคนต่อไป”
เยวียนเหวินจวิ้นพูดออกมาเสียงดัง
หลี่ซิวเยวียนปรากฏตัวขึ้นอย่างองอาจผ่าเผย เขาเป็นบุคคลมีชื่อเสียงในกลุ่มศิษย์สำนักศึกษาด้วยกันอยู่แล้ว เด็กหนุ่มเปิดการทำงานของหน้าจอขนาดใหญ่ยักษ์ และทันใดนั้น บนหน้าจอก็แสดงรูปภาพและตัวอักษรขึ้นมามากมาย
ตอนแรกทุกคนยังตั้งตัวไม่ถูก
ภายหลัง เสียงกระซิบจึงได้ดังขึ้นจากกลุ่มผู้ชุมนุม
ตามมาด้วยเสียงอุทานฮือฮาราวกับเสียงน้ำป่าไหลหลาก
ยิ่งดูสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอมากเท่าไหร่ หัวใจของผู้ร่วมชุมนุมก็ยิ่งตกตะลึงมากเท่านั้น หลายคนไม่สามารถรับกับความตกตะลึงที่เกิดขึ้นได้ มือเท้าจึงถึงกับสั่นเทาขึ้นมาแล้ว
เสียงฮือฮาด้วยความตกตะลึงยิ่งมายิ่งดังมากขึ้น
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงอุทานก็กลายเป็นการพูดคุย
ก่อนที่เสียงของการพูดคุยจะดังอื้ออึงจนหูอื้อตาลาย
…
จวนตระกูลหวง
งานเลี้ยงน้ำชากำลังดำเนินไป
นี่คือวันสำคัญในนครหลวง เหล่าบุคคลผู้ทรงอำนาจมาปรากฏตัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
โดยเฉพาะคนจากตระกูลเว่ยซึ่งหยิ่งผยองลำพองตนเสมอมา ก็ยังต้องมาเข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชาในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
ไม่กี่วันที่ผ่านมา จวนตระกูลหวงจัดงานเลี้ยงไม่ได้หยุดพัก
งานเลี้ยงเมื่อคืนนี้ แขกทุกคนได้กินดื่มเป็นอย่างดี
หลังงานเลี้ยงเลิก สมาชิกคนสำคัญของตระกูลเว่ยหลายคน ก็โอบกอดนักระบำสาวงาม รั้งอยู่ในจวนตระกูลหวงต่อไป
เนื่องจากเช้าวันนี้พวกเขาจะได้รับชมการแสดงครั้งพิเศษ
หวงซืออวี่สั่งให้ผู้คนจัดเตรียมอาหารเช้าตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่พ้นขอบฟ้า
บรรดาคนใหญ่คนโตเมื่อตื่นขึ้นมาเต็มตา ทุกคนก็มารวมตัวกันในห้องน้ำชา พูดคุยหัวเราะเฮฮา รอให้การเดินขบวนประท้วงเริ่มขึ้น
ด้านหนึ่งในห้องน้ำชาติดตั้งหน้าจอถ่ายทอดสดขนาดเต็มผนังไว้หนึ่งจอ
มันเป็นภาพที่ถูกถ่ายทอดสดมาจากสวนพฤกษาเทพเจ้า
บนหน้าจอกำลังแสดงภาพกลุ่มศิษย์จำนวนมากรวมตัวกันอย่างหนาแน่น
การชุมนุมในครั้งนี้มีผู้คนเข้าร่วมมากมาย
เหอเหอเหอ ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น
เมื่อดื่มน้ำชาอีกถ้วยเสร็จสิ้น การเดินขบวนก็เริ่มขึ้น
เว่ยหมิงเฟิงผู้มีใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาคมกริบ นั่งอยู่บนเก้าอี้หลักเช่นเคย
สองฝั่งซ้ายขวาของเขานั่งไว้ด้วยสาวงามที่นุ่งน้อยห่มน้อย ผิวขาวราวหิมะ
บุรุษหนุ่มผู้นี้ถือเป็นบุคคลสำคัญลำดับที่สี่ของตระกูลเว่ย มีตำแหน่งเป็นขุนนางชั้นสูง สถานะในตระกูลสูงส่ง พลังวรยุทธ์ไม่ต่ำต้อย แต่เทียบไม่ได้เลยกับมันสมองในการวางแผนโค่นล้มศัตรู จึงกล่าวได้ว่าเว่ยหมิงเฟิงคนนี้เป็นหัวหน้าตระกูลเว่ยประจำนครหลวงนั่นเอง
หวงซืออวี่ ชินอวี้หมิน หนี่ซานเหยียนและคนอื่นๆ ก็อยู่ในงานเลี้ยงน้ำชาเช้านี้เช่นกัน
บรรยากาศค่อนข้างผ่อนคลาย
ทุกคนอารมณ์ดี เฝ้ารอคอยให้ม่านการแสดงเปิดฉากขึ้น
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ทันใดนั้นมีเสียงเคาะประตู
สีหน้าของหวงซืออวี่แปรเปลี่ยนไปขณะรีบลุกเดินออกมาเปิดประตู
หวงจง หัวหน้าพ่อบ้านประจำตระกูลหวงประสานมือคำนับด้วยความร้อนรน “นายท่านขอรับ… เกิดเรื่องขึ้นแล้วขอรับ”
“ว่ามา”
หัวใจของหวงซืออวี่พลันเต้นระทึก
ก่อนหน้านี้ เขาได้สั่งเอาไว้แล้วว่าหากไม่มีสิ่งใดสำคัญ ห้ามรบกวนงานเลี้ยงน้ำชาเด็ดขาด หวงจงเป็นพ่อบ้านชราทำงานรับใช้หวงซืออวี่มาแล้วกว่า 20 ปี จึงรู้ดีว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ
หวงจงเอนตัวเข้ามากระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหู
“ว่าไงนะ?”
ใบหน้าอ้วนขาวของหวงซืออวี่แสดงออกถึงความตกใจสุดขีด “เรื่องนี้เชื่อถือได้มากเพียงใด?”
“เชื่อถือได้ที่สุดขอรับ” พ่อบ้านหวงจงตอบ “นายท่าน ข้าน้อยทราบว่านายท่านให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ดังนั้นข้าน้อยจึงรีบเข้ามารายงานโดยเร็วที่สุด นายท่านจะให้ข้าน้อยทำอย่างไรต่อไปดีขอรับ?”
สีหน้าของผู้เป็นเจ้านายแสดงความลำบากใจออกมาเล็กน้อย
“รอไปก่อน”
แล้วเขาก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำชา
ไม่นานต่อมา หวงจงก็ได้ยินเสียงสบถดังขึ้นจากด้านใน
ตามมาด้วยเสียงถ้วยน้ำชาแตกกระจาย
เมื่อประตูห้องน้ำชาเปิดออกอีกครั้ง หวงซืออวี่ก็เดินยิ้มออกมา
บนหน้าผากมีรอยบวมปูด เช่นเดียวกับรอยขีดข่วนที่เกิดขึ้นจากเศษถ้วยน้ำชา บริเวณคอเสื้อของหวงซืออวี่ยังมีคราบน้ำชาติดอยู่ด้วยซ้ำ แม้สีหน้าของเขาจะยิ้มแย้มเยือกเย็น แต่ก็เห็นได้ชัดถึงความโกรธแค้นที่เจือปนอยู่หลายส่วน
“ไปบอกพวกเราให้ลงมือได้”
หวงซืออวี่คำรามในลำคอ
“ให้ดำเนินการตามแผนเดิมเลยหรือขอรับ?”
หวงจงถามออกมาด้วยความตกใจ
“ถูกต้อง”
หวงซืออวี่พยักหน้าตอบว่า “อีกอย่างผู้ชุมนุมเป็นแค่พวกเด็กน้อย ฆ่าตายสักหน่อยคงไม่มีอะไรเสียหาย”
หวงจงหัวใจกระตุกวูบและโค้งตัวรับคำสั่งโดยทันที
รอจนกระทั่งเห็นร่างของพ่อบ้านชราเดินลับหายมุมทางเดินไปแล้ว และแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่โดยรอบนั่นเอง รอยยิ้มและความเยือกเย็นบนใบหน้าของหวงซืออวี่ก็สลายหายไปในพริบตา
เส้นเลือดบนขมับของเขาปูดโปน ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น
เขายกมือขึ้นลูบคลำบาดแผลบนหน้าผากที่เกิดขึ้นจากเศษถ้วยน้ำชา ในแววตาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความเกลียดชัง
แต่เมื่อหวงซืออวี่หันหน้ากลับไป แววตาเหล่านั้นก็หายวับไปทันที
เขาสามารถเดินยิ้มกลับเข้าไปในห้องน้ำชาได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อนั่งประจำที่เรียบร้อย หวงซืออวี่ก็กล่าวว่า “คุณชายเว่ยไม่ต้องเป็นกังวล แผนการของเราดำเนินตามที่คุณชายต้องการเรียบร้อยแล้ว… ในเมื่อเด็กกลุ่มนี้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ อยากก่อปัญหาสร้างความวุ่นวายให้แก่ผู้อื่น เพราะฉะนั้น เราจะทำให้พวกมันได้รับบทเรียน”
เว่ยหมิงเฟิงยิ้มมุมปาก คิ้วเข้มหนาของเขาขมวดมุ่น ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
บรรยากาศในห้องน้ำชาตึงเครียดขึ้นมาทันที
ชินอวี้หมินฝืนยิ้มขณะกล่าวว่า “เดิมทีการประท้วงในครั้งนี้สมควรเป็นแค่การเสียหน้าของพวกสำนักศึกษาทั้งสามระดับ แต่ในเมื่อพวกมันรนหาที่ตายด้วยตนเองถึงขนาดนี้… หากวันนี้จะเกิดการนองเลือดขึ้นบ้างก็จะเป็นอะไรไปเล่า”
เว่ยเฉิงหลงซึ่งเป็นหนึ่งในคนตระกูลเว่ยถึงกับลุกขึ้นประสานมือ พูดเสียงดังว่า “ข้าได้เลือกคนสนิทของตนเองไว้จำนวนหนึ่งแล้ว ตามเส้นทางการเดินขบวน พวกเขาเฝ้ารอซุ่มโจมตีอยู่เป็นระยะ ขอเพียงใต้เท้าเว่ยออกคำสั่ง ผู้ร่วมขบวนประท้วงในวันนี้ก็จะถูกสังหารทันที”
“ประเสริฐ กลุ่มศิษย์โง่เง่าเหล่านี้ คงคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่เสียเต็มประดา ให้พวกมันรู้เสียบ้างว่าใครเป็นใคร ฮ่าฮ่าฮ่า…”
หม่าเฉียนหลี่หนึ่งในกลุ่ม 66 องครักษ์พลันหัวเราะขึ้น “ขอแค่ใต้เท้าเว่ยสั่งการมาเท่านั้น เด็กพวกนี้ก็จะกลายเป็นซากศพทันที”
เกาเฟินเจี๋ยอีกหนึ่งสมาชิกจากกลุ่ม 66 องครักษ์ก็กล่าวเช่นกันว่า “ต่อให้ครั้งนี้จะมีข่าวหลุดออกไปว่าเป็นฝีมือของพวกเรา แต่คนของทางการอยู่ในกำมือเราทั้งนั้น ต่อให้พวกผู้ประท้วงรู้ความจริง แต่พวกมันจะทำอะไรได้? แผนการที่ใต้เท้าเว่ยวางเอาไว้ก่อนหน้านี้ช่างหมดจดสมบูรณ์แบบ ขอเพียงใต้เท้าออกคำสั่งมาเท่านั้น ศพแรกก็จะเกิดขึ้นทันทีขอรับ”
“พวกเรามาจบการเดินขบวนครั้งนี้กันเถอะขอรับ”
บรรดาขุนนางใหญ่อีกหลายคนส่งเสียงออกมาด้วยความกระตือรือร้น
หากไม่รีบแสดงความภักดีต่อเว่ยหมิงเฟิงออกมาในตอนนี้ แล้วยังจะต้องรอไปจนถึงตอนไหนอีก?
หนี่ซานเหนียนปรบมือส่งเสียงหัวเราะและพูดว่า “เห็นว่าตระกูลหลี่เป็นผู้ทรงอิทธิพลในสำนักศึกษามากไม่ใช่หรือ? ครั้งนี้เป็นบุตรชายของพวกเขานำผู้อื่นไปตาย มาดูกันเถอะว่าทุกคนยังจะเชิดชูตระกูลหลี่อีกต่อไปหรือไม่ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”
“ยิ่งไปกว่านั้น การสังหารหมู่ในครั้งนี้ เรายังสามารถป้ายความผิดไปให้หลินเป่ยเฉิน…”
ไป๋เถาหนึ่งในสมาชิกกลุ่ม 66 องครักษ์พูดขึ้นเป็นครั้งแรก
เว่ยหมิงเฟิงค่อยๆ วางถ้วยน้ำชาในมือลงบนโต๊ะ ก่อนจะหันมาถามกับหวงซืออวี่ว่า “ประมุขหวง ข้าขอถามท่านอีกครั้ง ในนครหลวงมียอดฝีมือระดับเซียนอยู่เพียงสองคนจริงหรือ?”
หวงซืออวี่ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “นอกจากคนที่ประจำการอยู่ในวังหลวงแล้ว อีกคนหนึ่งก็คือเกาเฉิงฮั่นที่เพิ่งกลับมาเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ อยู่ในเมืองไป๋หยุนหนึ่งคน และฝึกวิชาจนเสียสติที่เมืองเจี้ยนหยวนอีกหนึ่งคน และอีกสองคนก็ประจำการรบอยู่ที่เขตชายแดนเหนือยังไม่กลับมา… ใต้เท้าเว่ยได้โปรดมั่นใจ ข้อมูลเหล่านี้ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน”
“ประเสริฐ”
เว่ยหมิงเฟิงเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย “ข้าจะลองเชื่อท่านดูอีกสักครั้ง”
หวงซืออวี่ก้มหน้าลงต่ำ
บนหน้าจอถ่ายทอดสดขณะนี้ การเดินขบวนประท้วงเริ่มขึ้นแล้ว
ผู้คนหลั่งไหลดั่งสายน้ำ เดินขบวนออกจากจัตุรัสแห่งอิสรภาพ มุ่งหน้าไปตามท้องถนนที่วางกำหนดการเอาไว้
ใบหน้าของผู้ร่วมชุมนุมเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
พวกเขาโบกสะบัดผืนธง ไม่รับรู้เลยว่าความตายกำลังรอคอยตนเองอยู่ข้างหน้า
บรรยากาศในห้องน้ำชากลับมาผ่อนคลายลง
ใบหน้าของเว่ยหมิงเฟิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
นับเป็นรอยยิ้มที่ชวนมองยิ่ง
“พวกท่านคิดว่าคนที่สนับสนุนการประท้วงในครั้งนี้เป็นใครกัน? กลุ่มราชวงศ์ กลุ่มขุนนาง หรือว่ากลุ่มกองทัพ?”
“แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกแล้ว”
“เพราะเราสามารถทำลายพวกมันได้อย่างง่ายดาย”
“เหอเหอเหอ สิ่งที่ข้าต้องการไม่มีอะไรมาก ขอแค่มีการสังหารหมู่และเกิดความโกลาหลขึ้นในนครหลวงเท่านั้น… เท่านี้ทุกอย่างก็เรียบร้อย!”
“ในโลกนี้ หากคนเราตั้งใจทำอะไรสักอย่างจริงๆ ย่อมไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้”
เว่ยหมิงเฟิงพูดประโยคเหล่านี้ออกมาด้วยความสบายอารมณ์
การเดินขบวนเพิ่งเริ่มขึ้น
แต่สำหรับผู้ที่ควบคุมทุกอย่างอยู่ในกำมือ นี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับเว่ยหมิงเฟิงอีกแล้ว