ตอนที่ 911 สังเวียนเฟิงอวิ๋นหมายเลขหนึ่ง
เซียวปิงรายงานผลการต่อสู้อย่างมีความสุข
หลินเป่ยเฉินฟังจบกลับมีสีหน้าเคร่งเครียด
“ท่านพี่ไม่ต้องเป็นกังวล ไม่มีคนของตระกูลเว่ยรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว และผู้ที่ปล่อยข่าวงานเลี้ยงน้ำชาครั้งนี้ก็คือตระกูลจั่ว เมื่อเจ้าหน้าที่สืบสวนเรื่องนี้ ย่อมไม่มีทางสาวกลับมาถึงตัวพวกเราเด็ดขาด…”
เซียวปิงเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินเคร่งเครียดด้วยการลงมือที่รุนแรงมากเกินไปของเขา จึงรีบพยายามอธิบาย
“เจ้าคิดว่าสิ่งนี้เป็นปัญหาหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ท่านพี่ ข้าผิดไปแล้ว ครั้งหน้าข้าจะระมัดระวังให้มากกว่านี้”
เซียวปิงซึ่งเป็นจอมยุทธ์ผู้ห้าวหาญในโลกภายนอก กลับกลายเป็นเด็กน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “นั่นใช่สิ่งที่ข้าสนใจหรืออย่างไร? ฮะ? สิ่งที่ข้าสนใจก็คือทำไมเจ้าไม่ค้นตัวคนตายก่อน?”
“ว่าไงนะขอรับ?”
เซียวปิงสะดุ้งโหยง
หลินเป่ยเฉินกล่าวว่า “คนที่เจ้าฆ่าแต่ละคนมีสถานะไม่ต่ำต้อย พวกเขาต้องพกของมีค่าติดตัวบ้างไม่มากก็น้อย แต่นี่เจ้าดีแต่ฆ่าคน เหตุไฉนไม่ค้นทรัพย์สินมาจากซากศพของพวกเขา?”
ความพิศวงมึนงงปรากฏขึ้นบนสีหน้าของเซียวปิง
ให้ตายสิ
ท่านพี่มีความทุกข์ใจก็เพราะเรื่องนี้เองหรือ?
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยขออภัย ท่านพี่”
เด็กหนุ่มร่างอ้วนรีบก้มหน้าพูดด้วยความจริงใจ
เขายังเลวทรามต่ำช้าไม่มากพอ
ยังจำเป็นต้องเรียนรู้จากหลินเป่ยเฉินอีกเยอะ
ในระหว่างที่พูดคุยกันมาถึงตรงนี้ องค์ชายเจ็ดผู้คอเอียงก็มาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
ทันทีที่พบหน้าหลินเป่ยเฉิน องค์ชายหนุ่มก็พูดด้วยความตื่นเต้น “สมาชิกคนสำคัญของตระกูลเว่ยถูกสังหารหมู่ในจวนตระกูลหวง แม้แต่เด็กรับใช้สักคนก็ไม่มีเหลือรอด…”
เห็นได้ชัดว่าองค์ชายเจ็ดไม่สามารถปิดบังความตื่นเต้นได้อีกแล้ว
แต่พูดมาได้ครึ่งทาง เขาก็พบว่าสีหน้าของหลินเป่ยเฉินกับเซียวปิงดูเรียบเฉยผิดปกติ มิหนำซ้ำ เด็กหนุ่มทั้งสองยังมองมาที่ตนเองด้วยแววตาเบื่อหน่าย
“หืม? ทำไมพวกเจ้าถึงทำหน้าเช่นนั้น?”
องค์ชายเจ็ดหยุดชะงักเล็กน้อย “น้องหลิน เจ้าก็อยากให้พวกตระกูลเว่ยตายอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ครั้งนี้… ช้าก่อน หรือว่านี่จะเป็นฝีมือของพวกเจ้า?”
ทันใดนั้น องค์ชายคอเอียงก็พูดประโยคหลังด้วยความตื่นตกใจ
“ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะด้วยความชอบใจ “ใครก็ตามที่อยากเป็นศัตรูกับข้า พวกมันจะต้องตายกันให้หมด”
“นับว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริง ๆ”
องค์ชายเจ็ดพยายามข่มกลั้นความตกตะลึงและกล่าวต่อ “หากบิดาของเจ้ารู้เรื่องนี้ เขาคงต้องปวดหัวเป็นแน่แท้”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินถามกลับมาด้วยความไม่พอใจ
“ก่อนหน้านี้บิดาของเจ้าขัดคำสั่งองค์จักรพรรดิ ยกกำลังพลไปต่อสู้โดยไม่ได้รับอนุญาต จึงมีโทษถือเป็นกบฏแผ่นดิน”
องค์ชายเจ็ดตอบกลับมาด้วยความเหนื่อยใจ
หลินเป่ยเฉินตีหน้าขรึมและถามว่า “ท่านเลิกพูดจาไร้สาระ บัดนี้ข้าอยากถามท่านสักคำ ไม่ทราบว่าท่านได้ข่าวคราวพวกของอาจารย์ฉู่บ้างแล้วหรือยัง? ข้าคิดถึงพวกเขาจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่ท่านมัวแต่มาพูดจาไร้สาระอยู่เช่นนี้ เหตุไฉนถึงไม่บอกข่าวที่เป็นประโยชน์กับข้าบ้าง?”
สีหน้าขององค์ชายเจ็ดเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
“บัดนี้ยังไม่มีข่าว”
เขาเอียงคอกะพริบตาปริบ ๆ “เรื่องนี้ยิ่งสืบสวนยิ่งแปลกประหลาด ข้าเองก็กำลังรอฟังข่าวจากนครเจาฮุย…”
จังหวะที่หลินเป่ยเฉินกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง สมาชิกของหน่วยผู้พิทักษ์สีเงินก็เดินเข้ามารายงานว่า ขันทีชราจางเชียนเชียนมาขอเข้าพบหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง
แน่นอนว่าขันทีชราจางเชียนเชียนย่อมนำข่าวเดียวกับองค์ชายเจ็ดมาบอกเขา
“หืม? คุณชายหลินรู้เรื่องจวนตระกูลหวงแล้วหรือ?”
ขันทีชราจางเชียนเชียนหันมาชำเลืองมององค์ชายเจ็ด แววตาเป็นประกายคล้ายเข้าใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะหันไปกล่าวต่อหลินเป่ยเฉินอีกครั้งว่า “ฮ่าๆๆ ข้ามีข่าวอีกหนึ่งเรื่องมาบอกท่าน วันพรุ่งนี้จะถึงกำหนดการประลองระหว่างผู้มีพลังระดับเซียน จั่วเซียงก็จะไปร่วมรับชมการต่อสู้เช่นกัน เกรงว่าเรื่องนี้คุณชายคงยังไม่รู้กระมัง?”
“เอ๋?”
หลินเป่ยเฉินหรี่ตาลงด้วยความสงสัย
เขาเคยได้ยินชื่อจั่วเซียงคนนี้มานานแล้ว
ตอนที่ยังอยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง เด็กหนุ่มรู้ดีว่าตระกูลจั่วมีอำนาจขนาดไหน
แต่ครั้งนี้ นอกจากจั่วเซียงจะช่วยปล่อยข่าวเกี่ยวกับงานเลี้ยงน้ำชาในจวนตระกูลหวงแล้ว เขายังส่งคนมาคอยขจัดขัดขวางผู้ที่เตรียมก่อกวนการเดินขบวนประท้วงอีกด้วย และนั่นหมายความว่าจั่วเซียงมีเจตนาช่วยเหลือหลินเป่ยเฉิน
หรือนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพ?
แต่หลินเป่ยเฉินทราบดีว่าจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ที่ออกหากินในสนามการเมืองแห่งนครหลวงมาหลายสิบปี ย่อมไม่ได้มีเจตนาบริสุทธิ์เวลาช่วยเหลือผู้คน
เขาจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด
แต่หากจั่วเซียงไปรับชมการประลองในครั้งนี้ นั่นก็หมายความว่าชายชราคงอยู่ข้างเดียวกับเกาเฉิงฮั่นใช่หรือไม่?
และนั่นก็น่าจะถือเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ?
หลินเป่ยเฉินใช้เวลาขบคิดอยู่เล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจลืมเรื่องนี้ไปก่อนชั่วคราว
หลังจากนั้นเขาลองสอบถามเรื่องของอาจารย์ฉู่เหิน แต่ขันทีชราจางเชียนเชียนก็ยังไม่มีความคืบหน้าเช่นกัน
คุณชายหลินแสดงสีหน้าผิดหวังและเอ่ยปากไล่ขันทีชราจางเชียนเชียนกับองค์ชายเจ็ดออกไปจากจวนซางจั้วหยวนอย่างไม่สนใจรักษามารยาทแม้แต่น้อย
เมื่อกลับเข้ามาอยู่ในห้องนอน เด็กหนุ่มก็เริ่มการทำงานของแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือและฝึกวิชาของตนเองต่อไป
ธิดาอู๋ไห่จือตี้ในแอปเจิ้นอ้ายหว่างไม่เคยกลับมาออนไลน์อีกเลย
และนั่นก็ทำให้หลินเป่ยเฉินสงสัยอยู่ในใจครามครันว่า หรือธิดาอู๋ไห่จือตี้จะทิ้งเขาไปเสียแล้ว?
จะว่าไปนางก็มีประโยชน์กับเขามากทีเดียว ที่เสี่ยวซาน เสี่ยวเอ้อร์ และเจ้าลูกเสือมีพลังมากมายขนาดนี้ ก็เพราะพวกมันได้รับประทานอาหารทะเลวิเศษซึ่งเป็นของขวัญจากนาง แล้วไหนจะเครื่องรางเทพเจ้าที่ธิดาอู๋ไห่จือตี้มอบให้เขาอีกล่ะ หลังจากนี้ หากไม่สามารถหลอกนำสิ่งของเหล่านั้นมาจากนางได้อีก ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอยู่ไม่น้อย
ส่วนในแอปวีแชท เทพีกระบี่หิมะไร้นามก็เงียบหายไปเช่นกัน
‘น้องชาย เร็ว ๆ นี้ข้ามีเรื่องใหญ่ให้ไปจัดการ คงมาเสียเวลากับเจ้าไม่ได้อีก หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายจริง ๆ ไม่ต้องติดต่อข้าล่ะ’
นั่นคือข้อความสุดท้ายของนาง
หลินเป่ยเฉินหยุดคิดเล็กน้อย ก็ตัดสินใจยังไม่ตอบข้อความ
หลังจากนั้น เขาเปิดเข้าไปดูในแอป Taobao และแอปจิงตง มอลล์ ก่อนที่จะลังเลใจอยู่นาน และสุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็ต้องกดปิดแอปกลับออกมา
ช่วงนี้อย่าเข้าไปดูสองแอปนี้จะดีกว่า
เพราะค่าเงินในสองแอปนี้คิดค่าใช้จ่ายเป็นศิลาบูชา
เขาเก็บศิลาบูชาพวกนั้นเอาไว้ชาร์จแบตโทรศัพท์ดีกว่า
หลินเป่ยเฉินพยายามเก็บกดความปรารถนาที่จะซื้อของออนไลน์กลับลงไป
ทางด้านแอป QQ เขาได้รับข้อความส่วนตัวว่า
‘น้องชาย รูปประจำตัวของเจ้าดูเลิศล้ำมาก ไม่ทราบเจ้าเปลี่ยนรูปได้อย่างไร?’
‘หากเจ้าบอกข้า ข้าจะตั้งให้เจ้าเป็นผู้ดูแลกลุ่มนี้’
‘ข้าเองก็อยากเปลี่ยนรูปประจำตัวเช่นกัน…’
‘น้องชาย?’
เหล่านี้คือข้อความส่วนตัวจากกระบี่มังกรเบิกฟ้า
เพิ่งส่งมาไม่กี่วันก่อนนี้เอง
คราวนี้ท่าทีเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคน
หลินเป่ยเฉินใช้เวลาคิดไม่นาน ก็ตอบกลับไปสองคำว่า…
‘ฮ่าฮ่า’
หลังจากนั้น เขาตรวจสอบสมาชิกในกลุ่มอีกครั้งและพบว่ายังไม่มีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามา
เรียบร้อยดีแล้วจึงได้กดออกมาจากแอป QQ
เหตุผลที่เขาไม่สนใจข้อความของกระบี่มังกรเบิกฟ้านั้นเป็นเพราะว่า…
หลินเป่ยเฉินอยากรักษาภาพลักษณ์ ‘ตัวประหลาด’ ต่อไปนั่นเอง
ในเวลาเดียวกันนี้ หลินเป่ยเฉินพลันนึกขึ้นมาได้อีกเรื่องหนึ่ง
เขาใช้งานแอป QQ ผ่านโทรศัพท์มือถือของยมทูต แล้วพวกของกระบี่มังกรเบิกฟ้าใช้งานมันผ่านอะไรล่ะ?
พวกเขาก็มีโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อื่น ๆ อยู่ในมือใช่หรือไม่?
หรือว่าจะเป็นอุปกรณ์พิเศษที่ผ่านการเล่นแร่แปรธาตุมาแล้ว?
…
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เพียงพริบตาเดียว ก็เข้าสู่วันที่เจ็ด
เมื่อหลินเป่ยเฉินตื่นขึ้นมา มันเป็นเวลายามเที่ยง
และกว่าที่เขาจะล้างหน้าล้างตารับประทาน ‘อาหารเช้า’ เสร็จสิ้น มันก็เป็นเวลายามบ่าย
คุณชายหลินแต่งตัวอย่างปราณีต สวมใส่เสื้อผ้าสีขาวราคาแพง จัดแต่งทรงผมอย่างมีสไตล์ และนำสมาชิกหน่วยผู้พิทักษ์สีเงินมาเป็นองครักษ์สี่คน เช่ารถม้าให้ไปส่งที่สังเวียนเฟิงอวิ๋นหมายเลขหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางนครหลวง
วันนี้คือการต่อสู้กันระหว่างมือธนูจ้าวอินทรีอวี้ซือไป๋กับเซียนกระบี่ขี้เมาเกาเฉิงฮั่น
ผู้คนทั่วทั้งนครหลวงต่างให้ความสนใจที่การประลองในครั้งนี้
เพราะนี่ไม่ใช่การต่อสู้ธรรมดา แต่มันเป็นการดวลกันระหว่างผู้มีพลังระดับเซียน
ยิ่งไปกว่านั้น อวี้ซือไป๋ถึงกับมาท้าทายผู้มีพลังระดับเซียนของจักรวรรดิเป่ยไห่คนอื่น ทั้ง ๆ ที่ตนเองมีกำหนดการประลองเดิมพันชีวิตกับหลินเป่ยเฉินในอีกไม่กี่วันหลังจากนี้ เห็นได้ชัดว่านางไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย หากมือธนูหญิงแกร่งไม่มั่นใจว่าตนเองจะเป็นผู้ชนะ นางก็คงไม่ทำเช่นนี้เด็ดขาด
เวลาเปิดสังเวียนคือยามบ่าย
สังเวียนเฟิงอวิ๋นหมายเลขหนึ่ง จัดเป็นสังเวียนประลองยุทธ์แห่งเดียวในจักรวรรดิเป่ยไห่ ที่มีความแข็งแรงมากพอจะรองรับการต่อสู้ของผู้มีพลังระดับเซียน
สังเวียนแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางนครหลวง
เมื่อพูดถึงชื่อสังเวียนเฟิงอวิ๋น สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วจักรวรรดิเป่ยไห่ ที่นี่มีสถานะไม่ต่างจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ผ่านการประลองจากสังเวียนแห่งนี้ พวกเขาก็จะกลายเป็นอัจฉริยะยอดฝีมือชื่อดังแห่งยุทธภพทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ที่นี่จึงไม่ใช่สังเวียนประลองธรรมดา
สังเวียนเฟิงอวิ๋นมีอาณาเขตกว้างใหญ่กว่าสองลี้ มีความสูงเท่ากับตึกห้าชั้น โครงสร้างทำมาจากทองคำและแร่หินพิเศษ ผ่านการลงค่ายอาคมเป็นอย่างดี จึงสามารถรองรับการระเบิดพลังของผู้ที่อยู่ในขั้นเซียนได้อย่างไม่มีปัญหา
สำหรับอัฒจันทร์ของสังเวียนเฟิงอวิ๋นสามารถรองรับคนดูได้ถึง 500,000 คน
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าสู่ห้องรับรองของกลุ่มขุนนางระดับสูง ซึ่งยกสูงขึ้นมาจากอัฒจันทร์ปกติเล็กน้อย
เขากวาดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างของห้องรับรอง
และพบว่าอัฒจันทร์รอบ ๆ สังเวียนมีผู้คนจับจองพื้นที่เกือบเต็มแล้ว