บทที่ 93 วิชามังกรคำรณ
เฉาพั่วเถียน?
ชื่อนี้มัน…
หลินเป่ยเฉินแอบสงสัยอยู่ว่าอีกฝ่ายมีความสัมพันธ์อะไรกับเฉาหรี่เถียนและหลงอาวเถียนหรือเปล่านะ
แต่อย่างไรก็ตาม การทรยศต่อครูบาอาจารย์ของตนเองนับเป็นพฤติกรรมที่ให้อภัยไม่ได้ เด็กหนุ่มผู้นี้ทรยศต่ออาจารย์ติง และถวายตัวเป็นลูกศิษย์ของมือกระบี่ชื่อดังจากเมืองไป๋หยุน กล่าวได้ว่าเป็นบุคคลที่มีจิตใจโสมมนัก
“อาจารย์ขอรับ ไม่ทราบว่าท่านพอจะพาข้าน้อยเข้าไปเปิดหูเปิดตาในงานประลองได้ด้วยหรือไม่?” หลินเป่ยเฉินสอบถาม
เมื่อถึงคืนประลองกระบี่จริงๆ ไม่แน่หลินเป่ยเฉินอาจพอช่วยเหลืออาจารย์ติงได้บ้างไม่มากก็น้อย
ฉู่เหินส่ายหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายว่า “เกรงว่าข้งคงพาเจ้าไปด้วยไม่ได้ การประลองกระบี่ครั้งนี้มีผู้ได้รับเชิญเพียง 36 คนเท่านั้น ในกลุ่มนี้ 12 คนเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ประจำเมือง อีก 12 คนเป็นยอดมือกระบี่ประจำเมือง และอีก 12 คนเป็นยอดอัจฉริยะรุ่นใหม่ประจำเมือง แต่ละคนจะได้รับเทียบเชิญเพียงใบเดียว ไม่สามารถพาใครเข้างานได้อีก ปีนี้ข้าเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าตนเองจะได้รับเชิญ”
เมื่อเป็นอย่างนั้น หลินเป่ยเฉินก็มีแต่ต้องเลิกล้มความคิดแล้ว
“ว่าแต่อาจารย์ติงกักตัวฝึกวิชาอยู่ที่ไหนหรือขอรับ? ข้าน้อยขอเข้าพบเขาหน่อยได้หรือไม่” หลินเป่ยเฉินลองถามออกมาอีกครั้ง
ฉู่เหินตอบว่า “อาจารย์ติงเวลาเก็บตัวฝึกวิชา ไม่เคยอนุญาตให้ผู้ใดเข้าพบมาก่อน ต่อให้เจ้าไปถึงที่นั่น เจ้าก็ไม่ได้พบเขาอยู่ดี ที่สำคัญถึงได้พบ เจ้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ อย่าไปทำให้อาจารย์ติงเสียสมาธิเลยดีกว่า”
หลังได้ยินคำตอบ หลินเป่ยเฉินก็อดรู้สึกเสียใจขึ้นมาไม่ได้
เด็กหนุ่มทราบดีว่าฉู่เหินพูดความจริงทุกประการ แต่ความรู้สึกที่ว่าตนเองติดหนี้บุญคุณอาจารย์ชราอยู่ ก็ทำให้เขาไม่สบายใจ
“จริงด้วยสิ สถาบันของเรากำลังจะจัดการฝึกสอนพิเศษให้พวกเจ้า สำหรับการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองรอบ 20 คนสุดท้าย การฝึกพิเศษจะเริ่มในอีก 10 วันต่อจากนี้ เราจะช่วยผลักดันพวกเจ้าให้มีพื้นฐานวรยุทธ์ที่จำเป็น อาวุธที่ควรมี การร่วมมือที่ควรทำ สถาบันแห่งนี้จะปรับปรุงพวกเจ้าให้ออกมาเป็นตัวเจ้าเองในแบบฉบับที่แข็งแกร่งที่สุด” ฉู่เหินกล่าว
ได้ยินดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็ดวงตาเป็นประกายแวววาวขึ้นมาทันที “ข้าน้อยอยากจะฝึกวิชาเกี่ยวกับพลังจิตอยู่พอดีเลยขอรับ”
“นี่เจ้าฝึกวิชาพลังจิตด้วยหรือ?” ฉู่เหินเบิกตาโต
นับว่าเป็นข่าวดีไม่น้อย
จอมยุทธ์ที่สามารถใช้พลังจิตได้ จะมีความได้เปรียบจอมยุทธ์ธรรมดาอยู่หลายขุมเวลาต้องต่อสู้กัน
หลินเป่ยเฉินอธิบายว่า “ตอนแข่งขันที่แดนป่าร้าง ข้าน้อยบังเอิญได้คัมภีร์ฝึกวิชาพลังจิตขั้นพื้นฐานมาจากหลิงเฉินขอรับ แต่ข้าน้อยยังไม่รู้ว่าจะนำพลังจิตมาใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง เพราะฉะนั้น ถ้าได้คัมภีร์เกี่ยวกับพลังจิตเพิ่มเติมสักหน่อย มันก็น่าจะดีไม่ใช่น้อย”
นี่ไม่ใช่เรื่องราวที่ควรปิดบัง
ฉู่เหินพลันยิ้มแย้มออกมาทันที
เขาพอจะได้ยินเรื่องราวระหว่างหลินเป่ยเฉินกับหลิงเฉิน ลูกศิษย์อัจฉริยะจากสถานศึกษากระบี่หลวงมาบ้างแล้ว
เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเด็กหนุ่มเด็กสาว ไม่ใช่เรื่องที่อาจารย์ควรเข้าไปก้าวก่าย
“คัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์หลายเล่มก็เกี่ยวข้องกับพลังจิตในตัวเองอยู่แล้ว เจ้าสามารถเข้าไปหาได้ในห้องสมุดประจำสถาบันของเรา อยากได้เล่มไหนก็เชิญเลือกมาได้ตามสบาย” ฉู่เหินหยิบแผ่นป้ายสีเงินเล็กๆ ออกมาจากด้านในอกเสื้อ แล้วกล่าวต่อ “ป้ายนี้เป็นบัตรผ่านสำหรับเข้าห้องสมุด เจ้าจงพาเยว่หงเซียงจากห้อง 8 ไปเลือกคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ด้วยก็แล้วกัน พวกเจ้าสามารถเลือกได้คนละ 3 เล่ม ยิ่งศึกษามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีกับตัวเจ้าเองเท่านั้น”
“ขอบคุณมากขอรับ อาจารย์ฉู่”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มด้วยความลิงโลด หลังจากขอบคุณฉู่เหินแล้ว เขาก็หมุนตัวเดินออกมา
“ลืมไปเลย เมื่อเลือกคัมภีร์เสร็จแล้ว อย่าลืมไปรายงานตัวที่ห้องวัดค่าพลังด้วย” ฉู่เหินส่งเสียงตะโกนไล่หลัง “วันนี้คณะอาจารย์จะจัดการวัดค่าพลังของเจ้าอย่างละเอียดอีกที เพื่อที่จะได้วางแผนการสอนถูกว่าควรจะสอนเจ้าอย่างไร”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปประสานมือคำนับขอบคุณอีกครั้ง หลังจากนั้นจึงเดินออกมาจากห้องทำงานของอาจารย์หัวหน้าชั้นปีฉู่อย่างรวดเร็ว
“เจ้าเด็กคนนี้…”
รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้าของฉู่เหิน
แต่เมื่อชายชราหันหน้ากลับมา สายตาก็ปะทะเข้ากับสัญลักษณ์ของราชวงศ์ที่ประดับอยู่บนกระบี่ข้างโต๊ะทำงานของตนเอง แล้วรอยยิ้มบนใบหน้า ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นความวิตกกังวล
…
ในบรรดาห้องเรียนของชั้นปี หลินเป่ยเฉินพลันปรากฏตัวที่ประตูห้อง 8 เขายื่นศีรษะมองเข้าไปในห้อง จึงได้เห็นเยว่หงเซียงกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางเด็กสาวกลุ่มใหญ่
เขายกมือทักทายนางด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “น้องเยว่”
หืม!
บรรยากาศในห้อง 8 พลันเกิดความแตกตื่นเหมือนมีคนจุดประทัดในทันใด
บัดนี้ ทุกคนรู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินเป็นใคร!
หลินเป่ยเฉินไม่ใช่เจ้าเศษขยะไร้ค่าไร้ความสามารถอีกแล้ว
แต่เขาเป็นถึงตัวแทนผู้ทำคะแนนสูงสุดของสถาบัน และอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เด็กหนุ่มโด่งดังก็คือ เขามีใบหน้าอันหล่อเหลาและรูปโฉมงดงามเป็นอย่างยิ่ง
ลูกศิษย์หญิงเกือบทั้งหมดในสถาบันต่างคลั่งไคล้หลินเป่ยเฉินยิ่งกว่าอะไรดี แม้แต่ลูกศิษย์ชายก็ยังยึดถือเขาเป็นวีรบุรุษประจำใจ
เมื่อหลินเป่ยเฉินมาปรากฏตัวที่ห้อง 8 เด็กสาวจำนวนมากก็จ้องมองเขาด้วยสายตาเคารพเทิดทูน บางคนถึงกับต้องยกมือขึ้นปิดปาก ห้ามไม่ให้ตนเองกรีดร้องออกมา ส่วนบรรดาเด็กหนุ่มก็จ้องมองเขาด้วยแววตาเป็นประกายวิบวับ
เยว่หงเซียงเดินออกไปต้อนรับ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่หลิน มาหาข้าหรือเจ้าคะ?”
หลินเป่ยเฉินบอกเรื่องการไปเลือกคัมภีร์ที่ห้องสมุดให้นางฟัง “พวกเราไปกันเลยดีกว่า”
เยว่หงเซียงผงกศีรษะ “ได้เลยเจ้าค่ะ”
แล้วเด็กหนุ่มเด็กสาวทั้งสองคนก็เดินเคียงข้างกันตรงไปยังห้องสมุด
“อ้าว สองคนนี้คบกันแล้วหรือนี่?”
“ศิษย์พี่หลินกำลังตามจีบน้องเยว่อยู่อย่างนั้นหรือ?”
ห้อง 8 พลันอึงอลด้วยเสียงซุบซิบนินทา
ผู้เป็นคนดังในสถานศึกษา ย่อมดึงดูดความสนใจได้เสมอ
…
ห้องสมุดตั้งอยู่ด้านหลังอาคารเรียนของชั้นปีที่ 3 จัดเป็นสถานที่สำคัญสุดประจำสถานศึกษาแห่งนี้ มีการสร้างค่ายอาคมเอาไว้รอบบริเวณ นอกจากนั้น ก็ยังมีคณะอาจารย์กว่า 20 ชีวิตคอยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเฝ้ารักษาการทั้งในที่ลับและที่แจ้ง จึงกล่าวได้ว่าที่นี่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนามากทีเดียว
เมื่อแสดงป้ายเงินที่ได้รับจากฉู่เหินให้ดู หลินเป่ยเฉินกับเยว่หงเซียงก็สามารถเดินเข้าสู่ห้องสมุดได้อย่างราบรื่น
บรรณารักษ์ไม่ใช่ชายชราหนวดขาวผมขาวอย่างที่เด็กหนุ่มคาดคิด แต่นางเป็นอาจารย์สาวฝึกหัดหน้าตาสะสวย นามว่าเซาหลี่
หลังตรวจสอบป้ายเงินโดยละเอียด เซาหลี่ก็ลุกขึ้น พาลูกศิษย์ทั้ง 2 คนไปยังชั้นหนังสือประจำพื้นที่ระดับหนึ่ง นางยิ้มแย้มก่อนพูดว่า “คัมภีร์ทุกเล่มในพื้นที่ส่วนนี้เหมาะสมต่อระดับพลังในปัจจุบันของพวกเจ้า สามารถยืมกลับไปได้คนละ 3 เล่ม จงเลือกได้ตามสบาย..พวกเจ้ามีเวลา 2 ก้านธูป”
“ขอบคุณขอรับ”
“ขอบคุณอาจารย์เจ้าค่ะ”
เมื่อประสานมือคำนับขอบคุณเรียบร้อย เด็กหนุ่มเด็กสาวทั้งสองก็เริ่มต้นเลือกคัมภีร์ฝึกวิชา
หลินเป่ยเฉินดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์
“ถ้าเอามือถือออกมาสแกนคัมภีร์พวกนี้ ก็หมายความว่าฉันไม่ต้องเรียนพวกมันเพิ่มเติมแล้วน่ะสิ?”
เด็กหนุ่มไม่ต่างจากกระต่ายป่าที่ได้หลุดเข้ามาอยู่ในสวนแครอท
แต่หลังจากเดินวนได้รอบหนึ่ง ความตื่นเต้นของเขาก็ลดน้อยลงไป
เนื่องจากหลินเป่ยเฉินพบว่า คัมภีร์ส่วนใหญ่ในพื้นที่นี้เป็นคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธระดับ 1 ดาวทั้งสิ้น จะมีคัมภีร์ระดับ 2 ดาวหลงมาบ้างก็เพียงประปรายเท่านั้น แต่ไม่มีคัมภีร์ไหนที่จะเทียบเคียงกับคัมภีร์ ‘กระบี่รักนิรันดร์’ และคัมภีร์ ‘ย่องหาโฉมสะคราญ’ ที่หลิงไท่ซวีมอบให้เขามาได้เลย ต่อให้เรียนรู้ไปก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อยู่ดี แถมจะเป็นการเปลืองพลังงานแบตเตอรี่โทรศัพท์เสียเปล่าๆ ด้วยซ้ำ
หลังคัดเลือกเป็นอย่างดีแล้ว หลินเป่ยเฉินก็จัดการสแกนคัมภีร์ระดับ 2 ดาวมา 10 เล่ม
จากนั้น เขาถึงได้เดินหาคัมภีร์ฝึกวรยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับพลังจิต และพบคัมภีร์เล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘วิชามังกรคำรณ’
เมื่อลองเปิดอ่านดูเล็กน้อย หลินเป่ยเฉินพบว่าคัมภีร์เล่มนี้ค่อนข้างน่าสนใจ มันจะช่วยเปลี่ยนพลังจิตกลายเป็นคลื่นเสียงโจมตีใส่สมองของคู่ต่อสู้ สามารถใช้ได้ทั้งการโจมตีและการป้องกัน นับว่ามีความครอบคลุมในการใช้งานมากกว่าคัมภีร์เล่มอื่นๆ
“คัมภีร์เล่มนี้แหละเหมาะกับเราแล้ว ถึงชื่อจะฟังดูลิเกไปหน่อยก็เถอะ…”
ท้ายที่สุด เขาก็เลือกยืมคัมภีร์ ‘วิชามังกรคำรณ’
เวลาชั่ว 2 ก้านธูปผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินกับเยว่หงเซียงเลือกคัมภีร์เสร็จแล้ว
“ข้าน้อยเลือกมาได้ 3 เล่มเจ้าค่ะ ประกอบไปด้วยคัมภีร์กระบี่ดอกไม้บานเจ็ดพิฆาต คัมภีร์กระบี่นกนางแอ่นสามประหาร และคัมภีร์การหมุนเวียนพลังลมปราณเจ้าค่ะ” เยว่หงเซียงแจ้งชื่อคัมภีร์ที่ตนเองเลือกกับบรรณารักษ์สาว
“เจ้าเลือกได้ดีมาก” เซาหลี่พยักหน้า ลงนามในบันทึก แล้วกล่าวต่อ “ปีนี้ถือว่าเป็นโอกาสพิเศษ เจ้ามีเวลายืมคัมภีร์เหล่านี้ได้ 3 เดือนเต็ม”
“ข้าน้อยเลือกเล่มนี้ขอรับ”
หลินเป่ยเฉินส่งคัมภีร์วิชามังกรคำรณให้บรรณารักษ์สาว
เซาหลี่ถามด้วยความสงสัย “เอ๋? เจ้าเลือกคัมภีร์เกี่ยวกับพลังจิตแค่เล่มเดียวเองหรือ?”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “แค่เล่มเดียวขอรับ”
ด้วยเหตุนี้ เซาหลี่จึงลงบันทึกไม่ถามอะไรอีก แต่หลังจากนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย นางก็กล่าวเสริมว่า “หากเจ้าคิดออกว่าอยากยืมเล่มไหนเพิ่มเติม ค่อยกลับมาใหม่ก็แล้วกัน เจ้ายังสามารถเลือกได้อีก 2 เล่ม”
หลินเป่ยเฉินประสานมือคำนับขอบคุณ ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับเยว่หงเซียง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เซาหลี่มีสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก แต่เมื่อลูกศิษย์ทั้งสองเดินลับสายตาไปแล้ว นางก็ต้องยกมือขึ้นมาปิดบังใบหน้าและกระซิบกระซาบกับตนเองว่า “สมแล้วที่เป็นยอดอัจฉริยะผู้สร้างสถิติในการแข่งขันประจำเมือง ตัวจริงหลินเป่ยเฉินช่างหล่อเหลาอะไรขนาดนี้ เมื่อสักครู่ เราต้องอดใจแทบแย่ อยากกระโดดเข้าไปสวมกอดเขาแล้วลองหยิกแก้มดูเหลือเกิน…”