ตอนที่ 912 ความคับแค้นใจจากในอดีต
“คุณชายหลิน พวกเราได้พบกันอีกครั้งแล้วนะ”
เสียงทักทายดังขึ้น
หลินเป่ยเฉินหันหน้าไปมอง
เฮ้อ โลกกลมจริง ๆ
รอยยิ้มที่แสดงออกถึงไมตรีจิตปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฉียนเฟยเซวีย
“ช่างบังเอิญเหลือเกิน ไม่ทราบว่าท่านก็อยู่ในนครหลวงด้วย”
หลินเป่ยเฉินทักทายกลับไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มเช่นกัน
เฉียนเฟยเซวียใบหน้ากระตุกเล็กน้อย
ความรู้สึกที่คุ้นเคย รสชาติที่คุ้นเคย
เจ้าเด็กคนนี้ตั้งใจปั่นหัวเขาอีกแล้วสิ
หลินเป่ยเฉินทราบหรือไม่ว่าตนเองพูดอะไรออกมา?
มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเฉียนเฟยเซวียอยู่ในนครหลวง การพบกันครั้งนี้จะเป็นเรื่องบังเอิญไปได้อย่างไร?
“เมื่อวานนี้คุณชายหลินแสดงฝีมือได้แข็งแกร่งยิ่งนัก”
เฉียนเฟยเซวียปรับเปลี่ยนสีหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
นี่คือการหยั่งเชิง
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปอย่างสุภาพและยอมรับหน้าตาเฉยว่า “แหม สุนัขตระกูลเว่ยพวกนั้นจะถือเป็นอะไรได้ หากวันใดข้าอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ข้าเองก็สามารถฆ่าพวกท่านได้เช่นกัน”
เฉียนเฟยเซวียพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ป่วยการที่จะพูดคุยกับหลินเป่ยเฉิน
ยิ่งพูดก็ยิ่งมีแต่เจ็บใจเท่านั้น
เฉียนเฟยเซวียเข้าใจเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว
ดังนั้น สิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดก็คือการที่ตนเองตกเป็นศัตรูของหลินเป่ยเฉิน
“คุณชายหลินช่างแข็งแกร่งไร้เทียมทาน”
เฉียนเฟยเซวียยิ้มแย้มประจบเอาใจ “วันนี้มีคนใหญ่คนโตมากมายมารับชมการประลอง ข้าขอแนะนำให้ท่านมานั่งร่วมโต๊ะกับข้าดีกว่า…”
ในห้องรับรองแห่งนี้ไม่ใช่ห้องเดี่ยวที่มีความเป็นส่วนตัว
แต่มันเป็นห้องรับรองขนาดใหญ่ สามารถรองรับผู้คนได้ 50 คนในเวลาเดียวกัน หากการประลองเริ่มขึ้นพื้นที่แต่ละส่วนก็จะกั้นด้วยม่านพลังสีดำ เมื่อเข้าไปอยู่ในเขตม่านพลังนั้นแล้ว ก็จะไม่มีใครได้ยินเสียงการสนทนาจากภายในเขตม่านพลังอีก เช่นเดียวกับที่พวกเขาจะไม่ได้ยินเสียงรบกวนจากภายนอก จึงสามารถรับชมการประลองได้อย่างมีอรรถรส
ในห้องรับรองขณะนี้ นอกจากหลินเป่ยเฉินก็ยังมีขุนนางระดับสูงอีกหลายคน
“คนผู้นี้คือฟานอวี้หลิน เป็นนายทหารระดับสูงจากกรมกลาโหม…”
“คนผู้นี้คือใต้เท้าเจิ้นเต๋อจวิน…”
“ท่านผู้นี้คือเสนาบดีไต้อวี่เต๋อแห่งกรมมือปราบ”
เฉียนเฟยเซวียแนะนำขุนนางระดับสูงแต่ละคนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
สายตาของหลินเป่ยเฉินเลื่อนมาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของไต้อวี่เต๋อ เสนาบดีกรมมือปราบ หรือถ้าเทียบตำแหน่งทางการเมืองในโลกมนุษย์ใบเก่าของเขา ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็คือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตินั่นเอง
หลินเป่ยเฉินชักสีหน้า ยกมือขัดจังหวะเฉียนเฟยเซวียด้วยความหงุดหงิดใจ “ไม่เป็นไร สุนัขข้างถนนเหล่านี้ไม่ต้องแนะนำให้ข้ารู้จักทั้งหมดก็ได้ ข้าไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น พวกเขาไม่มีค่ามากพอให้ข้าจดจำหรอก”
เป็นอีกครั้งที่เฉียนเฟยเซวียพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ทำไมหลินเป่ยเฉินถึงเป็นคนเช่นนี้?
ต่อให้จะหลงตนเองสักแค่ไหน แต่ก็ไม่น่าพูดจาเช่นนี้ต่อหน้าขุนนางระดับสูงเหล่านี้เลย
“เด็กน้อย เจ้าพูดอะไรออกมา?” ไต้อวี่เต๋อลุกขึ้นยืน พูดเสียงดัง “แม้แต่บิดาของเจ้า เวลาพูดคุยกับข้าก็ยังไม่กล้าหยาบคายเช่นนี้ แล้วเจ้า…”
“น่า เงียบไปเถอะ”
หลินเป่ยเฉินโบกมือขัดจังหวะด้วยความเบื่อหน่าย “ไม่งั้นเดี๋ยวท่านจะตายไม่รู้ตัว”
ไต้อวี่เต๋อพลันเดือดดาลขึ้นมาจริง ๆ แล้ว
เขาเป็นถึงเสนาบดีแห่งกรมมือปราบ ถือเป็นหนึ่งในสิบขุนนางที่ใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิ ชะตาชีวิตของผู้คนนับหมื่นล้วนถูกกำหนดด้วยมือของเขา ขอแค่ออกคำสั่งเพียงคำเดียว ไต้อวี่เต๋อก็สามารถสั่นสะเทือนนครหลวงได้แล้ว มีหรือที่เขาจะเคยถูกข่มขู่ต่อหน้าต่อตาเช่นนี้?
นี่คือเรื่องที่ไต้อวี่เต๋อรับไม่ได้เด็ดขาด
ชายวัยกลางคนโกรธแค้นจนหนวดเคราสั่นเทา
แต่เมื่อหลินเป่ยเฉินมองมาที่เขา ไต้อวี่เต๋อกลับพบเห็นแววตาที่เย็นชาราวกับทะเลสาบน้ำแข็งหมื่นปี ….ผู้เป็นเสนาบดีแห่งกรมมือปราบพลันรู้แล้วว่าอีกฝ่ายสามารถลงมือฆ่าเขาได้จริง ๆ โดยไม่เกรงกลัวกฎหมายแม้แต่น้อย
เมื่อคิดถึงชะตากรรมของเว่ยหมิงเฟิง หวงซืออวี่ ชินอวี้หมิน และคนอื่น ๆ เหล่านั้นที่ต้องตายอย่างโหดร้ายทารุณ…
ไต้อวี่เต๋อก็กลับมามีสติอีกครั้ง
เจ้าลูกเต่าน้อยตัวนี้เป็นผู้มีพลังระดับเซียน
ถึงจะเป็นเซียนระดับเหรียญทองแดง
แต่ยามอาละวาดขึ้นมา เกรงว่าในห้องรับรองแห่งนี้ คงไม่มีใครรับมือได้อีกแล้ว…
ดังนั้น แม้จะโกรธแค้นสักเพียงใด
แต่ไต้อวี่เต๋อก็ต้องสงบจิตสงบใจให้เย็นลง
เขากัดฟันกรอดและทรุดนั่งที่เก้าอี้ของตนเองอย่างช้า ๆ
“ประเสริฐ”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มชมเชย
พลังลมปราณของไต้อวี่เต๋อแผ่ออกมาจากร่างโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง
เจ้าลูกเต่าตัวนี้คิดว่าเขาอารมณ์ดีนักหรือไร?
เมื่อสหายร่วมโต๊ะของไต้อวี่เต๋อเห็นว่าเสนาบดีแห่งกรมมือปราบทำเสมือนหลินเป่ยเฉินเป็นเพียงอากาศธาตุ พวกเขาก็นั่งลงบนที่นั่งของตนเองอีกครั้งเช่นกัน
การทะเลาะครั้งนี้ได้ไม่คุ้มเสีย
พวกเขาเป็นคนปกติธรรมดา จะให้ไปคาดเดาจิตใจของคนวิกลจริตเช่นหลินเป่ยเฉินได้อย่างไร?
เฉียนเฟยเซวียยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ขณะที่พาหลินเป่ยเฉินมายังโต๊ะกลางห้องรับรอง
โต๊ะตัวนี้มีแต่ผู้คนระดับสูงเท่านั้นถึงจะมานั่งได้
มันเป็นโต๊ะหินสีขาวที่ผ่านการขัดเกลาอย่างประณีต พื้นผิวของโต๊ะเป็นประกายแวววาว เพียงมองดูก็รู้ว่าต้องมีราคาแพงระยับแน่นอน
โต๊ะตัวนี้มีผู้คนนั่งอยู่แล้ว หนึ่งในนั้นเป็นชายชราในชุดเครื่องแบบขุนนางเต็มยศ ใบหน้าของเขาราบเรียบธรรมดา หัวคิ้วขมวดมุ่น หน้าผากยับย่นตลอดเวลา
ชายชรากำลังชงน้ำชาด้วยท่วงท่าที่สง่างามและคล่องแคล่ว
ด้านข้างเป็นบุรุษหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีเหลืองทองอร่าม บนศีรษะสวมใส่มงกุฎหงส์ตัวหนึ่ง
บุรุษหนุ่มคนนี้มีอายุประมาณ 30 ปี
ร่างกายสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลา แขนขาเรียวยาว ใต้คางมีหนวดเคราสีดำขึ้นเล็กน้อย ท่าทางมีสง่าราศี บอกชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดา
และที่เอวของเขาก็ยังคาดเข็มขัดประดับหงส์ทองตัวหนึ่ง ซึ่งหงส์ตัวนี้มีลักษณะเหมือนกับที่อยู่บนมงกุฎทุกประการ
ใบหน้าของบุรุษหนุ่มผู้นี้มีความคล้ายคลึงกับองค์ชายเจ็ดผู้คอเอียงอยู่หลายส่วน
“ถวายบังคมองค์ชาย คารวะใต้เท้าจั่วเซียง เด็กหนุ่มผู้นี้คือหลินเป่ยเฉินขอรับ”
เฉียนเฟยเซวียประสานมือคำนับด้วยความเคารพ ก่อนทำหน้าที่แนะนำตัวให้แก่เด็กหนุ่ม
องค์ชาย?
จั่วเซียง?
นับว่าเป็นโต๊ะที่มีแต่คนใหญ่คนโตนั่งจริง ๆ ด้วย
หลินเป่ยเฉินรู้แล้ว
ก่อนหน้านี้ เฉียนเฟยเซวียยังเรียกเขาคุณชายหลินอย่างนั้นคุณชายหลินอย่างนี้ แต่มาบัดนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์ชาย คำเรียกหาก็กลายเป็น ‘หลินเป่ยเฉิน’ เฉย ๆ ไปเสียแล้ว
“ฮ่าๆๆ เจ้าเองสินะที่เป็นผู้มีพลังระดับเซียนที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิเรา หลินเป่ยเฉิน ชื่อเสียงของเจ้าโด่งดังระบือไกล ข้าได้ยินชื่อของเจ้ามานานแล้ว”
องค์ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างเป็นมิตร
เขาส่งยิ้มให้แก่หลินเป่ยเฉินด้วยความกระตือรือร้น
“ถวายบังคมองค์ชาย”
หลินเป่ยเฉินก้มศีรษะทำความเคารพองค์ชาย “จริงด้วยสิ กระหม่อมมีเรื่องอยากสอบถามองค์ชาย สหายของกระหม่อมจำนวนหนึ่งหายตัวไปจากนครหลวงอย่างเป็นปริศนา ไม่ทราบว่าองค์ชายพอจะรับทราบที่อยู่ของพวกเขาบ้างหรือไม่?”
เมื่อสบโอกาสอันดีงามเช่นนี้ หลินเป่ยเฉินก็รีบถามออกมาทันที
เฉียนเฟยเซวียผู้ยืนอยู่ด้านข้างถึงกับพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ช่างตรงไปตรงมาเหลือเกิน
แต่องค์ชายใหญ่กลับไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจแต่อย่างใด เขายังคงยิ้มแย้มไม่เปลี่ยนแปลงและตอบว่า “เจ้าคงหมายถึงพวกของอาจารย์ฉู่เหินกระมัง? ข้าเองก็ได้รับทราบข่าวนี้แล้วเช่นกัน และข้าก็ส่งคนออกไปตามหาพวกเขาให้แล้ว หากได้ข่าวคราวใด ข้าจะรีบให้คนไปบอกกับเจ้าโดยทันที”
“ขอบคุณองค์ชาย”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าและถอนหายใจ “เฮ้อ เพราะเรื่องนี้ทีเดียวที่ทำให้กระหม่อมกินไม่ได้นอนไม่หลับ หากกระหม่อมรู้เมื่อไหร่ว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ กระหม่อมจะต้องใช้กระบี่สับมันให้แหลกละเอียดเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น แม้แต่กระดูกก็ต้องนำมาทุบจนกลายเป็นเศษขี้เถ้า กระหม่อมจะฆ่าล้างตระกูลของพวกมันให้หมด ถึงจะสาสมกับความแค้นใจ”
ดวงตาขององค์ชายใหญ่เป็นประกายแปลกประหลาดเล็กน้อย
“ท่านอายุยังไม่มาก อารมณ์รุนแรงเกินไปจะไม่ดีต่อสุขภาพ”
ขุนนางใหญ่จั่วเซียงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงยานคาง รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เคร่งเครียดนั้นเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นและเลื่อนถ้วยน้ำชาตรงหน้ามาทางขวามือของโต๊ะหินขาว แล้วกล่าว “คุณชายหลิน เชิญนั่งดื่มน้ำชาดับไฟโทสะสักครู่”
หลินเป่ยเฉินลังเลเล็กน้อยก็ตัดสินใจนั่งลงตามคำเชิญ
เขารับถ้วยน้ำชามาจิบไปอึกหนึ่ง
เมื่อนำชาไหลผ่านลำคอ ความรู้สึกแปลกประหลาดก็เกิดขึ้นในร่างกาย
“นี่มันอะไรกัน?”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงความสดชื่นที่แผ่ซ่านไปตามแขนขาและโครงกระดูก ความโกรธแค้นเดือดดาลที่เขามีอยู่เมื่อสักครู่นี้สลายหายไปสิ้นในพริบตาเดียว
แม้แต่สติสัมปชัญญะของเขาก็ยังดูแจ่มใสมากกว่าเดิมอีกด้วย
“ชาที่ประเสริฐ”
หลินเป่ยเฉินชื่นชมออกมาจากใจจริง
เขารีบปรับเปลี่ยนท่าทีของตนเองและหันไปส่งยิ้มให้จั่วเซียง “ใต้เท้าจั่ว ครั้งสุดท้ายคนของท่านที่ชื่อถังกู่จินเล่นงานข้าจนแทบปางตาย หากครั้งนี้ข้าไม่ได้รับการเยียวยาเป็นชาชนิดพิเศษของท่านสักหลายร้อยชุด เกรงว่าความคับแค้นใจในครั้งนี้คงไม่อาจหายได้ในเร็ววันแล้ว”