ตอนที่ 914 ดอกเดียว
ชายชราผมขาวเคราขาวผู้มีสถานะสูงส่งท่านนี้มีนามว่าเสี่ยวเหยียน ถือเป็นหนึ่งในประมุขตระกูลที่ใหญ่ที่สุดสิบอันดับแรกของจักรวรรดิเป่ยไห่
ตระกูลเสี่ยวเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลมากในกองทัพ
โดยเฉพาะชายชราท่านนี้ เขาคือขุนศึกคู่ใจของอดีตเทพสงครามอย่างหลิงไท่ซวี ในอดีตสร้างความดีความชอบเอาไว้มากมาย ยามเกษียณอายุราชการ ก็ยังมีผู้คนให้ความเคารพอยู่ทั่วนครหลวง
เสี่ยวเย่มีสถานะเป็นหลานชายของประมุขตระกูลเสี่ยว
“พี่เสี่ยว ท่านเป็นคนใหญ่คนโตไม่เห็นบอกกันบ้าง ปลอมตัวเสียแนบเนียนเชียวนะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินหยอกเย้า
ก่อนหน้านี้ เขาก็คิดเอาไว้แล้วว่าตัวตนที่แท้จริงของเสี่ยวเย่คงไม่ธรรมดา
แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะมีสถานะสูงส่งถึงเพียงนี้
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดเสี่ยวเย่จึงรู้ความเคลื่อนไหวในนครหลวงดีมาก ไม่ว่าหลินเป่ยเฉินอยากรู้เรื่องใด เขาก็ตอบได้หมด
“ตระกูลเสี่ยวมีกฎประจำตระกูลอยู่ว่าเมื่ออายุครบ 14 ปี ลูกหลานที่เกิดมาเป็นบุรุษจะต้องปลอมตัวเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพโดยไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริง มีแต่ต้องผ่านสมรภูมิรบให้ได้เท่านั้น ถึงจะได้รับการยอมรับในตระกูลอย่างแท้จริง และนี่ก็คือเหตุผลที่ข้าไม่เปิดเผยตัวตนกับเจ้า น้องหลิน ข้าต้องขอโทษด้วยจริง ๆ”
เสี่ยวเย่อธิบายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ครั้งนี้เขาเดินทางกลับมานครหลวง เดิมเพียงหวังจะใช้ชีวิตเรียบง่าย และตั้งใจจะไปเยี่ยมเยียนบิดามารดาสักเล็กน้อย เสี่ยวเย่ตั้งใจจะกลับเข้าสู่กองทหารเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่อไป คิดไม่ถึงเลยว่าผู้อาวุโสในตระกูลกลับยอมรับตัวตนของเขาแล้ว เสี่ยวเย่จึงไม่ต้องปิดบังตัวตนอีกต่อไป
และนั่นทำให้เขาสามารถมาปรากฏตัวในห้องรับรองแห่งนี้
“นี่คือน้องชายของข้าเสี่ยวเจิน และญาติของเรา เสี่ยวเทียน”
เสี่ยวเย่แนะนำเด็กหนุ่มอีกสองคนให้หลินเป่ยเฉินรู้จัก
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มทักทาย
เด็กหนุ่มทั้งสองคนนั้นมีบุคลิกของความเป็นนายทหารเปี่ยมล้น ต่างก็ประสานมือคำนับหลินเป่ยเฉินด้วยความกระตือรือร้นและจริงใจ
“น้องหลิน ข้าได้ยินข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับตัวเจ้า การเดินขบวนเมื่อวันก่อน ข้าก็ไปสังเกตการณ์ดูเช่นกัน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์กลับพลิกผัน เจ้ากลายเป็นขวัญใจของคนหมู่มากแล้ว”
เสี่ยวเย่บอกเล่าเรื่องราวนี้ด้วยสีหน้าตื่นเต้น
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากด้วยความพอใจ
นี่แหละสิ่งที่เขาต้องการ
“ทุกท่านเชิญนั่งก่อนดีกว่า”
จั่วเซียงยกมือเชื้อเชิญด้วยความอบอุ่น
ประมุขเสี่ยวไม่ปฏิเสธ เดินไปนั่งตามคำเชิญแต่โดยดี
องค์ชายใหญ่ก็มีท่าทีเปลี่ยนไปเช่นกัน เขาสอบถามสารทุกข์สุกดิบของเสี่ยวเหยียนตามมารยาท ก่อนจะลุกขึ้นยืนและขอตัวไปร่วมโต๊ะกับองค์ชายคนอื่น ๆ
ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็สมควรรักษาระยะห่างต่อกันเอาไว้บ้าง
โต๊ะหินหยกขาวของกลุ่มองค์ชายเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยหัวเราะเฮฮา
บรรยากาศคึกคักแจ่มใส
มีเพียงองค์ชายเจ็ดเท่านั้นที่หายตัวไป
ส่วนที่โต๊ะของหลินเป่ยเฉินนั้น เสี่ยวเย่เดินไปยืนประจำการอยู่ด้านหลังชายชราผู้เป็นหัวหน้าตะกูล
ไม่นานต่อมา เหล่าขุนนางคนใหญ่คนโตในนครหลวงต่างก็รีบมาปรากฏตัวที่โต๊ะของพวกเขาทีละคนสองคน
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็ตาม ทันทีที่ได้พบหน้าจั่วเซียงกับเสี่ยวเหยียน พวกเขาก็จะประสานมือทำความเคารพด้วยความนอบน้อม ก่อนจะล่าถอยกลับไปนั่งประจำโต๊ะของตนเองตามเดิม
ราวกับในห้องรับรองแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดมีศักดิ์ศรีมากพอจะนั่งร่วมโต๊ะกับชายชราทั้งสองท่านนี้ได้อีก
แต่แน่นอนว่าหลินเป่ยเฉินย่อมเป็นข้อยกเว้น
เขาไม่สนใจใครทั้งสิ้น ตลอดเวลาได้แต่ดื่มน้ำชาเซินจิงถ้วยแล้วถ้วยเล่า
ขณะนี้ บริเวณใจกลางสังเวียน การตรวจสอบความเรียบร้อยของทั้งสองฝ่ายได้เสร็จสิ้นลงแล้ว
เมื่อได้รับคำยืนยันว่าไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ศิลาบูชาก็ถูกนำไปวางไว้รอบสังเวียนเพื่อเปิดการใช้งานค่ายอาคมขนาดใหญ่
ครืน!
มวลอากาศถึงกับปั่นป่วนในพริบตา
แล้วม่านพลังสีส้มก็ปรากฏขึ้นในอากาศ มันมีลักษณะเหมือนชามข้าวขนาดใหญ่ยักษ์คว่ำลงมาครอบคลุมพื้นที่ทั่วสังเวียนประลอง
ยังคงเหลือเวลาอีกชั่วน้ำเดือดกว่าที่การประลองจะเริ่มขึ้น
อัฒจันทร์ด้านนอกเต็มไปด้วยผู้คน
ชาวเมืองมารับชมการประลองครั้งนี้อย่างหนาแน่น
ไม่ได้มีแค่ชาวเป่ยไห่เท่านั้น แต่ยังมีผู้คนของจักรวรรดิอื่นมาร่วมชมดูอีกด้วย
หลินเป่ยเฉินถึงกับพบว่าปีศาจงูทะเลทรายและมนุษย์วัวที่เขาเคยเห็นจากโรงเตี๊ยมบริเวณเขตสถานทูต ก็มาร่วมรับชมการประลองครั้งนี้เช่นกัน
“เอ๊ะ? ทำไมวันนี้เราถึงยังไม่เห็นองค์ชายเจ็ดอีกนะ?”
หลินเป่ยเฉินได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
หรือว่าองค์ชายเจ็ดไม่สนใจการประลองครั้งนี้?
หลินเป่ยเฉินพยายามมองหาอีกครั้ง แต่ในกลุ่มคุณชายที่กำลังรวมตัวกันอยู่นั้น เขาไม่เห็นองค์ชายเจ็ดเลยจริง ๆ หรือว่าองค์ชายเจ็ดกำลังไปสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับการหายตัวไปของพวกอาจารย์ฉู่เหิน?
ใช่แล้ว
ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ๆ
ตราบใดที่ยังหาตัวพวกของอาจารย์ฉู่เหินไม่เจอ องค์ชายเจ็ดก็คงไม่กล้ากลับมาสู้หน้าหลินเป่ยเฉิน
ทันใดนั้น เสียงโห่ร้องของคนดูดังกระหึ่มทั่วสังเวียนประลอง
ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนลุกขึ้นยืนปรบมือส่งเสียงให้กำลังใจ
มันเป็นเสียงตะโกนของผู้คนนับหมื่นนับแสน ดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะท้านดิน แม้ในห้องรับรองแห่งนี้จะมีการลงค่ายอาคมป้องกันเสียงจากภายนอก ทว่า ทุกคนก็ยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แสนเร่าร้อนได้อยู่ดี
บัดนี้ ร่างของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นบนสังเวียนเฟิงอวิ๋น
เขาใส่ชุดสีขาว
ย่อมต้องเป็นเซียนกระบี่ขี้เมา เกาเฉิงฮั่น
พลังลมปราณแผ่ออกมาจากร่างกายหนาแน่น
ในที่สุด หนึ่งในหกผู้มีพลังระดับเซียนของจักรวรรดิเป่ยไห่ก็ปรากฏตัวออกมาแล้ว
เสื้อผ้าของเขามีสีขาวราวหิมะ
สีหน้าเยือกเย็น สงบนิ่ง
เกาเฉิงฮั่นยืนอยู่ใจกลางเวที พลังลมปราณแผ่ออกจากร่างกายกระจายไปรอบทิศทาง
ในจำนวนคนดูกว่า 500,000 คนบนอัฒจันทร์นั้น กว่าเก้าสิบส่วนล้วนเป็นชาวเป่ยไห่
เมื่อเห็นวีรบุรุษในดวงใจปรากฏตัว พวกเขาก็ไม่สามารถปิดบังความตื่นเต้นได้อีกแล้ว สังเวียนประลองในขณะนี้จึงก้องกระหึ่มด้วยเสียงเรียกชื่อเกาเฉิงฮั่น
ผู้คนกระโดดโลดเต้น
เกิดเป็นคลื่นแรงสั่นสะเทือนไปทั่วอัฒจันทร์
เทพเจ้า!
นั่นคือคำที่เป็นตัวแทนของเกาเฉิงฮั่นในจิตใจของชาวเป่ยไห่
สำหรับพวกเขาแล้ว ผู้มีพลังระดับเซียนทุกคนก็คือเทพเจ้า
เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มอยู่พักใหญ่
ทันใดนั้น บนท้องฟ้าฝั่งตะวันตก ได้มีแสงสีเขียวมรกตเป็นประกายระยิบระยับ
อินทรีอสูรปีกมรกตปรากฏตัวขึ้นแล้ว
ร่างกายขนาดใหญ่โตมโหฬารของมันบินผ่านท้องฟ้า ส่งเงาดำทาบทับลงมาบนพื้นดิน ไม่ต่างจากมีก้อนเมฆขนาดใหญ่แผ่ปกคลุมท้องฟ้าเหนือสังเวียนประลอง
นี่คือความน่าเกรงขามของสัตว์อสูรระดับจักรพรรดิ
ชาวเป่ยไห่ที่ส่งเสียงร้องตะโกนคึกคักแจ่มใสอยู่ไม่กี่ลมหายใจ ก่อนพลันหัวใจกระตุกวูบไหวด้วยความหวาดกลัวนกยักษ์ตัวนี้
ความเงียบแผ่ปกคลุมบรรยากาศโดยรอบทันที
วูบ!
ลำแสงสายหนึ่งทิ้งตัวจากอินทรีอสูรปีกมรกตลงมาสู่สังเวียนเฟิงอวิ๋นด้านล่าง
มือธนูจ้าวอินทรีก็ปรากฏกายแล้วเช่นกัน
นางสวมใส่ชุดเกราะอ่อนสีแดง คลุมทับด้วยเสื้อคลุมสีขาว ในมือถือคันธนูยาว ร่างกายผอมเพรียว มีความสูงมากกว่าสตรีทั่วไป ถึงหน้าอกจะแบนราบ แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยแขนขาเรียวยาวอย่างสมส่วน
โดยเฉพาะช่วงขาที่เรียวยาวของนาง
นับเป็นเรียวขาที่ทำให้บุรุษหนุ่มจำนวนมากยอมศิโรราบแต่โดยดี
แม้หน้าตาของอวี้ซือไป๋จะไม่ได้ถูกจัดว่าเป็นหญิงงาม
แต่ก็นับว่ามีเสน่ห์
อย่างน้อยใบหน้าก็ขาวเนียนปราศจากราคี
แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดบนใบหน้าของเกาเฉิงฮั่นคงจะหนีไม่พ้นดวงตาที่เย็นชาปานน้ำแข็ง ยามจ้องมองผู้คนจะให้ความรู้สึกเสมือนถูกผลึกน้ำแข็งพันปีทิ่มแทงหัวใจและหนาวเหน็บตั้งแต่หัวจรดเท้า
นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินได้เห็นโฉมหน้าของอวี้ซือไป๋เต็ม ๆ ตา
เขาสามารถให้คำจำกัดความได้ว่า อวี้ซือไป๋มีความงามอย่างเป็นเอกลักษณ์ยิ่ง
“คิดไม่ถึงเลยนะว่าอวี้ซือไป๋ผู้นี้กลับเป็นถึงเจ้าของกิจการใหญ่โต”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมายาวแรง
จั่วเซียงกับเสี่ยวเหยียนหยุดชะงัก
หลินเป่ยเฉินรู้หรือว่าสตรีนางนี้ทำกิจการอะไร?
“ไม่ทราบว่าคุณชายหลินหมายถึงอะไรหรือ?”
เสี่ยวเหยียนยกมือลูบหนวดเคราถามด้วยความสงสัย
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองและตอบว่า “เพราะว่านางเป็นเจ้าของสนามบินน่ะสิขอรับ”
“เอ๋? สนามบินคืออะไรหรือ?”
เสี่ยวเหยียนยังคงถามต่อไป
ความจริง ดูเขาจะให้ความสนใจหลินเป่ยเฉินมากทีเดียว
หรือถ้าพูดให้ถูกต้องก็คือ ท่านประมุขตระกูลเสี่ยวให้ความสนใจผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองแดงคนใหม่คนนี้ต่างหาก
“เอ่อ… ดื่มชาดีกว่า ดื่มชาดีกว่า”
หลินเป่ยเฉินตอบตะกุกตะกัก
เมื่อสักครู่เผลอหลุดปากออกไปซะได้
เขาจะอธิบายได้อย่างไรล่ะว่าสนามบินคืออะไร
อีกอย่าง ผู้เฒ่าเสี่ยวเหยียนมีอำนาจบารมีสูงส่งถึงขนาดนี้ หลินเป่ยเฉินจะตอบออกไปได้อย่างไรว่าสนามบินที่เขาหมายถึงนั้น ก็คือหน้าอกหน้าใจที่แบนราบของอวี้ซือไป๋นั่นเอง!
ผ่างงงง…!
เสียงระฆังถูกตีดังกังวาน
ค่ายอาคมทั่วเวทีประลองถูกเปิดใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ม่านพลังสีส้มยิ่งเพิ่มความหนาแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ
บนสังเวียนในขณะนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยืนเผชิญหน้าเข้าหากัน
ความเงียบปกคลุมบรรยากาศ
หากมีเข็มสักเล่มหล่นกระทบพื้นก็จะต้องได้ยินแน่นอน
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็วางถ้วยน้ำชาในมือลงและเริ่มให้ความสนใจการประลองครั้งนี้อย่างจริงจังแล้ว
บนเวที
“เกาเฉิงฮั่น หากท่านรับลูกศรดอกนี้ของข้าได้สำเร็จ ขอเพียงดอกเดียวเท่านั้น ท่านจะถือเป็นผู้ชนะ”
อวี้ซือไป๋พูดเนิบนาบ
กิริยาท่าทางเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ