บทที่ 94 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ
สถานศึกษากระบี่ที่สาม มีห้องตรวจวัดค่าพลังอยู่ในระดับที่ 1 ซึ่งปกติมีไว้ตรวจค่าพลังสำหรับคณะอาจารย์ผู้ฝึกสอนเท่านั้น ผู้เป็นลูกศิษย์จะไม่ได้รับอนุญาตให้เดินเข้ามาในบริเวณนี้เด็ดขาด
หลินเป่ยเฉินกับเยว่หงเซียงมาถึงหน้าประตูห้องวัดค่าพลัง ก็พบว่ามีอาจารย์สาววัยยี่สิบกว่ายืนรออยู่ก่อนแล้ว
อาจารย์สาวผู้นี้มีหน้าตาธรรมดา แต่ผิวพรรณขาวเนียน ร่างกายอวบอัด นางยังเป็นโสด สายตากวาดมองหลินเป่ยเฉินหลายครั้งด้วยแววตาเป็นประกาย จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า “หลินเป่ยเฉิน อาจารย์ทั้ง 3 ท่านกำลังรอพบเจ้าอยู่ ตามข้ามา”
เยว่หงเซียงถูกมองข้ามเหมือนไม่มีตัวตน
แต่มันก็เป็นสิ่งที่นางชินชาเสียแล้ว
เดี๋ยวนี้ไม่ว่าเป็นใครต่างก็หลงเสน่ห์หลินเป่ยเฉินกันไปหมด
อย่างเช่น อาจารย์หญิงท่านนี้หรือบรรณารักษ์สาวก่อนหน้านั้น ยามจ้องมองเด็กหนุ่ม สายตาของพวกนางจะเป็นประกายวิบวาว ราวกับไม่เคยพบเจอบุรุษหน้าตาหล่อเหลามาก่อนในชีวิต ขนาดอาจารย์ยังลุ่มหลงในตัวหลินเป่ยเฉินขนาดนี้ จึงไม่ต้องกล่าวถึงเลยว่าในกลุ่มลูกศิษย์จะหลงไหลในตัวเขาขนาดไหน
ด้วยความที่ช่วงหลังเยว่หงเซียงกับหลินเป่ยเฉินติดต่อกันบ่อยขึ้น พวกเขาจึงสนิทสนมกันมากขึ้น
นางพูดคุยกับหลินเป่ยเฉินเหมือนเขาเป็นเพื่อนที่นางรักและเคารพมากคนหนึ่ง
แต่บางครั้งตอนที่ใจลอย เยว่หงเซียงก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เพราะอะไรก่อนหน้านี้ มู่ซินเยว่เจ้าของฉายาเทพธิดาแห่งปวงชน ถึงได้หักอกหลินเป่ยเฉินผู้หล่อเหลาและเก่งกาจได้ลงคอ
เยว่หงเซียงคิดว่าถ้าเป็นตัวนางเองคงต้องเสียใจแทบตายแล้ว
บรรยากาศภายในห้องวัดค่าพลังเต็มไปด้วยความเงียบสงบและเข้มขรึม
ทันทีที่ทั้งคู่เดินเข้าไป ก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนจำนวนนับสิบ
นอกจากฉู่เหิน ซึ่งเป็นอาจารย์หัวหน้าชั้นปีที่ 2 แล้ว ก็ยังมีพานเว่ยหมิน อาจารย์หัวหน้าชั้นปีที่ 3 และหลิวฉีไห่ อาจารย์หัวหน้าชั้นปีที่ 1 ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ในห้องนี้อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
อาจารย์ทั้งสามท่านเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในสถานศึกษากระบี่ที่สาม ขึ้นชื่อเรื่องความรักลูกศิษย์มาแต่ไหนแต่ไร จึงได้รับความเคารพจากคนในสถาบันเป็นอย่างสูง
ส่วนคนที่เหลือก็เป็นอาจารย์ประจำชั้นจากห้องต่างๆ ทุกคนต่างเป็นจอมยุทธ์ฝีมือแข็งแกร่งและมีชื่อเสียงโด่งดังในแวดวงการศึกษาของเมืองหยุนเมิ่งทั้งสิ้น
แล้วก็มีลูกศิษย์อยู่อีก 2 คน
คนหนึ่งนั้นคือฮันปู้ฟู่ ยอดอัจฉริยะจากชั้นเรียนปีที่ 3
อีกคนมีนามว่าไป๋ชินหยุน เป็นยอดอัจฉริยะจากชั้นเรียนปีที่ 1
หลินเป่ยเฉินกับเยว่หงเซียงเดินเข้าไปยืนรวมกลุ่ม จึงกลายเป็นลูกศิษย์อัจฉริยะทั้งสี่ประจำสถาบัน ซึ่งได้ผ่านเข้ารอบ 20 คนสุดท้ายของการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง
เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้ง 4 คนยืนเรียงแถวหน้ากระดาน
หลินเป่ยเฉินแอบกวาดสายตาสำรวจฮันปู้ฟู่กับไป๋ชินหยุนอยู่เล็กน้อย
ฝ่ายแรกมีรูปร่างผอมสูง ใบหน้ายาว ดวงตาเล็กแคบ ริมฝีปากบาง จมูกแหลมงองุ้ม คิ้วดำขมวดมุ่นเหมือนคนที่มีเรื่องวิตกกังวลตลอดเวลา
ฝ่ายหลังเป็นเด็กสาวสวมเสื้อคลุมมือกระบี่ ใบหน้ารูปไข่นวลเนียนขาวผ่อง และเนื่องจากยังไม่โตเต็มวัย จึงมีแก้มยุ้ยอยู่พอสมควร คิ้วดำและดวงตาเป็นประกายสดใส ผมยาวสลวยเป็นสีแดงเพลิง หลินเป่ยเฉินไม่ทราบเลยว่านี่เป็นสีผมตามธรรมชาติหรือนางย้อมสีมากันแน่ แต่โดยรวมก็จัดว่าสวยงามทีเดียว คะเนด้วยสายตาบุคลิกน่าจะเย็นชาไม่น้อย นางมักจะยืนรักษาระยะห่างจากทุกคนประมาณหนึ่งช่วงแขนเสมอ แต่ด้วยความที่มีหน้าตาสะสวยถึงเพียงนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนตกหลุมรักได้ไม่ยาก
จังหวะนั้น หนึ่งในคณะอาจารย์ผู้เป็นชายชราผมขาวหนวดขาวหน้าตาใจดี กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “วันนี้ อาจารย์ทั้ง 3 ท่านได้มารวมตัวกันเพื่อตรวจวัดค่าพลังของพวกเจ้าโดยเฉพาะ เพราะฉะนั้น ผลของการตรวจวัดค่าพลังในครั้งนี้จึงมีความแม่นยำเป็นอย่างยิ่ง และมันจะทำให้คณะอาจารย์ได้ทราบว่าต่อจากนี้ไป ควรวางแผนการสอนต่อพวกเจ้าแต่ละคนอย่างไรบ้าง”
หลังจากนั้น เขาก็อธิบายต่อโดยไม่หยุดพัก “พวกเจ้าได้รับโอกาสที่เด็กทุกคนใฝ่ฝันถึง จงทำให้ดีที่สุด ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย แค่แสดงความสามารถออกมาให้เต็มที่ ผลตรวจจะแบ่งแยกออกเป็น…”
แล้วอาจารย์ชราท่านนี้ก็เริ่มต้นอธิบายรายละเอียดว่า การวัดค่าพลังมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง หลินเป่ยเฉินและศิษย์ร่วมสถาบันทั้งสามคน จำเป็นต้องมีความเข้าใจให้ชัดแจ้งก่อนเริ่มต้นตรวจร่างกาย
เห็นได้ชัดว่าการตรวจวัดค่าพลังในครั้งนี้ เป็นการตรวจที่ละเอียดมากกว่าตอนสอบกลางภาคหลายเท่า
แค่ตรวจวัดค่าพลังลมปราณอย่างเดียวก็แบ่งแยกเป็นหลายส่วนแล้ว อย่างเช่น จะมีการตรวจความหนาแน่นของพลังลมปราณที่โคจรในร่างกายแต่ละครั้ง ตรวจวัดขีดสูงสุดของพลังลมปราณที่ร่างกายจะสามารถปล่อยออกมาได้ รวมถึงตรวจวัดระยะเวลาในการรวบรวมพลัง ว่าแต่ละครั้งต้องใช้เวลานานแค่ไหน
นอกจากตรวจวัดค่าพลังลมปราณแล้ว ก็ยังมีการตรวจวัดค่าพลังจิต ตรวจวัดทักษะกระบี่ ตรวจวัดความยืดหยุ่นของร่างกาย และอื่นๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน
รายละเอียดโดยรวมค่อนข้างเหมือนการตรวจร่างกายบนโลกมนุษย์
เมื่อฟังคำอธิบายจบแล้ว หลินเป่ยเฉินก็อยากจะเข้ารับการตรวจวัดค่าพลังเดี๋ยวนั้นเลย
เขาอยากรู้มาตลอดว่าปัจจุบันตนเองมีระดับพลังอยู่ในขั้นไหนกันแน่ และในขณะนี้ก็จะได้รู้คำตอบเสียที
ไม่ว่าผลการตรวจจะระบุว่าเขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสถาบันหรือไม่ แต่อย่างน้อย มันก็ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้ว่าตนเองควรปรับปรุงการฝึกวิชาอย่างไรต่อไปบ้าง
ฉู่เหินพูดขึ้นในที่สุดว่า “พวกเจ้าเป็นทั้งความภาคภูมิใจและเป็นความหวังของสถานศึกษากระบี่ที่สาม อนาคตในภายภาคหน้าของสถาบันพวกเราจะรุ่งเรืองหรือไม่ ต้องฝากความหวังไว้ที่พวกเจ้าทั้งสี่คนแล้ว”
อาจารย์หัวหน้าชั้นปีอีกทั้งสองท่านที่เหลือ ต่างก็พูดให้กำลังใจในทิศทางเดียวกัน
“ในเมื่อพวกเจ้าพร้อมแล้ว เรามาเริ่มการตรวจกันเลยดีกว่า ไป๋ชินหยุน เจ้าเป็นคนแรก…”
เสียงของอาจารย์ชราหน้าตาใจดียังไม่ทันจะจางหายไป พลันเกิดเสียงของใครอีกคนหนึ่งดังแทรกขึ้นมา
“ช้าก่อน”
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผมทองคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง
ด้านหลังเขา นอกจากอาจารย์ที่ทำหน้าที่อารักขาห้องวัดค่าพลังแล้ว ก็ยังมีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาประจำเมืองหยุนเมิ่งอีกสองคน
หนึ่งในนั้นคือบุรุษหน้าตาย หลี่ชิงสวน
หลี่ชิงสวนมีสีหน้าเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ไม่ดี แต่ก็ยังต้องทำหน้าที่แนะนำตัวว่า “อาจารย์พาน อาจารย์ฉู่ อาจารย์หลิว นี่คือคุณชายเฉาพั่วเถียนจากเมืองไป๋หยุน เขารับหน้าที่นำเทียบเชิญร่วมงานประลองกระบี่มาส่งมอบให้แก่ลูกศิษย์ของพวกท่านในนามของไป๋ไห่ชิน”
เฉาพั่วเถียนอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินพลันหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ จ้องมองเด็กหนุ่มผมทองเบื้องหน้าไม่วางตา
ฝ่ายตรงข้ามมีอายุประมาณ 17 ปี สวมใส่เสื้อคลุมสีขาว ร่างกายสูงใหญ่กำยำ นอกจากใบหน้าหล่อเหลาแล้ว ยังมีรัศมีความมั่นใจในตัวเองแผ่ออกมาจากรอบกาย ด้วยความสง่างามสมบูรณ์แบบเช่นนี้เอง ไม่ว่าผู้ใดได้พบเจอเขาแล้วต่างก็ยากที่จะลืมเลือน นับได้ว่าเด็กหนุ่มเป็นบุคคลผู้มีหน้าตาหล่อเหลาหาตัวจับยากนัก
หลินเป่ยเฉินคิดอยู่ในใจว่า “คนนี้ใช่ไหมที่เป็นศิษย์ทรยศอาจารย์ติงน่ะ?”
ในเวลาเดียวกันนั้น เฉาพั่วเถียนก็ได้หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินพอดิบพอดี
หลินเป่ยเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย
นี่คือสัญชาตญาณที่สัตว์ป่ามักจะทำเวลาพบเจอคู่ต่อสู้สุดแข็งแกร่ง
เด็กหนุ่มเกิดความรู้สึกแปลกประหลาด
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ว่าสายตาของเฉาพั่วเถียนแฝงความเหยียดหยามเกลียดชังอยู่หลายส่วน ราวกับว่าเขาไปฆ่าบุตรฉุดภรรยาของอีกฝ่ายมาก็ไม่ปาน หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าหากที่นี่ไม่มีพวกของฉู่เหินอยู่ด้วย เฉาพั่วเถียนคงชักกระบี่ออกมาแทงเขาตายไปแล้ว
แต่หลังจากนั้น เฉาพั่วเถียนก็ได้หันหน้ามองไปทางอื่น
“ฮ่าฮ่า ข้าน้อยมาโดยไม่ได้แจ้งเตือนล่วงหน้า ต้องขออภัยทุกท่านแล้ว”
เด็กหนุ่มผมทองสยายรอยยิ้มจอมปลอมบนใบหน้า ก่อนประสานมือคำนับคณะอาจารย์แสดงความเคารพ
ฉู่เหินและอาจารย์หัวหน้าชั้นปีอีกสองท่านพยักหน้าทักทายพอเป็นพิธี
เฉาพั่วเถียนเป็นทั้งอัจฉริยะจากเมืองไป๋หยุน และเป็นศิษย์เอกของไป๋ไห่ชิน 1 ใน 3 ยอดมือกระบี่ของที่นั่น ดังนั้นสถานะจึงไม่ต่ำต้อย
แต่เนื่องจากเหตุการณ์ในครั้งอดีต ต่อให้เฉาพั่วเถียนแสดงความเคารพต่ออาจารย์ทั้งสามท่านมากแค่ไหน พวกเขาก็ตอบรับกลับไปเพียงตามมารยาทเท่านั้น
ทว่าเฉาพั่วเถียนไม่เก็บมาคิดใส่ใจ กล่าวด้วยน้ำเสียงแจ่มใส “ได้ยินว่าสถานศึกษากระบี่ที่สาม มียอดอัจฉริยะถึงสี่คนได้เข้าสู่รอบ 20 คนสุดท้ายของการค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง นับเป็นสถิติที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ฮ่าฮ่า ข้าจึงมาที่นี่เพื่อหาคำตอบ ว่า พวกเขาจะเป็นอัจฉริยะตัวจริงที่ควรค่าต่อการได้รับเทียบเชิญให้เข้าชมงานประลองกระบี่หรือไม่”