ตอนที่ 926 ไว้ชีวิตเขาเอาไว้ก่อน
บนหัวไหล่ของรูปปั้นองค์เทพีกระบี่
“เลิกพูดไร้สาระเสียที”
หลินเป่ยเฉินก้มหน้าพูดลงไปด้วยน้ำเสียงเวทนา “เจ้าเปรียบเสมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ยังไม่รู้อีกว่าตนเองกำลังเผชิญหน้าอยู่กับความแข็งแกร่งที่แท้จริง ช่างน่าหัวเราะยิ่งนัก แต่เจ้าก็น่าสงสารด้วยในเวลาเดียวกัน… ลงมือได้”
สามคำสุดท้ายเขาไม่ได้พูดกับไต้อวี่เต๋อ
แต่ทันทีที่สิ้นเสียงสามคำสุดท้ายนั้น ในอากาศก็บังเกิดเสียงครืนครันดังขึ้นมาทันที
มือกระบี่ในชุดเกราะสีเงินทิ้งตัวลงมาจากกลางอากาศ
สมาชิกของหน่วยผู้พิทักษ์สีเงินรอโอกาสนี้มานานแล้ว นับตั้งแต่ที่ได้รับการแบ่งปันสัญญาณวายฟายจากหลินเป่ยเฉิน นี่กำลังจะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้แสดงเขี้ยวเล็บให้โลกใบนี้ได้พบเห็น
นี่คือการต่อสู้ครั้งแรก
ทุกคนมีสง่าราศีไม่ต่างไปจากเทพเจ้าแห่งสรวงสวรรค์ ชุดเกราะที่สวมใส่เป็นประกายสะท้อนแสงวิบวับแวววาว
พลังลมปราณแผ่ออกมาจากร่างกายหนาแน่น
ในมือถือกระบี่ยาวคมกริบ
ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเป็นประกายระยิบระยับ
เพียงพวกเขาระเบิดพลังลมปราณออกมาเท่านั้น กลุ่มมือปราบที่ยืนอยู่ในรัศมียี่สิบวาก็พลันลอยกระเด็นออกไปไม่ต่างจากกระสอบป่านเก่าขาดใบหนึ่ง
มือปราบเหล่านั้นร้องโหยหวน ก่อนที่จะลอยไปกระแทกกับกำแพงหินของกรมมือปราบอย่างรุนแรง…
“ยอดปรมาจารย์ตอนปลาย?”
ไต้อวี่เต๋ออุทานออกมาใบหน้าเปลี่ยนสี
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุกโดยไม่รู้ตัวขณะก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ “มียอดปรมาจารย์ตอนปลายเยอะขนาดนี้ได้อย่างไร?”
ในจำนวนประชากรหลายร้อยล้านคนของจักรวรรดิเป่ยไห่ ผู้ที่สามารถเลื่อนระดับขึ้นมาอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายได้นั้นมีไม่มากนัก ว่ากันตามการเก็บสถิติของทางการ ทั่วดินแดนนี้มีอยู่เพียง 2,600 คนเท่านั้น
และทั้ง 2,600 คนก็เปรียบเสมือนสิ่งที่คอยค้ำจุนอำนาจของราชวงศ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยอดปรมาจารย์ตอนปลายระดับ 9 คือสิ่งที่หาได้ยากที่สุด
ในบันทึกมีอยู่เพียง 36 คนเท่านั้น
และพวกเขาก็ถือเป็นสมบัติล้ำค่าของจักรวรรดิ
ในจำนวนยอดฝีมือ 36 คนนี้ล้วนมีพื้นเพแตกต่างกันไป แต่ประวัติโดยละเอียดของพวกเขาต่างก็อยู่ในมือของผู้คนในวังหลวงเป็นอย่างดี
เนื่องจากผู้มีพลังขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายระดับ 9 คือทรัพยากรล้ำค่าที่พวกเขาต้องทะนุถนอมเอาไว้ให้ดีมากที่สุด
ทุกคนมีสิทธิ์เลื่อนระดับขึ้นเป็นยอดฝีมือขั้นเซียนในอนาคต
ทุกครั้งที่มีการค้นพบยอดฝีมือขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายระดับ 9 ก็จะมีการจัดพิธีเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ไปทั่วจักรวรรดิเป่ยไห่ และบรรดาตระกูลใหญ่ ๆ ก็จะออกตัวแย่งชิงกันเป็นผู้อุปถัมภ์ยอดฝีมือเหล่านั้นทันที
ไต้อวี่เต๋อเองก็เป็นหนึ่งในผู้มีพลังขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายเช่นกัน
ดังนั้น ทันทีที่สมาชิกของหน่วยผู้พิทักษ์สีเงินปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า เขาก็รู้แล้วว่าบุรุษฉกรรจ์ที่สวมใส่ชุดเกราะสีเงินแวววาวเหล่านี้นั้นมีพลังอยู่ในขั้นใด
ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณชีพจรหรือระดับพลังลมปราณ ล้วนยืนยันได้ว่าเป็นของจริง
นี่น่ากลัวมากแล้ว
ผู้มีพลังขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายระดับ 9 กว่า 20 คนปรากฏตัวออกมาได้อย่างไร?
เพียงอาศัยขุมกำลังเท่านี้ พวกเขาก็สามารถยึดครองหลายมณฑลได้อย่างสบาย ๆ
แต่ที่แย่ไปมากกว่านั้นก็คือดูเหมือนยอดฝีมือเหล่านี้จะทำงานภายใต้คำสั่งของหลินเป่ยเฉิน
วูบ!
รังสีกระบี่พุ่งแหวกอากาศ
เงาร่างสีเงินเคลื่อนกายเข้ามาพร้อมกับกระบี่พิฆาต
ไม่มีเวลาให้ไต้อวี่เต๋อได้คิดอะไรอีก
เขาได้แต่ชักกระบี่ออกมาปัดป้อง
เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!
ประกายไฟสาดกระจายในอากาศ
ไม่ต่างไปจากการจุดดอกไม้ไฟที่สวยงาม มีเสน่ห์และอันตราย
ไต้อวี่เต๋อรู้สึกเพียงแต่ว่าคู่ต่อสู้มีรูปแบบการใช้กระบี่ที่หนักหน่วงรุนแรง เมื่อปะทะฝีมือกันได้หลายกระบวนท่า เขาก็ตกเป็นรองอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ พลังแฝงที่โจมตีมาพร้อมกับตัวกระบี่ยังมีมากมายราวกับสายน้ำไหลไม่มีที่สิ้นสุด ข้อมือของไต้อวี่เต๋อสั่นสะเทือนปวดร้าว พลังลมปราณในร่างกายเหือดหาย เป็นสัญญาณว่าเขากำลังจะพ่ายแพ้…
“พวกเจ้า… เป็นใครกันแน่?”
ไต้อวี่เต๋ออุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก
เสนาบดีแห่งกรมมือปราบรับทราบข้อมูลของยอดปรมาจารย์ตอนปลายระดับ 9 ทั้ง 36 คนเป็นอย่างดี พวกเขาไม่ใช่คนกลุ่มนี้เด็ดขาด เพียงสังเกตจากวิธีการต่อสู้ก็รู้ได้แล้ว…
ไต้อวี่เต๋อครุ่นคิดอย่างระมัดระวังและหวาดกลัว
แต่อีกฝ่ายไม่คิดตอบคำถามของเขาเลย
มือกระบี่ในชุดเกราะสีเงินเดินหน้าเข้ามาฟาดฟันต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง
ภายใต้การบุกโจมตีของยอดฝีมือชุดเกราะเงินทั้ง 20 คนนี้ เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น บรรดามือปราบประจำป้อมปราการก็ต้องล่าถอยกลับไปเปิดค่ายอาคมตั้งรับอย่างไม่มีทางเลือก
แต่สิบลมหายใจต่อมา ป้อมปราการฝั่งตะวันออกของกรมมือปราบก็ถูกพังทลาย
เงาร่างสีเงินพุ่งผ่านเข้าไป
“ไม่นะ…”
ไต้อวี่เต๋อคำรามพร้อมกับรั้งกระบี่กลับมา
เขายังคงมีโอกาส
คุณชายจูยังอยู่ในห้องสอบสวน
คุณชายจูเป็นผู้มีพลังระดับเซียน
คุณชายจูมีชาติกำเนิดสูงส่ง
คุณชายจูรับปากว่าจะช่วยเหลือเขา
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ไต้อวี่เต๋อก็ไม่คิดที่จะต่อสู้อีกต่อไปและหมุนตัวกลับพยายามหาช่องทางหลบหนี
แต่ทว่า…
ฟึบฟึบฟึบฟึบ!
เงาร่างสี่สายของมือกระบี่ชุดเกราะเงินทิ้งตัวลงมาจากกลางอากาศยืมล้อมไต้อวี่เต๋อเอาไว้ตรงกลาง
แต่ละคนมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายทั้งสิ้น
“พวกเจ้า…”
ไต้อวี่เต๋อระเบิดเสียงคำรามด้วยความเหลือเชื่อ “พวกเจ้าจะใช้คนหมู่มากรุมทำร้ายคนหมู่น้อยจริงหรือ? นี่ใช่หลักการของผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงหรืออย่างไร? พวกเจ้าเป็นถึงยอดปรมาจารย์ตอนปลาย…”
ยอดปรมาจารย์ตอนปลายย่อมมีศักดิ์ศรีสูงส่งราวกับคนบนสวรรค์
ด้วยศักดิ์ศรีที่ค้ำคอเช่นนี้ เหตุไฉนถึงไม่ต่อสู้กันตัวต่อตัว?
พวกท่านประพฤติตัวเช่นนี้ ยังกล้าเรียกตนเองว่าเป็นยอดปรมาจารย์ตอนปลายได้อีกหรือ?
ยังมีศักดิ์ศรีอยู่อีกหรือไม่?
เหล่านั้นคือถ้อยคำที่ไต้อวี่เต๋อตะโกนออกไปสุดเสียง
แต่กลับไร้ประโยชน์
เนื่องจากมือกระบี่ชุดเกราะเงินที่ปะทะฝีมือกับไต้อวี่เต๋อก่อนหน้านั้นได้ปรากฏตัวขึ้นเป็นบุคคลที่ห้า พวกเขานิ่งเงียบไม่ตอบคำถามและตวัดกระบี่ในมือฟาดฟันด้วยความรุนแรง
ควับ!
สายโลหิตสาดกระจาย
ไต้อวี่เต๋อร้องโหยหวน กระบี่กระเด็นออกจากมือ
โลหิตทะลักออกมาจากข้อมือของเขา
เส้นเอ็นและนิ้วมือทั้งสองข้างถูกตัดขาด
เสนาบดีแห่งกรมมือปราบคุกเข่าลงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
“ไว้ชีวิตเขาเอาไว้ก่อน”
เสียงของหลินเป่ยเฉินดังลงมาจากรูปปั้นยักษ์
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
กระบี่ที่กำลังจะจ้วงแทงไต้อวี่เต๋อพลันพลิกกลับด้าน
เปลี่ยนเป็นใช้สันกระบี่ทุบตีแทน
เสนาบดีแห่งกรมมือปราบ สมาชิกของสภาขุนนางระดับสูง ผู้มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย บัดนี้กลับต้องคุกเข่าลงบนพื้นดินอย่างหมดสง่า ไม่รู้เลยว่ากระดูกทั่วร่างกายแตกหักไปเท่าไหร่ สุดท้าย ไต้อวี่เต๋อก็ต้องล้มลงไปนอนชักกระตุกราวกับเป็นสุนัขตัวหนึ่ง…
“โอ๊ย โอ๊ย…”
ไต้อวี่เต๋อร้องออกมาด้วยจิตใจที่ตื่นกลัวและโกรธแค้น
แต่แล้วในทันใดนั้นเอง…
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เสียงระเบิดดังขึ้นติด ๆ กันจากส่วนลึกของหมู่ตึกในกรมมือปราบ
พลังลมปราณระดับเซียนแผ่กระจายไปรอบทิศทาง
ตู้ม!
พื้นดินสั่นสะเทือน
พลังกดดันหนักหน่วงทำให้หัวใจผู้คนเต้นผิดจังหวะ
เมื่อไต้อวี่เต๋อรับรู้ความรู้สึกเหล่านี้ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความบ้าคลั่งทันที
“ฮ่า ๆๆ ฮ่า ๆๆ…”
เขามองหน้าหลินเป่ยเฉินซึ่งกระโดดลงมาจากหัวไหล่ของรูปปั้นเทพีกระบี่และกำลังเดินตรงมาทางตนเอง หลังจากนั้น เสนาบดีแห่งกรมมือปราบก็แผดเสียงคำรามว่า “เจ้าคงคิดไม่ถึงเลยสินะว่าในกรมมือปราบของข้าจะมียอดฝีมือระดับเซียนอยู่ด้วย ลูกสมุนของเจ้าอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายเท่านั้น จะสามารถรับมือกับผู้มีพลังระดับเซียนได้อย่างไร? ต่อให้พวกเจ้าคิดหลบหนีในตอนนี้ มันก็สายเกินไปแล้ว ฮ่า ๆๆ…”
ไต้อวี่เต๋อคาดหวังที่จะเห็นสีหน้าตื่นตระหนกตกใจกลัวของหลินเป่ยเฉิน
แต่เด็กหนุ่มกลับเดินผ่านเขาไปหน้าตาเฉย
“ลากตัวมาด้วย”
หลินเป่ยเฉินพูดเสียงเรียบ
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าสู่ป้อมปราการด้านในกรมมือปราบภายใต้การคุ้มกันจากสมาชิกหน่วยผู้พิทักษ์สีเงินหกคน
หลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยรีบติดตามเข้าไปด้วยความเป็นห่วง
อีกฝ่ายหนึ่งส่งผู้มีพลังระดับเซียนมารอรับมือพวกเขาแล้วหรือ ?
ถ้าอย่างนั้น การช่วยเหลือพวกอาจารย์เยวียนและคนอื่น ๆ ก็คงยากลำบากมากขึ้นแล้วกระมัง ?
พวกเขาเดินผ่านเฉลียงทางเดินและขึ้นบันไดไปอีกหลายขั้น
ไต้อวี่เต๋อถูกลากถูลู่ถูกังมาบนพื้นไม่ต่างจากสุนัขตัวหนึ่ง คราบเลือดลากเป็นทางยาวทางด้านหลัง แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังส่งเสียงหัวเราะตลอดเวลา รอคอยที่จะได้รับชมการแสดงสุดพิเศษ
เวลาผ่านไปชั่วต้มน้ำเดือด
พวกของหลินเป่ยเฉินก็มาถึงห้องสอบสวนลับในหมู่ตึกที่สี่
หน้าประตูห้องสอบสวนยืนรักษาการณ์ด้วยชายฉกรรจ์ในชุดเกราะเงินสองคน
“คารวะท่านแม่ทัพผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เกรียงไกร”
ทั้งสองคนนั้นรีบก้มหัวประสานมือแสดงความเคารพ
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าตอบรับและผลักประตูเปิดเข้าไป
เมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ เสียงหัวเราะของไต้อวี่เต๋อก็ขาดหายไปแล้ว
นี่ไม่ถูกต้อง
ชายฉกรรจ์ชุดเกราะเงินพวกนี้สมควรถูกคุณชายจูฆ่าตายไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ!
แต่กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของยอดฝีมือเกราะเงินเหล่านี้
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ไต้อวี่เต๋อไม่เข้าใจอะไรอีกแล้ว
แต่เมื่อเขาถูกลากเข้าสู่ด้านในห้องสอบสวน
ไต้อวี่เต๋อก็ได้พบเจอเข้ากับภาพที่ทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบ…
คุณชายจูผู้มีพลังระดับเซียนจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง ไม่ทราบเลยว่าถูกผู้ใดทำร้ายทุบตี ใบหน้าถึงได้บวมช้ำ จมูกหัก ปากแตก ขณะนี้กำลังก้มหมอบกราบอยู่กับพื้นห้อง ไม่กล้าพูดคำใดออกมา
แล้วไหนเลยจะเป็นผู้มีพลังระดับเซียนที่ควบคุมทุกอย่างอยู่ในกำมือ?