บทที่ 96 เกิดอะไรขึ้นกันแน่
ข้อเสียอย่างเดียวของไป๋ชินหยุนก็คือ นางชอบทำอะไรที่เสี่ยงเกินไปเสมอ
และไม่เคยคิดถึงผลที่จะตามมา
หลังตรวจสอบอาการบาดเจ็บดูแล้ว หลิวฉีไห่ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หันไปพยักหน้ากับฉู่เหินและพานเว่ยหมินเป็นสัญญาณบอกว่าเด็กสาวปลอดภัยดี หลังจากนั้น หลิวฉีไห่ก็อุ้มไป๋ชินหยุนไปยังห้องพยาบาลที่อยู่ไม่ไกล เพื่อเริ่มต้นการรักษาอย่างจริงจัง
“ในกลุ่มเด็กนักเรียนอัจฉริยะทั้งสี่ เหลือเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ได้แสดงฝีมือ”
ในที่สุด เฉาพั่วเถียนก็หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน “เจ้าไม่พูดอะไรเลยสักคำ อย่าบอกนะว่าเจ้ากลัว? ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะประจำชั้นปีที่ 2 และเป็นศิษย์เอกของติงซานฉือ เจ้ากลับขี้ขลาดเสียยิ่งกว่าเด็กผู้หญิงชั้นปีที่ 1 อีกหรือ?”
หลินเป่ยเฉินเงยหน้าหัวเราะฮาฮา แล้วตอบว่า “เฉาพั่วเถียน ความจริงเจ้าตั้งใจเล่นงานข้าอยู่แล้วใช่หรือไม่? เจ้าอย่าได้ทำตัวสูงส่งให้มันมากนักเลย ตัวเจ้าเองเป็นศิษย์ทรยศอาจารย์ เพียงไปเสวยสุขอยู่ในเมืองไป๋หยุนได้ไม่กี่ปี ก็กล้ากลับมาเดินชูคอที่เมืองนี้แล้ว เจ้าไม่คิดว่ามันตลกเกินไปหน่อยหรือไง?”
“ว่าไงนะ?”
สีหน้าของเฉาพั่วเถียนเปลี่ยนแปลงไปทันที ดวงตาลุกโชนด้วยเพลิงโทสะ
ตราบาปที่น่าละอายที่สุดในชีวิตของเฉาพั่วเถียน ก็คือการหักหลังติงซานฉือและถวายตัวเป็นศิษย์ไป๋ไห่ชินนั่นเอง
สิ่งที่เฉาพั่วเถียนเกลียดมากที่สุดก็คือ การที่มีคนขุดเรื่องนี้มาพูดใส่หน้าเขา
มันเท่ากับเป็นการตบหน้าเขาต่อหน้าสาธารณชน
“เจ้า…”
หลินเป่ยเฉินขยับเท้าก้าวออกไปข้างหน้า รวบรวมสมาธิเพื่อให้ใช้สายตาได้ดีขึ้น จากนั้นจึงยิ้มเยาะ “สำหรับมือกระบี่แห่งเมืองหยุนเมิ่งแล้ว ชื่อของเฉาพั่วเถียนไม่ได้มีค่าอะไรมากไปกว่าคนทรยศคนหนึ่ง เจ้าอยากทราบฝีมือของข้าใช่หรือไม่? ส่งเทียบเชิญของเจ้ามาสิ แค่ยืนเฉยๆ ไม่ต้องออกแรง ข้าก็รับได้แล้วด้วยซ้ำ หากข้ารับไว้ไม่ได้ ข้าก็จะยอมรับความพ่ายแพ้เอง”
ทันใดนั้น สีหน้าของทุกคนที่อยู่ในห้องวัดค่าพลังพลันเปลี่ยนแปลงไป
พวกเขาคิดว่าหลินเป่ยเฉินอวดดีมากเกินไปแล้ว
เมื่อสักครู่นี้ ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฮันปู้ฟู่
ถึงแม้ว่าหลินเป่ยเฉินจะเป็นยอดอัจฉริยะประจำชั้นเรียนปีที่ 2 แต่เมื่อเทียบกับศิษย์รุ่นพี่อย่างฮันปู้ฟู่ ฝีมือของเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ ฮันปู้ฟู่อาจมีวรยุทธ์สูงล้ำกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ แต่ก็ยังรับเทียบเชิญไม่สำเร็จ
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เฉาพั่วเถียนเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะ “ไม่น่าเชื่อเลยว่าโลกนี้จะมีคนที่หลงตัวเองสุดโต่งแบบเจ้าอยู่ด้วย เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า เจ้าถึงกับกล้าพูดเรื่องไร้สาระออกมาได้ หลินเป่ยเฉิน เจ้ารู้ตัวไหมว่าต้องหัดรับผิดชอบคำพูดของตัวเองเสียบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินดัดนิ้วมือเสียงดังกร๊อบแกร๊บ กล่าวว่า “เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว ส่งเทียบเชิญมาเดี๋ยวนี้”
นั่นแทบจะเป็นประโยคเดียวกับที่ฮันปู้ฟู่เคยพูดเอาไว้
หลินเป่ยเฉินตั้งใจพูดเลียนแบบ
ดวงตาของฮันปู้ฟู่เป็นประกายระยิบระยับ เขาสามารถบอกได้เลยว่าหลินเป่ยเฉินกำลังมั่นใจอยู่ไม่น้อย
แต่ว่า…
หลินเป่ยเฉินจะรับเทียบเชิญได้จริงหรือ?
ฉู่เหินและคณะอาจารย์ก็มีสีหน้าพิศวงสงสัยเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินพูดจากับเฉาพั่วเถียนด้วยความมั่นอกมั่นใจเสียเต็มประดา แน่นอนว่าทำให้คณะอาจารย์รู้สึกใจชื้นขึ้นเป็นกอง
แต่จะทำสำเร็จหรือไม่ มันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่คำพูด
หากหลินเป่ยเฉินรับเทียบเชิญเอาไว้ไม่สำเร็จ ก็จะกลายเป็นที่อับอายขายหน้าของสถาบันแล้ว
ขณะนี้ เฉาพั่วเถียนมีแววตาดุร้าย ไม่ปิดบังความดูถูกดูแคลนขณะหัวเราะออกมาว่า “ดีมาก ในเมื่อเจ้าเรียกร้องนัก ข้าก็ยินดีสนอง”
วูบ!
พูดจบ เทียบเชิญสีแดงอีกหนึ่งใบก็ลอยออกมาจากมือของเฉาพั่วเถียน
ครั้งนี้ เทียบเชิญลอยตัวในอากาศด้วยความเชื่องช้ามากกว่าเดิม
แต่มันกลับส่งเสียงแหลมแสบหูอยู่ในอากาศ
มวลอากาศที่อยู่โดยรอบเทียบเชิญเกิดความปั่นป่วนเป็นกระแสคลื่นจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ฉู่เหินและคณะอาจารย์สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
พวกเขาสามารถบอกได้เลยว่าครั้งนี้เฉาพั่วเถียนใส่พลังลงมารุนแรงมากกว่าเดิม
หากฮันปู้ฟู่เผชิญหน้าเทียบเชิญที่มีพลังแฝงเท่ากับเทียบเชิญของหลินเป่ยเฉิน อาการบาดเจ็บของเขาคงกลายเป็นกระดูกแขนแตกแหลกละเอียด ไม่ใช่เพียงกระอักเลือดออกมาเล็กน้อยแค่นี้แน่นอน
เมื่อเห็นว่าปล่อยผ่านไปอาจเกิดเหตุร้ายขึ้นได้ ฉู่เหินไม่อยากให้หลินเป่ยเฉินได้รับบาดเจ็บโดยไม่จำเป็น จึงเตรียมตัวเข้าไปช่วยเหลือ
แต่จังหวะนั้น หลินเป่ยเฉินถลันกายออกมาข้างหน้า สะบัดมือวูบแล้วคำรามลั่น “ข้าจะรับมันไว้เอง”
ในพริบตาต่อมา สายตาของทุกคนก็พร่าเลือน
เทียบเชิญสีแดงหายวับไปกลางอากาศ
หลังจากนั้น มือของหลินเป่ยเฉินพลันบังเกิดแสงสว่างสีแดงวูบวาบ
แล้วเทียบเชิญใบนั้นก็อยู่ในมือของเขาแล้ว!
“ก็แค่เศษกระดาษแผ่นหนึ่ง…เทียบเชิญที่แท้จริง ควรถูกเขียนด้วยกวีชั้นนำและเป็นของขวัญที่ควรได้รับการเคารพยกย่อง แต่ตัวตลกอย่างเจ้า กลับทำลายภาพลักษณ์ของเทียบเชิญใบนี้เสียย่อยยับ เหอเหอ เฉาพั่วเถียน นี่น่ะหรือคือ ‘เกียรติยศ’ ที่เจ้านำพามาจากเมืองไป๋หยุนด้วยน่ะ” หลินเป่ยเฉินพูดเสียงเรียบ เปิดเทียบเชิญในมือออกอ่าน
ค่ำคืนวันที่ 15 แสงจันทราอาบนภา
เชิญท่านมาจวนผู้ว่า ร่วมปรีดางานประลอง
เป็นข้อความที่เหมือนกับเทียบเชิญของฉู่เหินทุกตัวอักษร
แตกต่างเพียงเล็กน้อยก็แค่ลวดลายบนเทียบเชิญเท่านั้น
เทียบเชิญที่ฉู่เหินได้รับออกแบบมาสำหรับ 12 มือกระบี่ชื่อดังประจำเมืองหยุนเมิ่ง ในขณะที่เทียบเชิญของหลินเป่ยเฉินออกแบบมาสำหรับลูกศิษย์อัจฉริยะโดยเฉพาะ
เฉาพั่วเถียนยืนนิ่งอยู่กับที่
บนใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เด็กหนุ่มผมทองไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น
“เมื่อสักครู่นี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมอยู่ดีๆ เทียบเชิญถึงไปอยู่ในมือหลินเป่ยเฉินได้อย่างนั้น? หรือจะมีคนคอยช่วยเหลือมันจากระยะไกล? เทียบเชิญเหล่านี้ได้รับการลงพลังแฝงจากผู้มีพลังระดับยอดปรมาจารย์ แล้วหลินเป่ยเฉินที่เป็นแค่ลูกศิษย์จากสถานศึกษากระบี่บ้านนอก จะสามารถรับเทียบเชิญด้วยตัวเองได้อย่างไร?”
บัดนี้ แม้แต่ฉู่เหิน พานเว่ยหมินและคณะอาจารย์คนอื่นๆ ก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน
พวกเขาไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ใบหน้าก็ยิ้มแย้มออกมาอย่างมีความสุข เพราะคำพูดคุยโวของหลินเป่ยเฉินกลายเป็นความจริงแล้ว
เขาสามารถรับเทียบเชิญได้โดยไม่ต้องออกแรงสักนิด
นับว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก!
กล้ามเนื้อบนใบหน้าเฉาพั่วเถียนกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้อยู่พักใหญ่ ยิ่งเห็นเช่นนั้น คณะอาจารย์ของสถานศึกษากระบี่ทีสามก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นทวีคูณ
“เจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองหน้าเฉาพั่วเถียน
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะพูดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ
หลินเป่ยเฉินจึงกล่าวต่อว่า “ความจริงนั้น ตัวข้าไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับศิษย์พี่ฮันแต่อย่างใด เพียงแต่เมื่อสักครู่นี้ ศิษย์พี่ฮันไม่ทันระวังตัว จึงถูกกลอุบายสกปรกของเจ้าเล่นงานจนได้รับบาดเจ็บ ไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้ที่ได้รับการขนานนามให้เป็นมือกระบี่อนาคตไกลอย่างเจ้า กลับใช้เล่ห์เหลี่ยมชั่วร้ายเล่นงานผู้อื่นอย่างนี้”
“เหลวไหล ข้าไม่ได้…”
เฉาพั่วเถียนพยายามโต้กลับด้วยความเดือดดาล
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะเย้ยหยัน สวนกลับไปทันทีว่า “พูดไปก็ไร้ประโยชน์ จะอย่างไรข้าก็รับเทียบเชิญของเจ้าได้สำเร็จ หรือเจ้าจะส่งมาอีกก็ได้ข้าไม่ว่า ถึงเนื้อกระดาษอาจแข็งไปบ้าง แต่น่าจะเอาไว้เช็ดก้นได้ดีพอสมควร”
“เจ้า…”
เฉาพั่วเถียนโกรธแค้นจนพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ในใจของเขาตอนนี้อยากจะชักกระบี่ออกมาทิ่มแทงหลินเป่ยเฉินให้ตกตายไปซะ
แต่ก็รู้ดีว่าตนเองจะทำเช่นนั้นไม่ได้
ที่นี่เป็นถิ่นของสถานศึกษากระบี่ที่สาม
รอบตัวมีคณะอาจารย์ซึ่งเป็นมือกระบี่มากฝีมืออยู่หลายสิบคน อีกอย่าง หลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นลูกศิษย์ของติงซานฉือ จะอย่างไรเฉาพั่วเถียนก็ยังมีความเคารพต่ออาจารย์ชราผู้เคยปลุกปั้นเขาขึ้นมาจากโคลนตม ค้นพบพรสวรรค์ของเขา และช่วยแนะแนวทางกระบี่จนทำให้เฉาพั่วเถียนมีวันนี้ได้สำเร็จ
เพราะฉะนั้น หากชักกระบี่ออกมาต่อสู้กันตอนนี้จริงๆ เฉาพั่วเถียนรู้ดีว่าตนเองตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่นอน
“หลินเป่ยเฉิน อย่าเพิ่งดีใจให้มันมากเกินไปนัก” เฉาพั่วเถียนพยายามระงับโทสะอย่างสุดความสามารถ ต่อจากนั้นจึงได้แสยะยิ้ม พูดว่า “ในเมื่อเจ้ารับเทียบเชิญได้สำเร็จ ก็จงไปตามเวลาที่กำหนด คืนงานประลองยังมีบททดสอบอีกหลายอย่างรอเจ้าอยู่ เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าจะได้พบกับวิชากระบี่ที่แท้จริง ข้าก็ได้แต่หวังว่าเจ้าจะทำหน้าอวดดีได้เหมือนตอนนี้ก็แล้วกัน”
หลินเป่ยเฉินสวนกลับไปอย่างเจ็บแสบว่า “จริงหรือ? ข้าจะเฝ้ารอคอยด้วยใจจดจ่อยิ่ง หวังว่าเมื่อถึงตอนนั้น เจ้าจะแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาเช่นกัน ไม่ใช่เอาแต่อาศัยชื่อเสียงของเมืองไป๋หยุนเบ่งบารมีเหมือนที่ทำอยู่ตอนนี้ เพราะมันทำให้เจ้าดูแย่ ตื้นเขิน ไม่มีสมอง หลงตัวเอง จองหอง และน่าสมเพชยิ่งนัก”
เมื่อเฉาพั่วเถียนได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น ก็แทบจะกระอักเลือดออกมาด้วยความเจ็บใจแทบตายแล้ว
หลินเป่ยเฉินมีวาจาร้ายกาจยิ่ง
“ข้าน้อยขอตัวก่อน”
เด็กหนุ่มร่ำลาคณะอาจารย์และหันหลังกลับเดินจากไปทันที
เขาไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว
ใบหน้าที่บึ้งตึงของหลี่ชิงสวนดูดีขึ้นมาเล็กน้อย เขาแอบหันมายกนิ้วโป้งให้หลินเป่ยเฉินอย่างชื่นชมขณะหมุนตัวเดินจากไปพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษา
บรรยากาศในห้องวัดค่าพลังพลันเต็มไปด้วยความอบอุ่นมีชีวิตชีวา
“เจ้าหนู เมื่อครู่นี้เจ้าทำได้ยังไง?” ฉู่เหินโพล่งถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น