บทที่ 98 การวิเคราะห์ตัวเองของหลินเป่ยเฉิน
ในบรรดาผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนึ่งถึงสิบ สิ่งที่เรียกว่าพลังปราณธาตุจะยังไม่ก่อกำเนิด
เพราะมันเกี่ยวข้องกับระดับพลังลมปราณด้วยเช่นกัน
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนึ่งถึงสิบจะสามารถใช้พลังลมปราณได้อย่างจำกัด เพราะฉะนั้น ปราณธาตุจึงยังไม่ถูกกระตุ้นขึ้นมา
แต่เมื่อพ้นระดับ 10 ขึ้นไปแล้ว ก็จะเป็นขอบเขตปรมาจารย์ ระดับพลังลมปราณจะสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้จุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุในร่างกายถูกเปิด
โดยทั่วไป พลังปราณธาตุของคนเราจะแบ่งแยกออกเป็น 5 ประเภท ประกอบด้วย ปราณธาตุโลหะ ปราณธาตุน้ำ ปราณธาตุไฟ ปราณธาตุไม้ และปราณธาตุดิน แต่บางครั้งก็จะมีบางคนที่ธาตุพลังกลายพันธุ์ ทำให้มีปราณธาตุนอกเหนือไปจากห้าประเภทหลักคือ ปราณธาตุแสงสว่าง ปราณธาตุสายฟ้า ปราณธาตุน้ำแข็ง ปราณธาตุความร้อน ปราณธาตุลม ปราณธาตุเสียง และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ในจำนวนปราณธาตุที่หาได้ยากที่สุดนั้น คงไม่มีอะไรเกินไปกว่า ปราณธาตุไฟฟ้าสถิต ปราณธาตุสายฟ้า ปราณธาตุแสงสว่าง และปราณธาตุความมืดอีกแล้ว
แต่ชนิดของปราณธาตุจะไม่ส่งผลต่อระดับพลังหรือทักษะการต่อสู้แต่อย่างใด
ในปัจจุบัน จอมยุทธ์ชื่อดังจำนวนมาก มักจะมีพลังปราณธาตุไฟ ปราณธาตุสายฟ้า และปราณธาตุน้ำแข็งเป็นส่วนใหญ่
พลังปราณธาตุแสงสว่างกับปราณธาตุความมืดหาได้ยากและแปลกประหลาดก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้มีพลังปราณธาตุเหล่านั้นจะแข็งแกร่งกว่าคนที่มีปราณธาตุไฟ ปราณธาตุสายฟ้า หรือปราณธาตุชนิดอื่นๆ แต่อย่างใด
ส่วนวิธีที่จะเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุได้นั้น ออกจะดูเหลือเชื่อเกินไปหน่อย แม้จะเป็นในโลกจอมยุทธ์แห่งนี้ก็ตาม
วิธีการก็คือ ผู้ฝึกยุทธ์ต้องเข้าไปบำเพ็ญตบะอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ เมื่อได้รับการอวยพรจากเทพเจ้าแล้ว จึงจะสามารถใช้พลังปราณธาตุได้อย่างเป็นทางการ
ส่วนแต่ละคนจะมีพลังปราณธาตุชนิดใดบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยในร่างกายแตกต่างกันไป
สรุปคือ เมื่อบรรลุการเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 10 ได้เรียบร้อย สิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุ และนั่นก็คือการเข้าไปบำเพ็ญตบะในวิหารศักดิ์สิทธิ์ สิ่งสำคัญในกระบวนการนี้คือผู้ฝึกยุทธ์จะต้องสัมผัสกับเทพเจ้าตัวเป็นๆ ให้ได้เสียก่อน หลังจากนั้น ถึงจะสามารถเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุได้เต็มรูปแบบ
ถ้าทำสำเร็จ ก็จะขึ้นสู่ขอบเขตปรมาจารย์เต็มตัว
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นปรมาจารย์จะสามารถปล่อยพลังปราณธาตุออกจากร่างกายเป็นสีสัน สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แต่พลังปราณธาตุก็ยังมีขีดจำกัด ไม่สามารถใช้งานร่วมกับพลังลมปราณได้ ดังนั้น หากโจมตีคู่ต่อสู้ด้วยพลังลมปราณ ถึงจะเกิดลำแสงหลากสีสันพุ่งออกไป แต่นั่นก็เป็นเพียงพลังลมปราณธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้เสริมพลังของปราณธาตุเข้าไปด้วย
กล่าวโดยสรุปก็คือ พลังปราณธาตุไม่ได้เสริมสร้างความแข็งแกร่งต่อการโจมตี แต่มันจะทำให้ผู้ฝึกยุทธ์สามารถปลดปล่อยพลังลมปราณออกไปในลักษณะลำแสงสว่างไสวหลายสีสัน ยิ่งมีความแข็งแกร่งเท่าไหร่ พลังลมปราณก็ยิ่งมีแสงสว่างมากเท่านั้น
“ให้ตายสิ…”
หลินเป่ยเฉินอดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่ออ่านถึงข้อมูลตรงส่วนนี้
“น่าสนใจเหมือนกันนะเนี่ย”
เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนกับว่าผู้ที่มีพลังขั้นปรมาจารย์ เป็นเหมือนหลอดไฟเดินได้ชอบกล
แต่แน่นอนว่าหลอดไฟเดินได้เหล่านั้น มีวรยุทธ์สูงล้ำกว่าจอมยุทธ์ทั่วไป
นอกจากนี้ ยังมีอายุขัยที่ยืนยาวกว่าอีกด้วย
ถัดจากขอบเขตขั้นปรมาจารย์ ก็จะเป็นขอบเขตยอดปรมาจารย์
หรือสามารถเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่าขอบเขตสุดยอดผู้ฝึกยุทธ์
ต่อจากขอบเขตยอดปรมาจารย์แล้ว ก็จะเป็นขอบเขตเซียนผู้กล้า
แต่ข้อมูลบนผลตรวจค่าพลังก็จบลงที่ตรงนี้ ไม่ได้แจ้งต่อว่าอะไรคือลำดับชั้นที่เหนือไปกว่านั้น
หลินเป่ยเฉินรับทราบชัดเจนมาตั้งแต่แรกแล้วว่า โลกใบนี้มีเทพเจ้าอยู่จริงๆ ไม่ได้เป็นแค่สัญลักษณ์ทางความเชื่อ หรือมีอยู่แค่ในบทสวดมนต์
อย่าบอกนะว่าเทพเจ้าเหล่านั้นก็คือมนุษย์นี่แหละ แต่เป็นมนุษย์ที่ฝึกฝนวิทยายุทธ์จนขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับเทพเจ้า?
หลินเป่ยเฉินก็ไม่รู้คำตอบเหมือนกัน
ทันใดนั้น เขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ถ้าเขาสามารถกลายเป็นเทพเจ้าได้สำเร็จ แบบนั้นก็สามารถเดินทางทะลุมิติได้น่ะสิ เท่ากับว่าเขาจะเดินทางกลับโลกมนุษย์ได้ด้วยไม่ใช่หรือ?
ก็อาจจะใช่
แต่กว่าจะไปถึงตอนนั้น มันคงยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน
อย่าว่าแต่จะเป็นจักรวรรดิเป่ยไห่ จักรวรรดิจี้กวง หรือจักรวรรดิอื่นๆ เลย เอาแค่ในมณฑลเฟิงอวี่ ก็มีจอมยุทธ์ฝีมือดีมากมายยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า แต่จะมีสักกี่คนกันที่ขึ้นสู่ขั้นเซียนผู้กล้าได้สำเร็จ?
อาจไม่มีเลยก็ได้กระมัง?
เมื่อลองคิดดูแล้ว การหาวิธีกลับโลกมนุษย์ด้วยโทรศัพท์มือถือ น่าจะเป็นความจริงได้ง่ายกว่า
ผลการตรวจวัดค่าพลังบอกว่าหลินเป่ยเฉินอยู่ในขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับที่ 9
คะแนนส่วนใหญ่ของเขามาจากทักษะการใช้กระบี่ ความแข็งแกร่งของพลังลมปราณ และความแข็งแรงของร่างกาย
ส่วนความสามารถด้านอื่นๆ ยังอยู่ในขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 6 เท่านั้น
“ตอนวัดค่าพลังเราไม่ได้แสดงฝีมือที่แท้จริงต่างหาก ไม่งั้นคงได้ผลตรวจเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับที่ 10 ไปแล้ว แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น เราก็ต้องเตรียมตัวไปนั่งบำเพ็ญตบะอยู่ในวิหารเทพกระบี่ เพื่อเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุน่ะสิ”
หลังอ่านผลตรวจจบ หลินเป่ยเฉินก็ยกมือจับคางสีหน้าครุ่นคิด
ว่ากันตามตรง เด็กหนุ่มไม่ชอบการนั่งสมาธิในวิหารศักดิ์สิทธิ์สักเท่าไหร่
เพราะสถานที่เหล่านั้นอาจมีเทพเจ้าตัวจริงสถิตอยู่ แล้วความลับของเขาจะถูกเปิดเผยหรือไม่?
“ไม่ต้องเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุก็ได้มั้ง คงไม่ส่งผลอะไรกับเราสักเท่าไหร่อยู่แล้ว”
เมื่อคิดได้ดังนี้ เด็กหนุ่มก็ล้มเลิกความคิดที่จะเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุไปก่อนชั่วคราว
“เรายังไม่รู้เลยว่าเฉาพั่วเถียนมันมีพลังอยู่ในระดับไหน ตอนนั้นที่เอาเทียบเชิญมาได้ก็โกงมาล้วนๆ ถ้าให้ต่อสู้กันจริง เราคงไม่มีทางสู้หมอนั่นได้แน่ๆ” หลินเป่ยเฉินวิเคราะห์ตัวเองอย่างระมัดระวัง
เพราะฉะนั้น เขาจะขี้เกียจไม่ได้อีกแล้ว
เมื่อยอมรับเทียบเชิญ ก็หมายความว่าเขาต้องไปร่วมงานประลองกระบี่
ตามข้อมูลที่ฉู่เหินแจ้งเอาไว้ การประลองกระบี่ครั้งนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อสะสางบัญชีแค้นระหว่างไป๋ไห่ชิน สุดยอดมือกระบี่ชื่อดังจากเมืองไป๋หยุน กับติงซานฉืออาจารย์ของเขาเอง นอกจากนั้น ภายในงานยังเปิดโอกาสให้มือกระบี่รุ่นเยาวชนจากทั่วเมืองหยุนเมิ่งได้ประลองฝีมือกันอีกด้วย
แต่เหตุผลที่หลินเป่ยเฉินอยากเข้าร่วมงานประลองกระบี่ ก็เพราะต้องการจะหาโอกาสช่วยเหลือติงซานฉือ
เด็กหนุ่มไม่ได้อยากจะเข้าร่วมการประลองเพื่อสร้างชื่อเสียงให้โด่งดังก็จริง แต่อย่างน้อยเขาก็สมควรดูแลตัวเองให้ได้และไม่ทำให้ติงซานฉือต้องมีภาระมากเกินจำเป็น
หลังเกิดเหตุหักหน้ากันในห้องตรวจค่าพลัง เฉาพั่วเถียนคงต้องหาโอกาสแก้แค้นหลินเป่ยเฉินแน่นอน
เขาต้องเตรียมตัวรับมือเอาไว้ก่อน
“เสี่ยวจี้ เสี่ยวจี้?” หลินเป่ยเฉินส่งเสียงขึ้น
“มีอะไรหรือเจ้าคะ นายท่าน?”
เสียงของผู้ช่วยสาวดังขึ้นในทันใด
หน้าจอกึ่งโปร่งแสงของโทรศัพท์มือถือถูกฉายขึ้นมาเบื้องหน้าหลินเป่ยเฉิน โดยที่มันขยายใหญ่ขึ้นมีขนาดเกือบ 30 นิ้ว
“สแกนคัมภีร์วิชามังกรคำรณให้หน่อย เสร็จแล้วก็ติดตั้งแอปของมันลงโทรศัพท์ให้ด้วย”
“รับทราบเจ้าค่ะ นายท่าน”
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกได้ว่าพลังลมปราณของเขาถูกดูดออกไปจากร่างกายจำนวนมาก
“อ๊า…”
เด็กหนุ่มส่งเสียงครางในลำคอ
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา การดาวน์โหลดแอปคัมภีร์วิชามังกรคำรณครั้งนี้ น่าจะใช้ข้อมูลประมาณ 1 GB
ไม่กี่อึดใจต่อมา
“นายท่านเจ้าคะ แอปวิชามังกรคำรณดาวน์โหลดและติดตั้งเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“เปิดใช้งานได้เลย”
“รับทราบเจ้าค่ะ”
คำแนะนำในคัมภีร์ได้ชี้แจงเอาไว้ว่า การฝึกพลังจิตจะแบ่งแยกออกเป็นสามระดับ ประกอบไปด้วย…
ระดับแรก หลอมรวมพลังจิตเข้ากับพลังลมปราณ
ระดับสอง หลอมรวมพลังจิตเข้ากับพลังวิญญาณ
ระดับสาม หลอมรวมพลังจิตเข้ากับอากาศธาตุ
หลินเป่ยเฉินเคยฝึกผ่านแอปพลังจิตขั้นพื้นฐานมาก่อนแล้ว ขณะนี้จึงมีพลังอยู่ในระดับแรก คือการหลอมรวมพลังจิตเข้ากับพลังลมปราณขั้นต้น
หนทางการฝึกฝนยังอีกยาวไกลนัก
หากเปรียบการฝึกพลังจิตเป็นร่างกายมนุษย์ หลินเป่ยเฉินเพิ่งจะตั้งไข่ได้เท่านั้น โชคดีที่ก่อนหน้านี้เขาบรรลุพลังวรยุทธ์ขึ้นมาได้หนึ่งขั้นตอนที่สู้กับเซินเฟย มิเช่นนั้น เขาก็คงไม่ต่างจากทารกที่กำลังหัดคลาน
“ตามทฤษฎีก็คือ เราต้องฝึกพลังจิตระดับแรกให้ถึงขั้นกลางเสียก่อน ถ้าทำได้สำเร็จจึงจะเริ่มใช้พลังจิตโจมตีผู้อื่นได้ตามต้องการ วิชามังกรคำรณเป็นเคล็ดวิชาที่ดีมาก ยิ่งมีพลังจิตแข็งแกร่งมากแค่ไหน คลื่นเสียงมังกรที่แผ่ออกไปก็จะมีอานุภาพทำลายล้างมากขึ้นเท่านั้น”
หลินเป่ยเฉินอดชื่นชมตัวเองไม่ได้
“ดูเอาเถอะ ฉันนี่มันหล่อไม่พอ ยังฉลาดเป็นกรด เพียงอ่านอะไรนิดหน่อยก็เข้าใจทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว สงสารก็แต่คนอื่นๆ ที่สมองทึบเหลือเกิน”
“เสี่ยวจี้ วันนี้ฉันสแกนคัมภีร์จากในห้องสมุดมาหลายเล่ม จัดการเปลี่ยนเป็นแอป แล้วดาวน์โหลดลงโทรศัพท์ให้หมด”
“รับทราบเจ้าค่ะ”
“ถ้าฉันเปิดใช้งานทุกแอปพร้อมกัน มันจะกินแบตมากไหม?”
“มันจะทำให้เครื่องค้างเจ้าค่ะ”
“ว่าไงนะ?”
“ด้วยระบบปฏิบัติการในตอนนี้ที่ยังไม่ได้รับการอัพเกรด โทรศัพท์จะสามารถรองรับการทำงานของแอปพลิเคชั่นได้พร้อมกันไม่เกิน 8 แอปเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“เวรเอ๊ย!”
หลินเป่ยเฉินใช้ความคิดอีกเล็กน้อย ก็พูดว่า “งั้นเปิดใช้งานแอปโคจรพลังลมปราณขั้นสูง แอปกระบี่เร้นกายฉบับสมบูรณ์ แอปกระบี่ทะลวงจันทร์ แอปวิหคดั้นเมฆ แอปกระบี่รักนิรันดร์ แอปย่องหาโฉมสะคราญ แอปพลังจิตขั้นพื้นฐาน แล้วก็แอปวิชามังกรคำรณก่อนก็แล้วกัน”
“รับทราบเจ้าค่ะ”
แล้วการฝึกวิชาของเด็กหนุ่มก็ดำเนินไปในโทรศัพท์มือถือ
หลายวันต่อมา หลินเป่ยเฉินยังคงเข้าไปนอนหลับในห้องเรียนไม่ขาดสาย
คณะอาจารย์ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเขาดี
วันเวลาผันผ่าน
เพียงพริบตาเดียว วันประลองกระบี่ก็มาถึงแล้ว