บทที่ 100 หลินเป่ยเฉินผู้น่ารังเกียจและไร้ยางอาย
“เจ้าเป็นใคร?” หลินเป่ยเฉินพูดด้วยสีหน้าเอือมระอา
“ข้าคือเซี่ยโหวฉ่ง ลูกศิษย์จากสถานศึกษากระบี่หลวง…” เด็กหนุ่มในชุดม่วงกล่าวน้ำเสียงภาคภูมิใจ “ทีนี้ เจ้าต้องขอโทษข้า หลังจากนั้นก็เข้าไปคำนับศิษย์พี่เฉาในศาลาเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นแล้ว…”
“มิฉะนั้นจะทำไม?” หลินเป่ยเฉินพูดแทรกน้ำเสียงราบเรียบ
เด็กหนุ่มยังคงกวาดสายตามองหาติงซานฉืออยู่ต่อไป
“มิฉะนั้นแล้ว ข้าจะท้าให้เจ้ามาประลองกระบี่ด้วยกัน” เซี่ยโหวฉ่งกล่าว แววตาก้าวร้าว
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ “พวกเราได้รับอนุญาตให้ประลองกันได้ด้วยหรือ?”
เด็กหนุ่มในชุดม่วงอีกคนหนึ่งลุกขึ้นยืนและเดินออกมาจากศาลาริมน้ำ แววตาที่เขามองหลินเป่ยเฉินเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม ก่อนที่จะอธิบายว่า “ไม่เห็นมีอะไรน่าประหลาดใจ พวกเราย่อมได้รับอนุญาตให้ประลองกันได้อยู่แล้ว และมันก็คือหนึ่งในจุดประสงค์ที่จัดงานประลองนี้ขึ้นมาด้วยซ้ำ ตราบใดที่ไม่ได้ฆ่ากันตาย ทุกคนล้วนสามารถประลองเพลงกระบี่กันได้ทั้งสิ้น”
“แล้วเจ้าเป็นใครอีกล่ะเนี่ย?” หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับมาถาม
“ข้าหรือ? เฮอะ เจ้าไม่คู่ควรที่จะได้รู้ชื่อของข้าหรอก ยังไงเสีย เดี๋ยวเจ้าก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่เซี่ยโหวฉ่งอยู่แล้ว” เด็กหนุ่มในชุดม่วงเชิดหน้ากล่าวด้วยความหยิ่งยโส
“ฮ่าๆๆๆๆ” เซี่ยโหวฉ่งเอื้อมมือแตะด้ามกระบี่ ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น “หลินเป่ยเฉิน เรามาสู้กันเถอะ บอกตามตรง ทุกคนที่ได้รับเชิญมาอยู่ที่นี่ ต่างก็เป็นมือกระบี่อนาคตไกล ในสายตาของพวกเราแล้ว เจ้าเป็นเพียงเศษขยะไร้ค่า การผ่านเข้ารอบ 20 คนสุดท้ายของเจ้าในการค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง เป็นการผ่านเข้ารอบด้วยวิธีที่อัปยศที่สุดในประวัติศาสตร์ ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าสถานศึกษากระบี่ที่สามจะโง่เขลามากพอที่จะเชิดชูเจ้าเป็นวีรบุรุษ หึหึ ข้ารู้สึกเสียใจแทนสถาบันของเจ้าเหลือเกิน…”
คำพูดแต่ละคำของเซี่ยโหวฉ่งเป็นเสมือนมีดดาบทิ่มแทงหัวใจ
หลินเป่ยเฉินยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น
“ผ่านเข้ารอบด้วยวิธีที่อัปยศที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างนั้นหรือ? อย่าบอกนะว่าไอ้หมอนี่มันรู้ว่าเราแอบดูแผนที่ในมือถือ? เป็นไปไม่ได้น่า”
แต่แล้วในจังหวะนั้นเอง…
“จงถอนคำพูดของท่านเดี๋ยวนี้”
ไป๋ชินหยุน เด็กสาวจอมเย็นชาที่ยืนอยู่ด้านหลังหลินเป่ยเฉินตลอดเวลา พลันโพล่งออกมาโดยไม่มีใครคาดคิด
นางสามารถทนเห็นหลินเป่ยเฉินโดนดูถูกได้ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ของสถานศึกษากระบี่ที่สามเมื่อไหร่ ไป๋ชินหยุนก็ไม่สามารถอยู่เฉยได้อีกต่อไปแล้ว
“เซี่ยโหวฉ่ง ข้าไม่สนใจหรอกว่าท่านกับหลินเป่ยเฉินมีเรื่องบาดหมางอันใดกัน ข้าไม่สนใจด้วยว่าท่านกำลังพูดถึงวิธีการเข้ารอบที่อัปยศในรูปแบบใด นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน แต่ได้โปรดระมัดระวังคำพูดเกี่ยวกับสถานศึกษากระบี่ที่สาม ท่านมีสถานะเป็นถึงลูกศิษย์จากสถานศึกษากระบี่หลวง ไม่ควรทำลายภาพลักษณ์สถาบันอื่นเช่นนี้ เพราะมันจะทำให้สถานศึกษากระบี่หลวงดูแย่ไปด้วย”
ไป๋ชินหยุนยึดถือสถานศึกษากระบี่ที่สามเป็นเหมือนบ้านของตนเอง
นางไม่มีวันยอมให้ผู้ใดมาดูหมิ่นศักดิ์ศรีของสถาบันเด็ดขาด
นี่คือคติประจำใจของเด็กสาว
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับไปมองนางด้วยแววตาเหลือเชื่อ
“ยัยนี่ก็มีสองบุคลิกอีกคนแล้วหรือไงเนี่ย? หรือว่าเป็นแฟนตัวยงของสถานศึกษากระบี่ที่สามนะ?”
เซี่ยโหวฉ่งซึ่งยืนอยู่ด้านตรงข้าม เกิดอาการใบหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำโต้กลับของเด็กสาว
เขาย่อมไม่อยากทำให้สถาบันของตนเองดูแย่
คำพูดของเด็กสาวทำให้เซี่ยโหวฉ่งทั้งอับอายทั้งโกรธแค้น
“เฮอะ เด็กน้อย เจ้าคงไม่รู้กระมังว่าหลินเป่ยเฉินใช้วิธีใด ถึงผ่านเข้ารอบได้สำเร็จ?” เซี่ยโหวฉ่งพูดด้วยความฉุนเฉียว “เขาอาศัยรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลา หลอกล่อให้หลิงเฉิน ผู้เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งประจำเมืองหยุนเมิ่งหลงรักหัวปักหัวปำ จนนางต้องมอบเข็มกลัดดาราทั้ง 80 ชิ้นให้กับเขา…”
เสียงของเด็กหนุ่มยังไม่ทันจางหาย กลุ่มคนดูก็ส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาแล้ว
ดวงตามากมายหลายคู่จ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินเป็นหนึ่งเดียว
ยอดมือกระบี่และขุนนางอีกหลายชีวิต ที่กำลังให้ความสนใจมายังการโต้เถียงของเด็กหนุ่ม พลันมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
หลินเป่ยเฉินมีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาสมบูรณ์แบบ เป็นความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้
หากโลกนี้จะมีเทพบุตรที่จุติลงมาจากสวรรค์ เทพบุตรคนนั้นก็ต้องมีหน้าตาเหมือนกับหลินเป่ยเฉิน
แต่สิ่งสำคัญก็คือ เด็กหนุ่มได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแกะดำไร้ความสามารถ ลุ่มหลงในสุรานารีมาตลอด เขาอาศัยความเป็นบุตรชายของขุนนางนักรบแห่งสวรรค์ กระทำเรื่องราวตามใจชอบในเมืองหยุนเมิ่งมานานปี เด็กสาวหน้าตาดีผู้บริสุทธิ์งดงามจำนวนนับไม่ถ้วน ต่างก็เคยถูกหลินเป่ยเฉินหลอกให้หลงรักหัวปักหัวปำ เพราะฉะนั้น เขาจึงมีประสบการณ์ในด้านหลอกลวงสตรีเป็นอย่างดี
เพียงได้ยินสิ่งที่เซี่ยโหวฉ่งพูดออกมา คนจำนวนมากก็หลงเชื่อโดยทันที
ไป๋ชินหยุนผู้เย็นชาขมวดคิ้วและถามว่า “ท่านมีหลักฐานหรือไม่?”
เดิมที เด็กสาวขุ่นเคืองใจที่หลินเป่ยเฉินทำเย็นชาใส่นางระหว่างที่อยู่ในห้องโดยสารของรถม้า แม้ว่านางจะพยายามชวนคุยหลายครั้งเขาก็ไม่เคยสนใจ ดังนั้น ไป๋ชินหยุนจึงอดคล้อยตามคำพูดของเซี่ยโหวฉ่งไม่ได้เช่นกัน
“หลักฐาน?” เซี่ยโหวฉ่งระเบิดเสียงหัวเราะอีกครั้ง “เรื่องแบบนี้จำเป็นต้องใช้หลักฐานด้วยหรือ? หลินเป่ยเฉินไร้ยางอายถึงขนาดที่นำเข็มกลัดดารามาขายระหว่างการแข่งขัน ทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขันที่ผ่านมา ต่างก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี”
“ขายเข็มกลัดดาราอย่างนั้นหรือ?”
ไป๋ชินหยุนถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มทลายลงมา
“หลินเป่ยเฉิน ท่านทำจริงหรือเปล่า?”
นางหันกลับไปมองหน้าหลินเป่ยเฉิน
คนถูกถามยักไหล่หยึก แล้วตอบว่า “ใช่ ข้าขายเข็มกลัดดาราพวกนั้นจริงๆ มันไม่ได้ผิดกฏเสียหน่อย”
“ในที่สุด เจ้าก็ยอมรับแล้วสินะ อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่า คนที่มีฝีมือต่ำต้อยอย่างเจ้า จะหาเข็มกลัดดาราเจอด้วยตัวเองถึง 80 ชิ้นได้อย่างไร? เจ้าคงอาศัยความแข็งแกร่งของแม่นางหลิงเฉิน หลอกใช้ความรักที่บริสุทธิ์ของนาง ทำให้นางต้องมอบเข็มกลัดทั้งหมดให้กับเจ้า…” เซี่ยโหวฉ่งหัวเราะเยาะเย้ยหยัน
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต เสแสร้งแกล้งทำเป็นดีใจ พูดว่า “จริงด้วยสิ! เจ้าพูดถูก! นี่เป็นความคิดที่ดีมาก ทำไมตอนนั้นข้าถึงนึกไม่ได้นะ? เสียดายชะมัดที่ไม่ได้ใช้ใบหน้าหล่อเหลาให้คุ้มค่า ให้ตายเถอะ ต้องขอบคุณเจ้ามากที่ย้ำเตือน คราวหน้าข้าจะใช้วิธีนี้ก็แล้วกัน”
เกิดความเงียบงันตามมาทันที
ไป๋ชินหยุนเบิกตาโตมากขึ้นกว่าเดิม
เหล่าขุนนางผู้สูงศักดิ์และสุดยอดมือกระบี่ต่างก็พูดอะไรไม่ออก
แม้แต่เซี่ยโหวฉ่งก็ทำอะไรไม่ถูก
เมื่อไม่มียางอาย ก็สามารถทำทุกอย่างได้เสมอ
ถ้อยคำยั่วโมโหของเขาใช้ไม่ได้ผล หลินเป่ยเฉินไร้ยางอายมากเกินไปจนไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย
“ข้าจะทำอย่างไรต่อไปดี? หลินเป่ยเฉิน เจ้ามันเป็นคนที่ไร้ยางอายที่สุดในเมืองโดยแท้ เจ้ามันเป็นเศษขยะไร้ค่า ไม่สมควรมาอยู่ที่นี่แม้แต่น้อย แม้แต่คำพูดของข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้…” ในที่สุด เซี่ยโหวฉ่งก็ตัดสินใจหยุดพูดกับตัวเอง ชักกระบี่ออกมาพร้อมกับตะโกนว่า “เรามาดวลกระบี่กัน! ถ้าเจ้าไม่กล้าสู้กับข้า ก็จงไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ อย่าได้คิดมาหลอกลวงผู้อื่นอีก เจ้าจะทำให้ภาพลักษณ์ของพวกเราดูแย่ไปด้วย”
หลินเป่ยเฉินยกมือแตะคางตัวเอง
“เล่นใหญ่สักหน่อยดีไหมวะ? ก่อเรื่องสักเล็กน้อยพอประมาณ อาจารย์ติงจะได้ออกมาดู”
“เจ้าชื่อเซี่ยโหวฉ่งใช่ไหม?” หลินเป่ยเฉินลดมือลงมาแตะด้ามกระบี่วิหคคราม พูดว่า “ตกลง เรามาประลองกัน ฝีมือต่ำต้อยอย่างเจ้า ข้าสามารถเอาชนะได้ด้วยมือเดียวด้วยซ้ำ เอาเป็นว่า ข้าจะเปิดโอกาสให้เจ้าได้บุกเข้ามาโจมตีก่อน หากเจ้าสามารถรับมือข้าได้ครบ 3 กระบวนท่า ให้นับว่าข้าพ่ายแพ้แล้ว”
สามหาวนัก!
คำพูดของหลินเป่ยเฉินทำให้กลุ่มคนดูส่งเสียงฮือฮาออกมาอีกครั้ง
บรรดาลูกศิษย์อัจฉริยะที่รวมตัวอยู่ในศาลาริมน้ำพร้อมใจกันระเบิดเสียงหัวเราะอย่างดูถูกเหยียดหยาม
“ช่างโอหังเหลือเกิน”
“นับว่าเป็นการรนหาที่ตายโดยแท้”
“อาศัยมีดีแค่หน้าตา เหตุไฉนถึงได้กล้ากล่าววาจาใหญ่โตเพียงนี้?”
“พี่เซี่ยโหว อย่าเสียเวลาพูดคุยกับมันอีกต่อไปเลย รีบสั่งสอนมันเถอะ”
บางคนก็อยากเห็นหลินเป่ยเฉินได้รับความปราชัยจนกระอักเลือดแทบตายแล้ว
บุคคลที่หยิ่งผยองเช่นนี้ สมควรได้รับบทเรียนหนักๆ เพื่อให้รู้ซึ้งว่าลูกศิษย์อัจฉริยะประจำเมืองหยุนเมิ่งตัวจริงน่ากลัวขนาดไหน
“เจ้ากำลังทำให้ตัวเองเดือดร้อนแท้ๆ” เซี่ยโหวฉ่งหัวเราะในลำคอและกล่าวว่า “ข้าจะทำให้เจ้าต้องจดจำวันนี้ไปตลอดชีวิต”
ควับ!
ฉับพลันนั้น เซี่ยโหวฉ่งก็ได้ตวัดกระบี่แทงออกมาแล้ว