ตอนที่ 209 ข้าแค่ถามทาง
“อึก!”
เฟิ่งจิ่วกลิ้งลงจากเนินเขามาถึงใต้เนินและชนเข้ากับลำต้นไม้ต้นหนึ่งถึงจะหยุดลง ความเจ็บนั้นทำให้เธอส่งเสียงอู้อี้ ล้มอยู่บนพื้นสักพักไม่สามารถลุกขึ้นมาได้
จนกระทั่งผ่านไปสักพัก เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ นอนหงายมองท้องฟ้า คิดว่าตัวเองหนีออกมาจากสถานที่อย่างตำหนักยมราชได้ช่างไม่ง่ายดายเลยจริงๆ
หนีออกมาจากค่ายกลของตำหนักยมราชแล้วถึงพบว่าภายนอกถูกล้อมด้วยภูเขาทั้งสามด้าน มีเพียงทางออกเดียว ถ้าอยากจะหนีย่อมไม่อาจวิ่งไปทางนั้น ดังนั้นเธอจึงปีนข้ามภูเขาลูกนั้นเสีย ผ่านไปหนึ่งคืน เดินผ่านเกือบหลายสิบค่ายกลกับอีกหนึ่งเขตอาคมถึงจะมาถึงที่นี่
โชคยังดี พลังเร้นลับที่ถูกผนึกไว้ เมื่อคืนเธอใช้พลังวิญญาณเปิดออกเรียบร้อย ไม่อย่างนั้นเดาว่ารอบนี้คงถูกจับกลับไปแล้ว
หลังพักผ่อนสักครู่ เฟิ่งจิ่วก็ลุกขึ้นมองไปรอบๆ หาทิศทางเดินต่อไปตามความรู้สึก คิดว่าหลังจากออกไปจะติดต่อกับเหลิ่งซวงเสียก่อน ไม่ให้นางกังวลใจที่ไม่ได้ข่าวคราวเธอมานานถึงเพียงนี้
แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เธอนึกไม่ถึงคือ เธอยังไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน จนกระทั่งภาพน่าระทึกที่พบเห็นต่อมาทำให้เธอมึนงงไปบ้าง…
หากเธอตอนนี้อยู่บนฟ้าสูง ต้องเห็นแน่ว่าบริเวณรอบๆ ด้านกว่าร้อยลี้ล้วนเป็นผืนป่าไม้ อยากจะเดินออกไปหรือ? เหอะ คงไม่เจ็ดก็แปดวัน ไม่ต้องคิดถึงเลย
เฟิ่งจิ่วเดินตัวคนเดียวอยู่กลางป่า มองซ้ายแลขวา คิดว่าสถานที่แห่งนี้แปลกประหลาดนิดหน่อย ทุกช่วงเวลาหนึ่งจะมีสถานที่ที่มีธงผืนเล็กหลากสีปักไว้ และทุกช่วงถนนจะมีพวกค่ายกลปรากฏขึ้น มีทั้งค่ายกลที่ยังมีอันตรายภายในและพวกค่ายกลวงกตบางส่วน
“น่าแปลก ที่นี่เป็นที่ไหนกันแน่?”
เฟิ่งจิ่วเดินพลางพูดพึมพำ ทันใดนั้นก็เห็นด้านหน้ามีชายหนุ่มสองคนประคองกันมานั่งลงใต้ต้นไม้ขณะหอบหายใจถี่ ดวงตาเธอเป็นประกาย เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหา “คุณชายทั้งสอง ขอถามสักหน่อย…”
ยังไม่ทันพูดจบ หลังจากสองคนนั้นได้ยินเสียง ก็แทบจะลุกขึ้นวิ่งไปอีกทางอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง
เธออึ้งไปเล็กน้อย เดินอยู่ที่นี่มาครึ่งค่อนวันถึงจะพบสองคนนี้ ยังไงก็ปล่อยพวกเขาหนีไปไม่ได้ ดังนั้นจึงไล่ตามพลางตะโกนว่า “นี่! คุณชาย พวกท่านอย่าเพิ่งหนีสิ! ข้าแค่จะถามทางเองนะ!”
แต่เธอไม่ตะโกนยังดีกว่า พอตะโกน สองคนนั้นก็ยิ่งวิ่งเร็วขึ้น
“ฮู่! ทำอะไรกันน่ะ!” เธอขมวดคิ้วถอนหายใจ มองร่างทั้งสองนั้นและไม่รีบไล่ตามไปอีก แต่ตามอยู่ด้านหลังพวกเขาอย่างไม่รีบไม่ร้อน คิดว่าตามพวกเขาไปยังไงก็คงเดินออกไปได้?
ทว่าเฟิ่งจิ่วที่ไม่ร้อนใจ กลับทำให้ชายหนุ่มทั้งสองเป็นกังวลแทบแย่
“เจ้านั่นเป็นคนสำนักไหนกัน? ทำไมนานขนาดนี้แล้วยังตามพวกเรามาอีก เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”
คนหนึ่งวิ่งเสียจนเหงื่อท่วมศีรษะ สีหน้าตื่นตระหนก พอหันกลับไปเห็นร่างสีแดงด้านหลังห่างออกไปราวสามสิบเมตรยังตามอยู่อย่างเชื่องช้า ก็อดไม่ได้ร้องครวญ
“ฮู่! ข้าวิ่งไม่ไหวแล้ว ตายเป็นตายเถอะ!” ชายหนุ่มอีกคนที่ค่อนข้างอ้วนเอ่ย นั่งลงบนพื้น ถลึงตามองเฟิ่งจิ่วด้านหลังและตะโกนว่า “เจ้าเป็นคนสำนักใดกันแน่? ตามพวกเรามานานเพียงนี้ก็พอแล้ว!”
เห็นพวกเขาไม่หนีแล้ว เฟิ่งจิ่วจึงเร่งฝีเท้าเดินเข้ามา มองสองชายหนุ่มที่ตั้งท่าระวัง ฉีกยิ้มบอกว่า “ข้าแค่จะถามทาง พวกท่านวิ่งหนีอะไรกัน?”
“อะ อะไรนะ? ถาม ถามทาง?”
ทั้งสองต่างงุนงง จ้องอีกฝ่ายเขม็งด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย “ถามทางอะไร หรือเจ้าไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ใด?”
………………………………………………….
ตอนที่ 210 หลงมายังสนามฝึกวิชา
“เป็นที่ใด?”
เฟิ่งจิ่วมองพวกเขาด้วยความสงสัย “ข้าเห็นว่าในป่ามีธงเล็กหลากสี หนำซ้ำเดินมาครึ่งค่อนวันก็ยังออกไปไม่ได้ ที่นี่เป็นที่ใดกันแน่?”
ได้ยินคำพูดนี้ ในที่สุดทั้งสองคนก็เชื่อว่ามาถามทาง ตอนนี้ถึงจะถอนหายใจหนักๆ ชายหนุ่มที่ค่อนข้างอ้วนถลึงมองเด็กหนุ่ม เอ่ยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “ข้าว่าน้องชายก็ใจร้ายเหลือเกิน ไล่ตามพวกเรามาเสียนานเพื่อถามทาง? ทำเอาพวกข้าตกใจแทบตาย”
“เอ่อ…ที่นี่เป็นที่ใดกันแน่? ทำไมเห็นข้าแล้วต้องสับขาวิ่งหนีด้วย?” เฟิ่งจิ่วถามอย่างไม่เข้าใจ
“ที่นี่เป็นสนามฝึกวิชา ภายในป่าผืนนี้มีพวกคนร้ายกับผู้ฝึกวิชามารที่ทั้งสามสำนักรวมถึงสำนักศึกษาหมอกดาราจับตัวมาหลายปี พวกเราเป็นผู้ฝึกตนจากสำนักเดียวกัน เข้ามาฝึกวิชาเหมือนๆ ผู้ฝึกตนสำนักอื่นและสำนักศึกษาหมอกดารานั่นแหละ”
“เช่นนั้นพวกท่านหนีอะไรกัน?” เฟิ่งจิ่วเลิกคิ้วขึ้น ที่นี่เป็นสนามฝึกวิชางั้นรึ? มิน่าก่อนหน้านี้เธอถึงผ่านค่ายกลมามากมายเพียงนั้น ซ้ำยังมีเขตอาคมคุ้มกันนั่นอีก
หากไม่ใช่เพราะมีของวิเศษห้วงมิติติดตัว เดาว่าคงผ่านเขตอาคมนั้นมาไม่ได้แน่
“หากไม่ใช่เพราะพวกผู้ฝึกตนสมควรตายจากสำนักบุปผาหยกคิดจะปล้นสะดมและฆ่าคนล่ะก็!”
หนุ่มอ้วนผู้นั้นพูดด้วยความโมโห สีหน้าขุ่นเคือง “เดิมทีพวกเราพี่น้องสองสามคนร่วมทางมากับคนพวกนั้น ตลอดทางสังหารสัตว์ร้ายและวายร้ายผู้ฝึกฝนวิชามารได้ไม่น้อย แบ่งปันสิ่งของกันมากมาย แต่นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะเกิดความโลภ ละเมิดข้อตกลงระหว่างสำนักอื่นๆ และสำนักศึกษา ยังบอกอีกว่าฆ่าล้างไปก็ไม่มีใครรู้ คนเลวทรามสมควรตายพวกนั้น! พวกเราออกไปแล้วจะรายงานกับท่านอาจารย์เพื่อทวงคืนความยุติธรรมแน่นอน!”
“อ้อ!” เฟิ่งจิ่วพยักหน้า แสดงท่าทีว่าเข้าใจ ถามอีกว่า “พวกท่านยังไม่บอกข้าเลยว่าจะออกไปได้ยังไง?”
“อยากออกไปไม่ง่ายดายเช่นนั้น” ทั้งสองกล่าวอย่างท้อใจ “ที่นี่วางเขตอาคมไว้คนภายนอกเข้ามาไม่ได้แน่ พวกด้านในนี้เองก็ออกไปไม่ได้…”
สิ้นเสียง ทั้งสองก็คล้ายจะตั้งสติกลับมาได้ มองเฟิ่งจิ่วด้วยความตกตะลึง “เจ้าเข้ามาได้ยังไง เจ้าไม่ใช่คนของสำนักวิชาหรือสำนักศึกษา ไม่ใช่ผู้ร้ายหรือผู้ฝึกวิชามาร แล้วเจ้าเข้ามาได้ยังไง?”
เฟิ่งจิ่วลูบๆ คาง คิดไปคิดมาก็ชำเลืองมองทั้งสอง เอ่ยว่า “อันที่จริงข้าบอกพวกท่านแล้วกัน ข้าเป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษาหมอกดารา แต่กระทำผิดโดยไม่ระวัง ถึงถูกสบโอกาสทำให้สลบแล้วโยนเข้ามา ดังนั้นแม้แต่ที่นี่คือที่ไหนก็ยังไม่รู้เลย”
“เจ้าเป็นศิษย์สำนักศึกษาหมอกดารา?” ชายหนุ่มคนที่ผอมหน่อยมองมาด้วยใบหน้าเคลือบแคลงใจ “งั้นทำไมเจ้าถึงไม่สวมชุดลูกศิษย์ของสำนักศึกษาหมอกดารา?”
เฟิ่งจิ่วกลอกตา เอ่ยอย่างหมดคำพูดว่า “ก็บอกว่าข้าถูกทำให้สลบแล้วโยนเข้ามาไง จะสวมชุดลูกศิษย์ได้อย่างไร?”
ทั้งสองไม่รู้เรื่องภายในสำนักศึกษาหมอกดารามากนัก ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ค่อยคิดว่าด้านในนี้วางเขตอาคมไว้เป็นไปไม่ได้ที่คนภายนอกจะหลงเข้ามา คงเป็นอย่างที่เด็กหนุ่มพูดจริงๆ เขาทำผิดจึงถูกโยนเข้ามาข้างใน ทั้งสองมองหน้ากันแวบหนึ่ง ก่อนไม่ถามอะไรอีก
หนุ่มอ้วนมองเฟิ่งจิ่ว กล่าวว่า “จะต้องออกไปต้องสะสมแต้มประสบการณ์ให้ครบหนึ่งพัน ข้าว่าอย่างเจ้านี่ เดาว่าคงไม่มีแม้แต่ป้ายหยกประสบการณ์”
พูดได้เลยว่าเฟิ่งจิ่วเหมือนคนตาบอด ไม่รู้เรื่องสำนักศึกษาหรือสำนักวิชาพวกนั้นเลยจริงๆ ด้วยเหตุนี้เมื่อได้ยินพวกเขาพูดเช่นนี้ จึงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างอดไม่ได้ “สะสมยังไง? เกี่ยวอะไรกับป้ายหยกประสบการณ์ด้วย?”
ได้ยินถึงตรงนี้ มุมปากทั้งสองคนก็กระตุก มองอีกฝ่ายอย่างเวทนา “ข้าว่านะน้องชาย แม้แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่รู้ เจ้าคงไม่ได้เป็นแค่ศิษย์ชุดฟ้าที่ระดับต่ำสุดในสำนักศึกษาหมอกดาราหรอกกระมัง?”
………………………………………………….