ตอนที่ 211 แค่มือใหม่คนหนึ่ง
เฟิ่งจิ่วยิ้มเก้อๆ บอกว่า “พี่ชายทั้งสองช่วยบอกข้าหน่อยเถอะ”
“ป้ายหยกประสบการณ์ได้ชื่อมู่เซียนเจ้าสำนักศึกษาหมอกดาราฝังดวงจิตไว้ด้วยตัวเอง แค่หยดเลือดลงไป เมื่อพวกเราฆ่าสัตว์ร้ายหรือคนร้ายผู้ฝึกวิชามารด้านในป่าฝึกฝนวิชานี้ ป้ายหยกจะบันทึกค่าประสบการณ์ด้วยตัวเอง หลังจากครบหนึ่งพันแต้มการฝึกครั้งนี้ถึงจะสิ้นสุด ไม่เช่นนั้นต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดออกไปไม่ได้”
พูดถึงตรงนี้ ชายหนุ่มร่างอ้วนก็ชะงัก เอ่ยว่า “ฆ่าสัตว์ร้ายระดับหนึ่งถึงสองจะได้ค่าประสบการณ์สิบแต้ม ระดับสามถึงสี่ได้สามสิบแต้ม แต่กำลังต่อสู้ของสัตว์ร้ายระดับสามถึงสี่เทียบเท่าพลังระดับปรมาจารย์นักรบช่วงที่หกถึงเจ็ดของมนุษย์ เจ้าว่าเช่นนี้ต้องฆ่ากี่ตัวถึงจะสั่งสมค่าประสบการณ์ได้หนึ่งพันแต้ม?”
เฟิ่งจิ่วฟังแล้วอึ้งไป ถามว่า “ไม่มีสัตว์ร้ายที่แต้มประสบการณ์สูงๆ หน่อยหรือ?”
“ฮ่า เจ้าดูสิ นี่ก็แค่มือใหม่คนหนึ่งเอง!” ชายอ้วนกระทุ้งคู่หูข้างกาย สองคนฉีกยิ้มกว้าง
มือใหม่? เฟิ่งจิ่วเลิกคิ้ว แอบคิดว่าเธอเป็นมือใหม่ที่ยังขาดประสบการณ์จริงๆ นั่นแหละ ของจำพวกสำนักศึกษาหรือสำนักวิชาของแคว้นเหินเวหานี้ ดูท่ากลับไปต้องศึกษาเพิ่มเติมเสียหน่อย
“ข้าจะบอกเจ้านะน้องชาย ทางที่ดีที่สุดขอให้เจ้าอย่าได้เจอสัตว์ร้ายระดับห้าขึ้นไปกับผู้ฝึกวิชามารระดับยอดปรมาจารย์พลังวิญญาณเลย มิเช่นนั้นก็มีเพียงความตายเท่านั้น จะพูดถึงค่าประสบการณ์อะไรเล่า? ยังมีอีก ค่าประสบการณ์ไม่สามารถขโมยกันได้ ที่ขโมยได้ก็แค่พวกข้าวของมีราคาบนร่างสัตว์ร้ายที่ถูกฆ่า”
ได้ยินเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วถามอีกว่า “สัตว์ร้ายระดับห้าขึ้นไปกับผู้ฝึกวิชามารระดับยอดปรมาจารย์พลังวิญญาณได้ค่าประสบการณ์เท่าไหร่?”
“หนึ่งร้อยแต้ม แต่ข้าจะบอกเจ้าให้ ถ้าเจอต้องรีบหนีให้ไว อย่าสู้กันตัวต่อตัว เจ้าดูสิ ผู้ฝึกตนระดับปรมาจารย์พลังวิญญาณขั้นสูงสุดเช่นพวกข้าสองคนยังถูกข่มเสียจนขวัญกระเจิงเพียงนี้ ก็รู้แล้วว่าที่นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ” หนุ่มอ้วนพูด ก่อนจะหยิบป้ายหยกสีขาวจากในแขนเสื้อยื่นให้เฟิ่งจิ่ว
“อันนี้ข้าให้เจ้า! ข้าขอท่านอาจารย์ตั้งนานกว่าจะได้มาติดตัวเพิ่มอีกชิ้น เผื่อกรณีทำหายจะได้ใช้”
เฟิ่งจิ่วรับป้ายหยกสีขาวนั้นไว้ เผยรอยยิ้มออกมา “ขอบคุณท่านมาก ข้ายังไม่ได้ถามเลย พี่ชายทั้งสองมีนามว่าอะไร?”
“หึๆ คุยกันมาเสียนานยังไม่แนะนำตัว ข้าชื่อไช่หย่ง ฉายาเจ้าอ้วน เรียกข้าว่าเจ้าอ้วนก็ได้” เจ้าอ้วนพูดพลางหยีตายิ้ม
“ข้าแซ่เฉิน ชื่อเสวียไห่ เป็นพี่น้องร่วมอาจารย์กับเจ้าอ้วน” ชายหนุ่มร่างผอมบอกบ้าง
“ข้ารึ แหะๆ” เธอยิ้มตาหยี มองทั้งสองแวบหนึ่งและกล่าวว่า “ข้าชื่อเฟิ่งจิ่ว พวกท่านเรียกข้าเสี่ยวจิ่วก็พอ”
“เหอะๆ มองไม่ออกเลยว่าพวกเจ้าว่างนัก! นึกไม่ถึงว่าจะยังมาคุยเล่นกันตรงนี้อีก?”
น้ำเสียงน่ากลัวดังเข้ามา เจ้าอ้วนกับเฉินเสวียไห่ตกใจเสียจนลุกพรวด “คนแซ่หลี่! เจ้าอีกแล้ว!” บนใบหน้าพวกเขานอกจากความโกรธเคืองแล้ว ยังมีความระมัดระวังและตื่นตระหนก
เฟิ่งจิ่วหันกลับไปมอง เห็นคนที่มาเป็นสี่บุรุษหนึ่งสตรี สวมเสื้อคลุมมีเอกลักษณ์สีขาวเหมือนกันหมด ชายผู้เป็นหัวโจกท่าทางอายุราวยี่สิบ พละกำลังกลับเป็นถึงระดับยอดปรมาจารย์พลังวิญญาณช่วงที่สอง ส่วนสามคนด้านหลังเป็นระดับประมาจารย์พลังวิญญาณขั้นสูงสุด
พลังเทียบกับพวกเจ้าอ้วนแล้วแตกต่างกันชัดเจน มิน่าพอเห็นคนพวกนี้ถึงได้หวาดกลัวเช่นนั้น
ดวงตาที่เรียวยาวและชั่วร้ายของชายผู้เป็นหัวหน้าหรี่ลงครึ่งหนึ่ง เหลือบมองพวกเขาสามคน สายตามองผ่านร่างเฟิ่งจิ่วที่สวมชุดแดง เห็นเนื้อตัวเลอะเทอะสกปรก บนหน้าผากยาทาสีเขียวปนดำ แม้สงสัยว่าเด็กหนุ่มเป็นคนสำนักไหน แต่เห็นว่าพลังไม่เท่าไหร่ จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
………………………………………………….
ตอนที่ 212 กลับกลายเป็นศัตรู!
“ไม่นึกจริงๆ ว่าพวกเราจะได้พบหน้ากันอีกรวดเร็วเช่นนี้!”
ชายผู้นั้นกอดอกมองพวกเขา สายตาพินิจมองร่างเจ้าอ้วนกับเฉินเสวียไห่ไปมา เห็นสีหน้าทั้งสองคนหน้าซีดเผือดเล็กน้อย ความหวาดผวาในดวงตาไม่อาจปกปิดไว้ ก็ผุดรอยยิ้มที่มีเจตนาร้ายออกมาอย่างอดไม่ได้
“ดูท่าพวกเจ้าก็รู้ดีว่าหนีไม่พ้น ก็ใช่ เพราะพวกเจ้าสองคนเป็นแค่ผู้ฝึกตนระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุด จะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเราได้ที่ไหน!”
“ขอแค่พวกเจ้าปล่อยเราไป จะยกของในตัวทั้งหมดให้ก็ได้ และรับประกันว่าจะไม่พูดเรื่องที่นี่ออกไป” เฉินเสวียไห่กล่าวอย่างฝืนทำใจเย็น
“ฮ่าๆๆ!”
พวกนั้นแหงนหน้าหัวเราะลั่น สตรีในกลุ่มนั้นที่รูปร่างมีน้ำมีนวลเหลือบมองพวกเขาอย่างเหยียดหยาม บอกว่า “ฆ่าพวกเจ้าซะ ของในตัวก็จะเป็นของพวกข้า หนำซ้ำคนตายต่างหากถึงจะพูดไม่ได้”
“ใช่ ไม่ผิดๆ” ชายที่เป็นหัวหน้ายื่นมือโอบหญิงผู้นั้นไว้ในอ้อมแขน พลางมองทั้งสองที่สีหน้าดูไม่ได้ แววตาดุร้ายฉายประกายหม่นวาบผ่าน เอ่ยว่า “แต่ว่าข้ามีทางรอดหนึ่งให้พวกเจ้า”
น้ำเสียงเขาชะงักไป เมื่อเห็นสองคนนั้นมองมาด้วยแววตามีความหวัง เขาก็ยิ้มชั่วร้าย “ขอแค่พวกเจ้าฆ่าอีกฝ่ายตายเสีย เช่นนั้นคนที่ยังมีชีวิตอยู่ข้าจะปล่อยไป หนำซ้ำจะไม่ไล่ตามฆ่าอีก พวกเจ้าคิดเช่นไร?”
เมื่อเฟิ่งจิ่วข้างๆ ได้ยินคำพูดนี้ก็เลิกคิ้วเบาๆ สายตากวาดมองแววตาชั่วร้ายนั้นแวบหนึ่ง แล้วมองไปทางเจ้าอ้วนกับเฉินเสวียไห่ อยากรู้เหมือนกันว่าในสถานการณ์เช่นนี้ทั้งสองจะเลือกอย่างไร
“เจ้าอย่าคิดทำพวกเราแตกแยกกัน! พวกเราไม่ทำตามที่เจ้าหวังหรอก!” เจ้าอ้วนตะโกนลั่นอย่างขุ่นเคือง กำหมัดแน่นพลางดึงกลิ่นอายพลังวิญญาณในร่างขึ้นมา แม้รู้ดีว่าไม่อาจชนะก็จะสู้ยิบตา!
ทว่า เมื่อนึกว่าข้างๆ ด้านหลังยังมีเด็กหนุ่มที่เพิ่งรู้จักกันอีก ตอนนี้จึงหันข้างเล็กน้อย กดเสียงเอ่ยว่า “เสี่ยวจิ่ว เจ้ารีบหนีไปซะเถอะ!”
แต่คำพูดของบุรุษชั่วช้าผู้นั้นกลับทำให้จิตใจเฉินเสวียไห่หวั่นไหว อาจเพราะรู้ว่าต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นมือเขาจึงจับข้างเอว ในใจกำลังขัดแย้ง เขามองไปทางคนแซ่หลี่ สบกับแววตาที่เหมือนจะยุยงเข้าพอดี จึงกัดฟันตะโกนลั่น
“เจ้าอ้วน ขอโทษด้วย!”
ขณะเปล่งเสียงก็ดึงมีดสั้นข้างเอวออกมาแล้วหมุนไปหาเจ้าอ้วนที่กำลังพูดกับเฟิ่งจิ่ว จากนั้นแทงไปยังแผ่นหลังบริเวณหัวใจอย่างอุกฉกรรจ์
“อ๊ะ!”
พอเสียงอุทานหลุดออกจากปาก เจ้าอ้วนก็ถูกเฟิ่งจิ่วดึงตัวไป ร่างถลาไปด้านหน้าอย่างเสียศูนย์ถ่วง ก่อนจะล้มลงบนพื้น
ภาพเช่นนี้ไม่เพียงเจ้าอ้วนจะตกใจ แม้แต่เฉินเสวียไห่ที่แทงมีดออกไปยังผงะ มองเฟิ่งจิ่วในชุดแดงตรงหน้าด้วยความตะลึง ขยับริมฝีปากเล็กน้อย กัดฟันตวัดมีดสั้นพุ่งไปด้านหน้าอีกครั้ง และแทงไปยังเจ้าอ้วนที่ล้มฟุบอยู่บนพื้น
เห็นเช่นนี้เฟิ่งจิ่วก็เลิกคิ้วขึ้น มุมปากยกขึ้นเบาๆ กล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า “ฆ่าเจ้าอ้วนไป พวกมันก็ไม่ปล่อยเจ้าหรอก”
เวลานี้เจ้าอ้วนถึงได้สติ เห็นพรรคพวกจับมีดสั้นแทงมาหา สีหน้าเขาทั้งผิดหวังและเศร้าใจ “อาไห่! เจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไร!” แม้จะทรุดนั่งอยู่บนพื้น แต่เขาที่กรุ่นโกรธยังยกเท้าขึ้นถีบ เท้าที่แฝงด้วยพลังวิญญาณถีบอีกฝ่ายถอยออกไปหลายก้าวตรงๆ
เมื่อสังหารเจ้าอ้วนพลาดสองครั้งติดต่อกัน เฉินเสวียไห่ถลึงมองเฟิ่งจิ่วด้วยความอับอายจนโมโห ตะโกนลั่นราวกับเสียสติ โผไปหาเฟิ่งจิ่วที่กอดอกเหมือนไม่เกี่ยวอะไรด้วย
“เป็นเพราะเจ้าทั้งนั้น! ข้าจะฆ่าเจ้า!”
………………………………………………….