ตอนที่ 213 มือฉกาจคนหนึ่ง!
หลายคนด้านนั้นสีหน้าท่าทางเหมือนชมละครปาหี่ ส่วนเจ้าอ้วนเห็นแล้วกลับตกตะลึง รีบร้อนลุกยืนขึ้นมาตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว “อาไห่! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
เฟิ่งจิ่วเป็นแค่มือใหม่ที่เพิ่งมาเข้าร่วม ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของอาไห่ที่เป็นถึงปรมาจารย์พลังวิญญาณขั้นสูงสุดได้?
นึกถึงตรงนี้ เขากำลังจะออกหน้าห้ามปราม แต่ภาพต่อมากลับทำให้เขาตกใจจนแทบอ้าปากค้าง
เฟิ่งจิ่วเลิกคิ้ว เหลือบมองเฉินเสวียไห่ที่อับอายจนน่าโมโหอย่างยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เมื่อเห็นเขาถือมีดสั้นแทงมาทางตนพร้อมด้วยกลิ่นอายพลังวิญญาณก็ไม่คิดหลบหลีก ยืนอยู่เช่นนั้น แต่เมื่อมีดสั้นแทงลงมาด้วยท่าทางดุร้าย กลับเห็นเธอยกมือขึ้นสะบัดเบาๆ อีกมือหนึ่งก็คว้าแขนฝ่ายตรงข้ามหักลง
“กร๊อบ!”
“อึก! อ๊าก…”
เสียงสูดหายใจดังขึ้นตามด้วยเสียงกรีดร้อง ตัดผ่านอากาศลอยมาเข้าหูทุกคน เสียงกระดูกหักดังกร๊อบนั้น รวมถึงใบหน้าเจ็บปวดทรมานและการเขย่งปลายเท้าหันหนีกะทันหันของเฉินเสวียไห่ ทำให้ทุกคนมองไปทางเด็กหนุ่มชุดแดงด้วยความตกใจและตะลึงงัน
เมื่อสบเข้ากับแววตาเย็นเยือกที่เฉยเมยแต่แฝงด้วยจิตสังหารรุนแรงของอีกฝ่าย ทุกคนต่างตื่นตกใจ ความรู้สึกเย็นเยียบแล่นจากใต้ฝ่าเท้าตรงขึ้นมาถึงหัวใจ ทำให้พวกเขาหนาวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม
“เจ้าจะฆ่าข้าทำไม?”
น้ำเสียงไม่แยแสมีความเย็นชาอยู่บางส่วน ดวงตาใสกระจ่างหรี่ลงพลางจับจ้องร่างบุรุษหนุ่มที่หน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “แม้ข้าเป็นเพียงมือใหม่ที่เพิ่งเผยตัว แต่ว่าจะฆ่าข้าก็ไม่ง่ายดายเช่นนั้น เจ้ารู้หรือไม่?”
มือใหม่รึ?
หลายคนอีกด้านมุมปากกระตุก ถอยหลังไปพลางจ้องหนุ่มน้อยชุดแดงอย่างระวังตัว แอบคิดว่ามือใหม่จะกำราบผู้ฝึกตนระดับปรมาจารย์พลังวิญญาณขั้นสูงสุดได้ด้วยมือข้างเดียวเชียวหรือ? อย่ามาหลอกกันเลย หากเขาเป็นมือใหม่จริงคงถูกปาดคอไปนานแล้ว
“เฮือก! อ๊าก…”
เฉินเสวียไห่เจ็บปวดทุรนทุราย อยากดิ้นให้หลุด กลับพบว่ามือถูกเด็กหนุ่มคว้าไว้ไม่อาจดิ้นหนีได้เลย ถึงขั้นเพียงขยับกระดูกก็เคลื่อน ทำเอาเหงื่อเย็นไหล่อาบ
ตอนนี้เขานึกถึงเรื่องที่พวกตนเมินเฉยมาตลอด
เด็กหนุ่มตามอยู่ด้านหลังได้อย่างไม่รีบไม่ร้อนเนิ่นนานเพียงนั้น จะเป็นมือใหม่ไปได้อย่างไร? ไม่แน่ พลังอาจอยู่เหนือกว่าไกลโข!
ใช่! ต้องเป็นแบบนั้นแน่! ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะมองวรยุทธ์เขาไม่ออกได้อย่างไร?
ช่วงเวลานี้ เขาสำนึกเสียใจนัก บางทีเขาอาจไม่ต้องทำเช่นนี้ เมื่อถึงจุดคับขันหนุ่มน้อยจะลงมือช่วยพวกเขาเอง ทว่าตอนนี้…
“เสี่ยวจิ่ว ข้าสำนึกผิดแล้ว ยกโทษให้ข้าด้วย! ข้าแค่เลอะเลือนไปชั่ววูบ เจ้าให้อภัยข้าเถอะ!”
เขาอดกลั้นความเจ็บเสียดกระดูกบนมือพลางรีบเว้าวอน พร้อมมองไปยังเจ้าอ้วนที่นิ่งอึ้งไม่ต่างกัน “เจ้าอ้วน! เจ้าอ้วน! ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ แค่สับสนไปชั่วขณะ เจ้าอ้วน เจ้าช่วยพูดให้ข้าทีสิ!”
เจ้าอ้วนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สงบความรู้สึกตะลึง ยามกำลังจะพูดก็ได้ยินเสียงเฟิ่งจิ่วลอยมาอย่างเย็นเยือก
“สำหรับพวกคนที่อยากฆ่าข้า ปกติข้าไม่ให้ความเมตตาหรอกนะ”
เมื่อสิ้นเสียง ทันใดนั้นทุกคนหายใจไม่ออก เห็นเพียงร่างสีแดงนั้นหักคอเฉินเสวียไห่เสียงดังกร๊อบด้วยท่ามือประหลาด ปลิดชีวิตของเขาไป…
เห็นเฉินเสวียไห่ล้มลงโดยไม่แม้แต่จะส่งเสียงร้อง เจ้าอ้วนกลืนน้ำลายลงคอ สีหน้าตกใจหวาดกลัว
สวรรค์!
นะ นี่เขาเป็นเด็กใหม่อย่างที่ว่าจริงๆ รึ? นี่มันมือฉกาจชัดๆ เลยไม่ใช่หรือ!
………………………………………………….
ตอนที่ 214 ตกใจเกินเหตุ
เมื่อคนพวกนั้นเห็นภาพนี้กำลังจะสับเท้าวิ่งหนีโดยไว ก็ได้ยินน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยของเด็กหนุ่มชุดแดงลอยมาพร้อมกับกลิ่นอายอันตราย
“พวกเจ้าคิดหนีรึ?”
ฝีเท้าพวกเขาหยุดนิ่ง อารมณ์บนใบหน้าแข็งกระด้างเล็กน้อย อาจเพราะความเด็ดขาดดุดันของเด็กหนุ่มชุดแดงทำให้พวกเขาเสียขวัญ หรือตกใจกับพลังที่ลึกล้ำไม่อาจคาดเดานั่น ด้วยเหตุนี้จึงไม่คิดเป็นศัตรูกับเขา
ลางสังหรณ์บอกพวกเขาว่า หากเป็นศัตรูกับหนุ่มน้อยชุดแดงนี่เข้า จะต้องตายอย่างน่าอนาถเป็นแน่!
เจ้าอ้วนตะลึงงัน ตอบสนองไม่ค่อยทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้
นี่…ไม่ใช่ว่าพวกเขาควรจะรีบหาทางหนีหรอกหรือ? ทำไมกลายเป็นฝ่ายตรงข้ามที่คิดหนีเล่า? ต้องรู้ไว้ว่า ฝ่ายนั้นนอกจากผู้ฝึกตนระดับปรมาจารย์พลังวิญญาณขั้นสูงสุด ยังมีระดับยอดปรมาจารย์พลังวิญญาณอีกคนหนึ่งเลยนะ!
ขณะตื่นตระหนกอยู่ในใจ สายตากลับจับจ้องเฟิ่งจิ่วตรงๆ อยากมองเขาให้ออก แต่พบว่ายังมองวรยุทธ์ที่แท้จริงของอีกฝ่ายไม่ออกอยู่ดี สิ่งที่พวกเขารู้ได้ก็แค่วรยุทธ์ที่แสดงออกมาอย่างเต็มใจให้เห็นเท่านั้น
เวลานี้เห็นกลิ่นอายชั่วร้ายอันตรายบนร่างเฟิ่งจิ่ว ถึงจะรับรู้เอาทีหลังว่าหนุ่มน้อยนี่ต่างหากที่น่ากลัวที่สุด!
“เจ้าต้องการอะไร?” เวลานี้ผู้ฝึกตนแซ่หลี่หมดสิ้นซึ่งความร้ายกาจ บนใบหน้ามีเพียงความระแวดระวัง
ได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาเฟิ่งจิ่วหรี่ลง ยิ้มอย่างมีเจตนาร้าย “แน่นอนว่าต้องปล้นน่ะสิ! รีบส่งของมีค่ามาซะ มิเช่นนั้น จะให้ฆ่าก่อนปล้นทีหลังข้าก็ไม่ถือ อันที่จริงคนตายไป สิ่งของก็ไม่มีเจ้าของอยู่แล้ว”
พวกเขาได้ยินก็มุมปากกระตุก คำพูดนี้แรกเริ่มพวกเขาเป็นคนกล่าว ตอนนี้กลับเปล่งออกมาจากปากของหนุ่มน้อย โชคจะไม่เข้าข้างกันเร็วเกินไปแล้ว
“ศิษย์พี่หลี่ พวกเราร่วมมือกันก็ยังไม่ชนะเลยรึ?” ผู้ฝึกตนคนหนึ่งกดเสียงถามอย่างไม่ยอมแพ้ สายตาจับจ้องเด็กหนุ่มใบหน้ายียวนตรงหน้า
“กำลังของอีกฝ่ายลึกล้ำเกินคาดเดา ลำพังแค่ความเร็วที่เขาบีบคอเฉินเสวียไห่ด้วยมือเดียว ข้ากับเจ้าก็เทียบไม่ได้แน่ หากสู้กันเกรงว่าถึงเวลานั้นคงไม่เหลือแม้แต่ชีวิต”
ชายแซ่หลี่ขมวดคิ้ว จ้องมองเฟิ่งจิ่ว เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “น้องชายท่านนี้ ข้าจะยอมส่งทรัพย์สินเราที่ได้มาตลอดทางให้ แต่หวังว่าเจ้าจะรักษาคำพูด พอเก็บของไปแล้วจะไม่มายุ่งกับพวกเราอีก”
“งั้นต้องลองดูว่าของที่พวกเจ้าให้มาจะมีความจริงใจสักแค่ไหน”
ได้ยินเช่นนี้ ชายแซ่หลี่กัดฟันกรอด บอกกับหลายคนข้างกายว่า “หยิบของออกมาให้หมด!” ระหว่างพูดตัวเองก็หยิบขนสัตว์ร้ายที่ทั้งฆ่าทั้งล่ามาตลอดทางกับเขาสัตว์ที่ใช้การได้ออกมาวางบนพื้นเสียก่อน
คนอื่นด้านหลังเห็นแล้ว แม้จะไม่ยินยอมก็ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงล้วงของออกมา…วางลงบนพื้นทีละชิ้น
หลังจากเจ้าอ้วนข้างๆ จ้องมองข้าวของบนพื้นสักพัก ก็ตะโกนว่า “คนแซ่หลี่ยังไม่หยิบผลึกอสูรออกมาเลย! สิ่งนั้นสิถึงจะล้ำค่า!”
ชายแซ่หลี่ได้ยินถึงตรงนี้ สีหน้าก็ทะมึน ถลึงมองเจ้าอ้วนด้วยนัยน์ตาดุร้าย สุดท้ายภายใต้แววตาที่เหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มของเฟิ่งจิ่ว ก็หยิบผลึกอสูรสองก้อนออกมาวางไว้ด้วยกันบนพื้นอย่างเจ็บใจ
“ของทั้งหมดอยู่นี่แล้ว”
เห็นเช่นนี้เฟิ่งจิ่วถึงจะพยักหน้า “อืม พวกเจ้าไปได้!”
พวกเขามองกองข้าวของบนพื้นแวบหนึ่ง ก่อนจะฝืนเบนสายตาไปอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งพวกเขาจากไป เจ้าอ้วนมองสมบัติบนพื้นแล้วมองไปทางเฟิ่งจิ่วด้วยใบหน้าที่มีความซาบซึ้งใจเอ่อล้น “เสี่ยวจิ่ว เจ้า…” เพิ่งจะพูดไปก็ถูกขัดจังหวะ
“ฮู่! ข้าตกใจแทบตาย”
สองขาเฟิ่งจิ่วอ่อนยวบ ทรุดนั่งลงบนพื้นพร้อมตบๆ หน้าอกทันใด ท่าทางตื่นตกใจเกินเหตุ
………………………………………………….