ตอนที่ 255 ฆ่าเสียตรงนี้!
เมื่อก่อนเพียงรู้ว่านางกลับกลอกพิกล เจ้าเล่ห์เช่นสุนัขจิ้งจอก ยามนี้ถึงรู้ ว่าที่แท้ยังมีมุมที่โหดเหี้ยมเยือกเย็นเช่นนี้ แต่ทำไม กลับกลายเป็นว่าเขายิ่งมองยิ่งชอบพอเล่า?
นัยน์ตาดำลึกล้ำเอ่อล้นไปด้วยความอ่อนโยน ริมฝีปากบางน่าดึงดูดยกยิ้มขึ้นน้อยๆ อย่างไม่อาจสังเกตเห็น สายตาจับจ้องนิ่งๆ บนเงาร่างสีแดง มองนางอวดฝีไม้ลายมือบดขยี้เขย่าขวัญศัตรูอยู่ตรงนั้นอย่างป่าเถื่อนเปิดเผย
ตัวนางเช่นนี้ เก่งกาจสง่างามไม่มีผู้ใดเทียบได้ ท่าทางมั่นอกมั่นใจและเปล่งประกายเจิดจรัสที่แสดงอยู่นั้น ทำให้เขายากจะละสายตา
เมื่อดวงตาคมกริบสังเกตเห็นว่านายท่านกำลังมองภูตหมอด้วยแววตาที่อ่อนโยนเสียจนน่าขนลุกขนพอง อิ่งอีก็หนาวสั่นอย่างอดไม่ได้
รสนิยมของนายท่านเขาแตกต่างจากคนอื่นๆ การที่ภาพเช่นนี้สามารถทำให้เขาเผยแววตาเช่นนั้นออกมาได้ ช่างน่ายกย่องจริงๆ
ส่วนตรงหน้าหอเมฆาทรงเกียรตินั้น ทุกคนได้สติกลับมาด้วยความสยดสยองเพราะเลือดเนื้อที่กระจัดกระจาย มองหนุ่มน้อยชุดแดงที่กำเริบเสิบสานจองหองอย่างขุ่นเคือง หนึ่งในนั้น ผู้นำตระกูลหลิ่วก็เปล่งเสียงตะโกนด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว
“เด็กคนนี้เล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจ จิตใจต่ำทราม ปล่อยไว้ไม่ได้! จับมันฆ่าเสียตรงนี้เลย!”
น้ำเสียงเคร่งขรึมที่แฝงด้วยไอสังหารและแรงกดดันมหาศาลเปล่งออกมา แทบจะในชั่วขณะนั้น ผู้อาวุโสตระกูลหลิ่วทั้งสามท่านเข้าล้อมหนุ่มน้อยชุดแดงที่ยืนอยู่ รวมตัวตั้งวงจู่โจมสามมุม กลิ่นอายพลังวิญญาณอันคละคลุ้งพรั่งพรูอยู่บนร่างพวกเขา เวลาต่อมา ก็แผดเสียงเบา แล้วโจมตีหาเด็กหนุ่มชุดแดงตรงกลางพร้อมๆ กันโดยไม่นัดหมาย
ทั้งสามลงมืออย่างอุกอาจ ไอสังหารกระจายออกมาจากบนร่างพวกเขา เอ่อล้นอยู่ในอากาศ กระแสลมที่ดังโหยหวนราวกับใบมีดลมอันดุร้ายแต่ละเล่ม ที่ลอยพัดผ่านไปกลางเวหา ต่างโจมตีไปทางเด็กหนุ่มชุดแดงผู้นั้น
ดวงตาเฟิ่งจิ่วหรี่ลง กลิ่นอายพลังวิญญาณที่ถาโถมอยู่ในร่างมารับหน้าการโจมตีพวกเขาไว้ มีดสั้นที่ถือไว้ในมือตวัดพลังคมมีดที่รุนแรงออกไปในอากาศ ก่อนจะพุ่งตัวไปมาข้างกายผู้อาวุโสทั้งสามนั้นด้วยท่ากายแปลกประหลาดและการโจมตีแสนกล
เมื่อเห็นผู้อาวุโสตระกูลหลิ่วทั้งสามที่อยู่ระดับสร้างรากฐานรุมล้อมจู่โจมเพื่อรับมือเด็กหนุ่มชุดแดงผู้นั้น ผู้คนรอบข้างก็แอบลอบกลืนน้ำลาย และหวาดหวั่นใจขึ้นมา
ผู้อาวุโสระดับสร้างรากฐานทั้งสามโหดเหี้ยมทุกกระบวนท่ามีจิตคิดสังหารทุกย่างก้าว หรือว่าหนุ่มน้อยชุดแดงผู้นั้นจะหลบไปได้งั้นรึ?
เห็นผู้อาวุโสตระกูลหลิ่วทั้งสามต่อกรกับภูตหมอคนเดียว อิ่งอีกดเสียงเบาเอ่ยด้วยความเป็นกังวลใจ “นายท่าน คนตระกูลหลิ่วจะไร้ยางอายเกินไปแล้ว ใช้คนตั้งมากมายรังแกภูตหมอคนเดียว หนำซ้ำตาเฒ่าทั้งสามยังอยู่ระดับสร้างรากฐาน พวกเราจะไม่ออกไปช่วยหรือขอรับ? หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าภูตหมอจะบาดเจ็บเอานะขอรับ”
ที่จริงเขาเป็นคนในยอดดวงใจนายท่าน ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ไม่อาจทนนิ่งดูดายมองเขาถูกคนทำร้ายได้หรอก!
เจ้าตำหนักยมราชหรี่ดวงตาลงมองภาพตรงหน้า ไม่เอ่ยปาก และไม่ให้สัญญาณใดๆ
กลับเป็นฮุยหลางที่บอกด้วยเสียงกดเบา “อิ่งอี เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไป ตาเฒ่าระดับสร้างรากฐานสามคนนั้นไม่น่าเป็นคู่ต่อสู้ของภูตหมอ เจ้าก็ดูไปก่อนเถอะ! ไม่ต้องใช้เวลานาน สามคนนั้นจะต้องล้มลงไปนอนแน่”
น้ำเสียงชะงักไป เขาเอ่ยอีกว่า “อีกอย่าง ต่อให้มีอันตรายนายท่านก็อยู่ตรงนี้คงไม่ให้ภูตหมอบาดเจ็บ ดังนั้นลองดูก่อนดีกว่า หรือว่าเจ้าไม่อยากรู้ ว่าพละกำลังของภูตหมอจะแข็งแกร่งเพียงใดกันแน่?”
ภูตหมอหนีรอดไปภายใต้สายตาพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เสียหน้ากันมามากจริงๆ เขาถึงอยากใช้โอกาสนี้ตั้งใจดูว่าขีดจำกัดเขาจะอยู่จุดไหนกันแน่ แบบนี้อีกหน่อยจะได้ไม่ต้องคอยกล้ำกลืนฝืนทนอยู่ในเงื้อมมือเขาไปตลอด
ยิ่งกว่านั้น เขาไม่คิดว่าตาเฒ่าระดับสร้างรากฐานสามคนนั้นจะทำให้ภูตหมอบาดเจ็บได้หรอกน่า
………………………………………………….
ตอนที่ 256 ลอบโจมตีด้านหลัง!
ได้ยินคำพูดนี้ อิ่งอีก็มองไปทางนายท่าน เห็นเขาไม่พูดอะไร เห็นด้วยกับคำพูดฮุยหลางอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นจึงไม่ปริปากอีก แต่มาสนใจการต่อสู้ตรงหน้าแทน
เดิมทีกังวลว่าภูตหมอจะพ่ายแพ้อยู่ในเงื้อมมือตาเฒ่าระดับสร้างรากฐานสามคนนั้น แต่ค่อยๆ มอง กลับพบว่าบนร่างพวกเขาสามคนบาดเจ็บจากมีดสั้นภูตหมอไปหลายจุด ยิ่งสู้ยิ่งน่าอับอาย ตรงกันข้าม บนร่างภูตหมอกลับไม่มีแม้แต่บาดแผล
และไม่เพียงพวกเขาที่มองออก แม้แต่ผู้คนที่ชมการต่อสู้อยู่หน้าหอเมฆาทรงเกียรติก็เช่นกัน
“ฮึก! หรือว่าพละกำลังหนุ่มน้อยชุดแดงจะเหนือกว่ายอดปรมาจารย์พลังวิญญาณ?”
“เป็นไปไม่ได้! เห็นชัดๆ ว่าพละกำลังบนตัวเขาอยู่เพียงระดับยอดปรมาจารย์พลังวิญญาณ กลิ่นอายพลังวิญญาณก็ไม่แข็งแกร่งมาก แค่ท่าร่างนั้นประหลาดเกินไป ซ้ำศิลปะการต่อสู้ยังแปลกๆ นัก ข้าไม่เคยเห็นท่วงท่าการโจมตีที่แปลกตาเช่นนั้นเลย เดาว่าน่าจะเป็นศิลปะการต่อสู้ระดับสูง”
“ศิลปะการต่อสู้ระดับสูง? เป็นไปได้ยังไงกัน? ว่ากันว่าในเมืองลิ่วเต้าเรามีเพียงท่านเจ้าเมืองที่ได้รับตำราศิลปะการต่อสู้ระดับสูงมาม้วนหนึ่ง เด็กหนุ่มอย่างเขา จะมีของล้ำค่าเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?”
“ข้าบอกแล้วไงว่าหนุ่มน้อยนี่ที่มาไม่ธรรมดาพวกเจ้าก็ไม่เชื่อ? ดูเอาเถอะ! หากตอนนี้คนตระกูลหลิ่วยังไม่รามือ เดาว่าทั้งหมดต้องถูกจัดการที่นี่แน่”
“เห็นทีรอบนี้ตระกูลหลิ่วจะเตะโดนท่อนเหล็กเข้า รับมือหนุ่มน้อยนี่ไม่ได้ กลับต้องจ่ายด้วยเสาหลักค้ำตระกูลไปหลายคนนัก หากแม้แต่ผู้อาวุโสทั้งสามยังถูกฆ่า คาดว่าตระกูลหลิ่วต้องลดจากตำแหน่งวงศ์ตระกูลระดับกลางมาเป็นตระกูลเล็กๆ เสียแล้ว”
“อ๊าก!”
เสียงกรีดร้องลอยมาทันใด ทุกคนตกตะลึงเสียจนคับแน่นหัวใจ มองไปทางพวกเขา เห็นผู้อาวุโสท่านหนึ่งจู่ๆ ก็โดนเตะล้มลงบนพื้น ร่างกายชักกระตุกสั่นเทาไม่หยุด หนำซ้ำเสียงร้องเจ็บปวดยังเปล่งออกจากปากอย่างยากจะทน
“อ๊าก! เจ็บเหลือเกิน! อา…”
ผู้นำตระกูลหลิ่วที่เห็นภาพเช่นนี้ตื่นตระหนกปนสงสัยไม่อาจสงบใจ จึงให้คนประคองผู้อาวุโสท่านนั้นกลับมา “ผู้อาวุโสสอง ท่านบาดเจ็บตรงไหนรึ?”
เขาตรวจดูจากบนลงล่าง นอกจากพวกแผลเล็กๆ ตามผิวเนื้อบนร่าง กลับไม่เห็นบาดแผลใดอื่น แต่ผู้อาวุโสสองกลับสีหน้าซีดเซียว เจ็บปวดเสียจนเหงื่อไหลออกท่วม ทำให้เขาตกอกตกใจอย่างอดไม่ได้
“เจ็บ บนตัวข้า ทั้งร่างมันปวดไปหมด ซี๊ด! อ๊า…” ผู้อาวุโสกัดฟันพูด แต่ฝืนทนไว้ไม่ไหว ทำได้เพียงเกลือกกลิ้งไปบนพื้น
“เฮือก!”
เวลานี้ บริเวณหลังผู้อาวุโสสี่ถูกมีดสั้นฟัน บาดแผลลึกจนเห็นกระดูก เลือดสดๆ ไหลออกมา เสื้อคลุมสีเทาจึงเปื้อนเลือดแดงฉาน
เห็นผู้อาวุโสสี่เดินโซซัดโซเซถอยออกมา ในที่สุดสีหน้าผู้นำตระกูลก็เปลี่ยนไปยกใหญ่ ไม่เพียงเห็นแผ่นหลังผู้อาวุโสสี่ได้รับบาดเจ็บ แม้แต่บนร่างผู้อาวุโสสูงสุดยังเต็มไปด้วยบาดแผล อดไม่ได้ที่จะมาตรงหน้าท่านเจ้าเมือง
“ท่านเจ้าเมือง เจ้าเด็กนี่ฝีมือร้ายกาจ ไม่เพียงสังหารคนตระกูลหลิ่วข้า ยังสังหารภูตหมออีก หรือท่านเจ้าเมืองคิดจะยืนดูอยู่เฉยๆ ไม่สนใจเลยรึขอรับ?”
ฟังคำพูดนี้ ท่านเจ้าเมืองที่เดิมไม่คิดจะยื่นมือไปยุ่งเกี่ยวก็ขมวดคิ้วขึ้น หลังมองท่านผู้นำตระกูลหลิ่วแวบหนึ่ง แล้วมองไปทางเด็กหนุ่มชุดแดงที่ฝีมือโหดเหี้ยมกำลังต่อสู้ไม่ธรรมดา บอกว่า “พวกเจ้าสู้สามต่อหนึ่ง ในเมื่อยังจัดการเขาไม่ได้ งั้นก็ปล่อยเขาไปเถอะ!”
ภูตหมอตายแล้ว ส่วนหนุ่มน้อยนี่ที่มาต้องไม่ธรรมดาแน่ ทำไมเขาต้องไประรานเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังต่อสู้น่าตกตะลึงเช่นนี้เพื่อคนที่สิ้นใจไปด้วยเล่า?
ไม่ต้องพูดถึง คนแบบนี้ เบื้องหลังไม่น่าจะไม่มีคนคอยหนุนหลัง หากมาตายอยู่ในเมืองลิ่วเต้านี้จริงๆ เดาว่าจะต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่!
เห็นท่านเจ้าเมืองไม่คิดยุ่งเกี่ยว ผู้นำตระกูลหลิ่วจึงกัดฟันกรอด ในใจไม่คิดยอม พอเห็นหนุ่มน้อยชุดแดงกำลังหันหลังต่อสู้กับผู้อาวุโสสูงสุด ในดวงตาชั่วร้ายฉายประกายเย็นเยียบ เวลาต่อมา กระบี่ใบหลิวที่ถือไว้ในมือก็แทงไปหาเขาจากด้านหลังด้วยท่วงท่าดั่งสายฟ้าแลบ!
“ตายซะเถอะ!”
………………………………………………….