ตอนที่ 263 จบลงตรงนี้!
ได้ยินคำพูดเฟิ่งจิ่ว รอยยิ้มบนใบหน้าหัวหน้าเคอก็ยิ่งลึกขึ้น แต่เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางผู้คนรอบกายรวมถึงคนที่ตกใจเสียจนทรุดนั่งลงบนพื้น ก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ ถามว่า “นี่พวกเขาเป็นอะไรไปหมด?”
เฟิ่งจิ่วชำเลืองมองคนพวกนั้น มุมปากอมยิ้มที่มีความซุกซนบางส่วน เอ่ยว่า “อาจเพราะ… ตกใจกันกระมัง!”
ยามนี้ ท่านเจ้าเมืองที่ได้สติกลับมาออกหน้าคำนับพร่ำขอโทษอยู่ไม่ขาดปาก “ใต้เท้าภูตหมอ ข้าน้อยมีตาแต่หามีแววไม่ ถึงได้จำผิดคน นี่มันช่าง… เฮ้อ!”
“จำผิดคน? นี่มันเรื่องอะไรกัน?” หัวหน้าเคอมองเฟิ่งจิ่วกับเจ้าเมืองฉางด้วยความประหลาดใจ แอบคิดว่า ‘หรือก่อนหน้านี้ จะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นที่นี่?’
“เรื่องผ่านไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีก”
เธอพูดจบ ก็มองไปทางผู้อาวุโสสองสามท่านที่นั่งตัวสั่นงันงกอยู่บนพื้น เดินไปด้านหน้าทั้งแววตาหมองลงน้อยๆ มายังเบื้องหน้าพวกเขา เอ่ยว่า “ให้เรื่องจบลงตรงนี้ พวกเจ้ากลับไปเสียเถอะ!”
ได้ยินคำพูดนี้ พวกเขาที่นั่งอยู่บนพื้นก็ตื่นเต้นเสียจนแทบหลั่งน้ำตา เมื่อได้ยินว่าหนุ่มน้อยชุดแดงคือภูตหมอ เดิมคิดว่าแย่ล่ะ ตระกูลหลิ่วต้องตายแน่แล้ว นึกไม่ถึง ว่าจะปล่อยพวกเขาไป โดยไม่ไต่สวนอีก นี่ นี่มัน…
“ขอบคุณท่านภูตหมอ ขอบคุณมาก…”
พวกเขาก้มกราบด้วยความซาบซึ้ง ขอบคุณจากใจจริง เพราะความเมตตากรุณาของเขา ถึงปกป้องตระกูลหลิ่วให้พ้นภัยพิบัติไปได้
เวลานี้ พวกเขารีบพาคนออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่ออีก คล้ายกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจอีก
“ใต้เท้าภูตหมอ เชิญท่านไปพำนักที่จวนเจ้าเมืองเถิด ให้โอกาสข้าน้อยได้ไถ่โทษ” ท่านเจ้าเมืองข้างๆ ปริปากเอ่ย คิดจะพยายามกู้หน้าจากความผิดที่ทำไปก่อนหน้านี้
หัวหน้าเคอจับจ้องบนร่างเจ้าเมืองฉางด้วยสายตาตรวจสอบ นัยน์ตาฉายประกาย ไถ่โทษงั้นรึ?
“ไม่ต้องหรอก” เฟิ่งจิ่วกล่าวเบาๆ บอกกับเหลิ่งซวงข้างกายว่า “เจ้าจูงเหล่าไป๋ไปที”
เหลิ่งซวงมองไปตามสายตานาง เห็นม้าอ้วนที่นอนกรนเสียงดังอยู่บนพื้น แม้จะแปลกใจว่านายท่านได้ม้าเช่นนี้มาได้ยังไง แต่ก็ยังคงเข้าไปจูงเชือกม้ามา
เพราะดึงขยับเชือกม้า เหล่าไป๋จึงตื่นขึ้นมา เมื่อเห็นเหลิ่งซวงในชุดดำที่มีกลิ่นอายงดงามเย็นชา ก็น้ำลายไหล ลุกยืนขึ้นและเข้าไปใกล้เสียเอง
“ข้าสั่งให้ทางตลาดสาขาย่อยด้านนั้นจัดเตรียมที่พักไว้แล้ว เช่นนี้เถอะ! พวกเราเข้าไปกันก่อน เรื่องอื่นรอกลับไปค่อยว่ากัน” หัวหน้าเคอพูดจบ ก็ทำท่ามือเชื้อเชิญให้เฟิ่งจิ่ว
“อืม” เฟิ่งจิ่วขานรับ สาวก้าวเดินไปด้านหน้า ทว่า พอก้าวออกไป กลับชะงักลง แววตามองไปมุมหนึ่งอย่างมีความนัย
เห็นเขาหยุดฝีเท้าลง หัวหน้าเคอจึงถามว่า “เป็นอะไรรึขอรับ?”
“ไม่มีอะไร” เธอส่ายหน้า ถึงจะสาวก้าวเดินไปด้านหน้าต่อ
เหลิ่งซวงจูงเหล่าไป๋ตามไปด้านหลัง เดินทางไปยังตลาดมืดสาขาย่อย ไม่นานนัก ก็หายไปจากหน้าหอเมฆาทรงเกียรติ…
ในมุมมืด ฮุยหลางกับอิ่งอีมองหน้ากันแวบหนึ่ง ก่อนจะมองไปทางนายท่าน เอ่ยถามว่า “นายท่าน จะไม่จับภูตหมอกลับไปหรือขอรับ?”
“ใครบอกเจ้าว่าข้าจะจับนางกลับไป?” เจ้าตำหนักยมราชกวาดมองทั้งสอง สะบัดแขนเสื้อ แล้วหันตัวออกไป
เห็นเขาจากไป ทั้งสองก็นิ่งอึ้ง ฮุยหลางถามขึ้นด้วยเสียงกดเบาลง “นายท่านแจ้นมาที่นี่เพื่อภูตหมอโดยเฉพาะไม่ใช่หรือ? หากไม่จับเขากลับไป? จะมาทำไมเล่า? อย่าบอกข้านะว่าแค่จะมาดูเขาเฉยๆ น่ะ?”
อิ่งอีเหลือบมองเขา กล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “คำถามนี้ ข้าคิดว่าเจ้าไปถามนายท่านก็ได้นะ” สิ้นสุดน้ำเสียง ก็ตามไป
“ถามนายท่าน? เจ้าจะให้ข้าไปโดนนายท่านเชือดรึ!” ฮุยหลางกระซิบกระซาบ เรียกพลังกระโดดขึ้นไล่ตามไป
………………………………………………….
ตอนที่ 264 เยี่ยมเยือนกลางดึก
พอพวกเขาจากไป หน้าหอเมฆาทรงเกียรติก็เงียบเชียบไปหมด ไม่มีใครพูดอะไรเสียเนิ่นนาน แต่หลังจากมองกันและกัน แต่ละคนต่างก็แยกย้ายกันไป
ส่วนที่อีกด้านหนึ่ง เฟิ่งจิ่วที่มาพักผ่อนยังที่พำนักที่ตลาดมืดสาขาย่อยจัดเตรียมไว้ถอดเปลี่ยนชุดแดงที่โชกเลือดบนตัวออก หลังอาบน้ำสักพักถึงจะเดินออกมาด้านนอกตรงลานบ้าน
“นายท่าน ข้าให้คนเตรียมพวกอาหารไว้แล้ว ท่านทานก่อนเถอะเจ้าค่ะ!”
เหลิ่งซวงเห็นนางที่ใบหน้าฟื้นคืนกลับมา ในใจก็เริงร่ายิ่งนัก บอกว่า “หากทางพวกท่านผู้เฒ่ารู้ว่ารูปโฉมนายท่านฟื้นคืนแล้ว ต้องดีใจกันมากแน่ๆ เจ้าค่ะ”
“แม้โดนคนตำหนักยมราชจับตัวไป แต่หนนี้ข้าก็ได้ประโยชน์ไม่น้อยเลยจริงๆ” เธอสะบัดชุดแดงพลางยิ้ม นั่งลงข้างโต๊ะ เห็นอาหารสองสามอย่างบนโต๊ะล้วนเป็นของชอบ ก็หรี่ตาลงยิ้มมองเหลิ่งซวงอย่างอดไม่ได้
“เหลิ่งซวง มีเจ้าอยู่ข้างกายนี่ช่างดีนัก ดูสิ แม้แต่ข้าอยากกินอะไรถึงไม่บอกเจ้าก็รู้ได้” เธอหยิบตะเกียบขึ้นกินอาหาร พลางบอกว่า “เจ้าก็นั่งกินด้วยกันสิ! ยังไงซะข้าก็กินคนเดียวไม่หมดหรอก”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะนายท่าน ในห้องครัวด้านนั้นข้ายังมีอีกชุดหนึ่ง” นางมาช่วยเฟิ่งจิ่วตักน้ำแกงตรงข้างโต๊ะ
“จริงด้วย หลังจากนั้นงานแข่งยาทิพย์เป็นเช่นไรบ้าง?” เธอกินไปพลางเอ่ยถาม หากไม่ถามตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าตอนหลังสมาคมได้อันดับหนึ่งรึเปล่า?
“ตลาดมืดได้อันดับหนึ่งเจ้าค่ะ”
เหลิ่งซวงพูดจบ ก็มองนางที่กำลังทานอาหาร ชะงักลงสักพัก บอกว่า “แต่นายท่าน หลายวันนี้ที่ท่านโดนจับตัวไป ด้านนอกกลับมียาของท่านถูกประมูลในราคาสูง เพราะเป็นเช่นนี้ ช่วงเวลานี้จึงแทบพูดได้ว่าชื่อของภูตหมอกลายเป็นข่าวเล่าลือในทุกเมืองใหญ่เลยเจ้าค่ะ”
“เรื่องนี้คงเป็นฝีมือเจ้าตำหนักนั่น แม้ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร แต่ข้าก็ไม่ได้เสียหาย” นึกถึงเจ้าตำหนักยมราชผู้นั้น เธอก็นึกถึงตอนนั้นที่ผู้นำตระกูลหลิ่วเรียกหาอสูรครอบเมฆา แต่อสูรตนนั้นกลับไม่มา
“เหลิ่งซวง ตอนที่พวกเจ้ามาได้เห็นอสูรศักดิ์สิทธิ์บ้างหรือไม่?”
เหลิ่งซวงคิดไปคิดมา ก็ส่ายหน้า “ไม่เห็นเจ้าค่ะ แต่ได้ยินเสียงร้องคำราม ตอนนั้นพวกเราเข้าเมืองมาแล้ว”
“โอ้ แบบนี้เอง!” เธอพยักหน้า คิดว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ตนนั้นคงไม่ปรากฏตัวโดยไม่มีเหตุผล ยังมีเจ้าตำหนักผู้นั้นอีก ในเมืองลิ่วเต้านี้มีหูตาของพวกเขาอยู่ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้เรื่องหน้าหอเมฆาทรงเกียรติที่วุ่นวายเสียงดังกันเพียงนั้น
สัญชาตญาณเธอในตอนนั้นอาจจะไม่ผิด เขาคงจะอยู่ใกล้ๆ กัน
แต่เขาคิดจะทำอะไรกันแน่? หากจะจับเธอกลับไป ก็มีโอกาสลงมือไม่น้อยเลย แต่กลับไม่ทำอะไรเช่นนั้น แล้วยังมีอสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นอีก ชัดเจนว่าได้ยินเสียงคำรามกลับไม่ปรากฏตัว ดังนั้นเดาว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าตำหนักยมราชไปไม่ได้เลย
เนื่องจากวันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายนัก พอตกกลางคืน เฟิ่งจิ่วจึงพักผ่อนตั้งแต่หัวค่ำ เหลิ่งซวงเดิมทีคิดจะอยู่เฝ้าในเรือน กลับถูกเฟิ่งจิ่วไล่กลับไปพักผ่อน
ส่วนหัวหน้าเคอนั้น เพราะคิดว่าเรื่องวันนี้แปลกๆ หลังจากส่งเฟิ่งจิ่วไปพักในเรือน ก็มีคนนำเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าหอเมฆาทรงเกียรติวันนี้มาบอกแก่เขา
หัวหน้าเคอที่รับรู้เรื่องราวทั้งหมดไม่พูดไม่จาอยู่นานนัก เพียงคิดว่าเหลือเชื่อ และไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง ว่าภูตหมอจะกล้าเป็นศัตรูกับวงศ์ตระกูลระดับกลางด้วยกำลังตัวคนเดียว ซ้ำยังได้รับชัยชนะยิ่งใหญ่…
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ภายในที่พำนักมีแต่ความเงียบสงบ ทว่าในเวลานี้เอง เงาร่างสีดำพุ่งไปมาราวกับอยู่ในหลังสวนบ้านตนเอง เหยียบย่ำสายลมหนาวข้ามผ่านชายคา มายังบริเวณด้านในที่พำนักอย่างเงียบเชียบไร้เสียง โดดผ่านหน้าต่างเข้าไปในห้อง…
……………………………………