ตอนที่ 279 คำขอร้อง
ฟังจากเสียง เหมือนด้านนอกจะมีเสียงผู้ชายคนหนึ่งเพิ่มมา ทั้งสองเดาว่าคงเป็นท่านพ่อของหยางหยาง
นึกถึงตรงนี้ เฟิ่งจิ่วหลับตาลง ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
จนกระทั่งเสียงเคาะประตูตามด้วยเสียงเรียกเบาๆ ดังมา
“คุณชาย”
ได้ยินเสียงนี้ เหลิ่งซวงก้าวไปข้างหน้าด้วยความระแวง เฝ้าระวังอยู่ด้านหน้าเฟิ่งจิ่ว
“มีเรื่องอะไร?” เฟิ่งจิ่วส่งสัญญาณให้เหลิ่งซวงถอยห่าง
“คุณชายได้โปรดเปิดประตูให้ข้าน้อยเข้าไปคุยเถอะเจ้าค่ะ”
ได้ยินเช่นนี้ เธอพยักเพยิดให้เหลิ่งซวงเข้าไปเปิดประตู เหลิ่งซวงชะงักเล็กน้อย จากนั้นถึงจะไปเปิดประตูเรือนออก เมื่อเห็นหญิงสาวหน้าประตูมือก็เย็นขึ้นมาบ้าง
หญิงคนนี้ไม่ใช่คน แต่เป็นผี! นึกถึงตรงนี้ นางก็กลืนน้ำลายทีหนึ่ง ถอยไปเล็กน้อยก้าวหนึ่ง
นางไม่กลัวคน แต่ผีนี่สิ…
เฟิ่งจิ่วมองไป เห็นเพียงหญิงสาวใบหน้าขาวซีดกอดหยางหยางที่หลับสนิทเดินเข้ามา ก่อนจะคุกเข่าลงเบื้องหน้าเสียงดังตุบ
“คุณชาย”
“นี่เจ้าทำอะไร?” เฟิ่งจิ่วขมวดคิ้วเบาๆ มองนางที่ใบหน้าเปื้อนน้ำตา
“นักพรตนั่นมาอีกแล้ว ปากบอกว่าจะจัดการพวกเรา แต่ความจริงกลับมุ่งมาหาหยางหยางของเรา เขาเกิดมาพร้อมไข่มุกวิญญาณตรงท้องที่เอาออกมาไม่ได้ นักพรตคนนี้บอกจะเอาเขาไปทำเป็นลูกกลอนมนุษย์ไว้กินเพื่อบรรลุขั้นพลัง พวกเราไม่มีทางเลือกจริงๆ มีเพียงมาขอร้องคุณชาย”
นางสะอื้นเบาๆ บอกว่า “ข้ารู้ว่าคุณชายมีพรสวรรค์ ต้องมองออกแต่แรกแน่ว่าพวกเราเป็นผีหาใช่คน แต่แม้เราจะเป็นผีก็ไม่ทำร้ายใคร อยู่ที่นี่ล้วนเพื่อลูกชายทั้งนั้น ตระกูลเราเก้าสิบเก้าคนยามนี้เหลือเพียงหยางหยางที่เป็นลูกชายคนเดียว คุณชาย คุณชายเจ้าคะ ข้าขอร้องท่าน ขอท่านช่วยพวกเราด้วย!”
นางร่ำไห้เบาๆ คำพูดตัดพ้อดูทั้งหมดหนทางและสิ้นหวัง ทำให้หัวใจเฟิ่งจิ่วหดหู่เล็กน้อย อยากเฝ้ามองอย่างนิ่งดูดาย กลับไม่อาจต้านทานคำขอร้องอ้อนวอนเช่นนี้ได้ หากเธอไม่ช่วย ไม่ต้องพูดถึงวิญญาณสองสามตนนี้เลย แม้แต่เด็กชายก็ต้องรับเคราะห์ไปด้วย
แม้เธอนิสัยเย็นชาเลือดเย็น แต่เด็กยังไร้เดียงสา จะอดใจนิ่งดูดายมองอยู่ได้อย่างไร?
สายตาเฟิ่งจิ่วจับจ้องบนร่างเด็กน้อยที่หลับสนิท ที่แท้มีไข่มุกวิญญาณอยู่ที่ท้อง มิน่าล่ะ ตั้งแต่เข้ามาถึงเห็นว่าบนร่างเขาเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ แม้ใบหน้าซีดเผือดและผอมแห้ง กลับยังสามารถมีชีวิตอยู่ร่วมกับวิญญาณพวกนี้ได้ ที่แท้เป็นเพราะมีไข่มุกวิญญาณปกป้องตัวไว้
เธอชะงักไปเล็กน้อย มองหญิงสาวพลางถาม “เจ้าจะให้ข้าช่วยยังไง?”
ได้ยินคำพูดนี้ หญิงสาวดีใจขึ้นมา รีบร้อนกล่าวว่า “ข้าแค่ขอร้องให้คุณชายช่วยพาลูกข้าออกไป ให้เขาได้เติบโตอย่างเป็นสุขเจ้าค่ะ”
“เหลิ่งซวง รับเด็กมา” เธอออกคำสั่งเสียงเบา ความหมายของคำพูดคือรับปากแล้ว
“ขอบคุณคุณชายมาก ขอบคุณคุณชายมากเจ้าค่ะ”
นางรีบขอบคุณ จากนั้นส่งเด็กชายในอ้อมแขนให้เหลิ่งซวงด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตา ยามมองลูกชายที่หลับสนิท ในใจนางเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ มองลูกชายอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่งแล้วจึงกล่าวกับเฟิ่งจิ่วว่า “คุณชาย พวกท่านรีบออกไปทางด้านหลังเถอะ!” พูดจบก็วิ่งไปด้านนอก
เหลิ่งซวงที่อุ้มเด็กชายไว้ตกใจเล็กน้อย ถามว่า “นายท่านจะพาเขากลับไปจริงๆ หรือเจ้าคะ?” ไม่นึกว่านายท่านจะช่วยวิญญาณตนนั้นจริงๆ
“บ้านเราไม่ขาดเหลืออะไร พากลับไปก็พากลับไปเถอะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่?” เฟิ่งจิ่วพูดอย่างไม่แยแส
“เขาเด็กถึงเพียงนี้ก็ไม่มีพ่อแม่แล้ว นับว่าน่าสงสารเช่นกัน”
เหลิ่งซวงมองหยางหยางที่หลับอยู่แววตาเวทนา นางกับน้องชายพึ่งพากันและกัน น้องชายมีนางคอยดูแล แต่เด็กคนนี้ยังเด็กเพียงนี้กลับไม่มีครอบครัวเสียแล้ว จึงอดเกิดความเห็นอกเห็นใจไม่ได้
“อ๊าก!”
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืน ทำให้ทั้งสองคนในบ้านต่างใจสั่น
………………………………………………….
ตอนที่ 280 ลงมือในยามที่ควร!
“เจ้าคอยดูเด็กไว้ ข้าจะลองออกไปดู” เธอบอกกับเหลิ่งซวง แล้วสาวเท้าเดินออกไป
พอเปิดประตูออก สิ่งที่เห็นคือภูตผีพวกนั้นล้มลงกรีดร้องอยู่บนพื้น กระแสลมที่ส่องแสงแต่ละสายสะบัดมาจากกลางอากาศ หวดลงบนร่างเหล่าภูตผีจนเกิดเสียงลมดังรุนแรง
เมื่อเห็นภูตผีที่ล้มอยู่บนพื้นพวกนั้นร่างกายจางลงมากเสียจนจะจางหายไปได้ทุกเมื่อ แววตาเธอสั่นไหวเล็กน้อย เงยหน้าเหลือบมองนักพรตที่ถือแส้จามรโบกสะบัดคนนั้น นิ้วมือขยับ คีบเข็มเงินเล่มหนึ่งไว้ระหว่างสองนิ้ว ก่อนจะส่งไปยังคนกลางเวหา
“ฟิ้ว!”
เข็มเงินถูกแส้จามรของนักพรตกวาดตกไป เขาจึงหยุดการหวดแส้ใส่ภูตผีพวกนั้นลง แต่ชำเลืองมาทางเฟิ่งจิ่วด้วยสายตาดุดัน ตะคอกเสียงเข้มว่า “เด็กคนนี้ เจ้าเป็นใครกัน? คบหากับพวกผี สมควรตายจริงๆ!”
ขณะพูดแส้จามรก็สะบัด กระแสลมสายหนึ่งโจมตีไปทางเฟิ่งจิ่ว
“ฟิ้ว!”
ไอสังหารมุ่งเข้ามา เฟิ่งจิ่ววูบไหวตัวหลบออกไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน กวาดมองนักพรตคนนั้น บอกว่า “ใต้เท้าลงมือก็ใช้ท่าสังหารเลย หรือคิดจะให้ข้ากลายเป็นผีป่าไปด้วย?”
“ฮ่าๆๆๆ! เจ้าหนู สวรรค์มีทางเจ้ากลับไม่เดิน นรกไร้ประตูยังบุกเข้ามา! จะฆ่าเจ้าแล้วยังไง?” นักพรตหัวเราะลั่น ในเสียงมีความหยิ่งผยองและโหดเหี้ยม แต่กลับไร้ซึ่งหัวใจเมตตาอย่างผู้ทรงธรรม
“คุณชายรีบไปเร็ว นักพรตคนนี้มีวรยุทธ์ระดับสร้างรากฐานขั้นสูงสุด คุณชายอย่าไปสู้ตัวต่อตัวกับเขา รีบพาลูกชายข้าหนีไปเถอะ!” บุรุษที่ลุกขึ้นยืนอย่างโอนเอนตะโกนบอกเฟิ่งจิ่ว คิดว่าพวกตนขวางนักพรตคนนี้ไว้ จะแลกกับโอกาสรอดชีวิตของลูกชายกับเด็กหนุ่มได้
เฟิ่งจิ่วเหลือบมองพวกเขา ไม่บอกว่าจะทำตามคำพูด แต่เงยหน้าขึ้นชายตามองนักพรตคนนั้นน้อยๆ มุมปากยกรอยยิ้มบางๆ ขึ้นมา “บนเส้นทางนี้มีคนไม่น้อยอยากสังหารข้า แต่สุดท้ายล้วนถูกข้าสังหารเสียหมด”
ในน้ำเสียงเฉื่อยชาของเธอมีความเฉยเมยบางส่วน ก็แค่ผู้ฝึกตนระดับสร้างรากฐานขั้นสูงสุด ไม่อยู่ในสายตาเธอเลยจริงๆ
“หากหนีไปเสียตอนนี้ ข้าจะเหลือชีวิตเจ้าไว้สักคนก็ได้” เธอพูดพลางมองนักพรตที่กลางอากาศ สีหน้าท่าทีจริงจัง ไม่เหมือนกำลังล้อเล่น
ทว่า คนตรงนั้นกลับไม่คิดว่าคำพูดเธอเป็นจริงสักนิด เห็นว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐาน เช่นนั้นจะสังหารนักพรตได้อย่างไร?
นักพรตคนนั้นก็กำลังคิดแบบนี้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้หลังจากฟังคำพูดนางจึงยิ้มเย้ยหยัน “อย่างเจ้าก็คิดจะฆ่าข้า? เกรงว่าเจ้าจะไม่…”
เขายังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นเด็กหนุ่มชุดแดงที่เดิมยังอยู่บนพื้นทะยานขึ้นมาทันที กระบี่ยาวที่มีประกายเย็นเยือกปรากฏขึ้นในมือ เห็นเพียงชุดแดงแวบมาเบื้องหน้า เวลาต่อมาก็เจ็บตรงหน้าอก ร่างกายแข็งทื่อไปหมด เขามองฝ่ายตรงข้ามรวมถึงกระบี่ในมือนั้นอย่างตกใจและเหลือเชื่อ
“กระ กระบี่คมพยับ! เจ้า เจ้า…”
“ผัวะ!”
เฟิ่งจิ่วถีบออกไป และดึงกระบี่ยาวออกมาในขณะเดียวกัน มองนักพรตคนนั้นที่ร่วงลงไปบนพื้นพลางแค่นเสียงหยัน “ให้เจ้าไปก็ไม่ไป นี่แหละคือจุดจบ”
หนึ่งกระบี่แทงตรงหัวใจพอดี นักพรตคนนั้นสิ้นลมไปโดยไม่อาจทำแม้แต่จะสูดลมหายใจ จนกระทั่งตายยังไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มชุดแดงคนนี้เป็นใคร ทำไมถึงถือกระบี่คมพยับได้? ยิ่งไม่มีทางเข้าใจว่าทำไมผู้ฝึกตนระดับสร้างรากฐานขั้นสูงสุดผู้สง่าผ่าเผยอย่างตนถึงถูกเด็กหนุ่มที่ยังไม่ถึงระดับเดียวกันสังหาร?
และยิ่งไม่อาจรับได้ที่หนุ่มน้อยผู้นี้ลงมือโดยไม่บอกกล่าว ทำให้เขาตายไปอย่างแค้นใจเช่นนี้…
ภูตผีพวกนั้นมองภาพนี้ด้วยความตกตะลึงและเสียขวัญ นัยน์ตาเต็มไปความเหลือเชื่อ อย่างไรพวกเขาก็นึกไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะกลับตาลปัตรในพริบตา…
…………………………