ตอนที่ 341 ให้เจ้าไว้หนึ่งเรือน
“ฮัดเช้ย!”
ขณะกำลังนำผงยาที่ปรุงไว้เรียบร้อยใส่ลงในขวด เฟิ่งจิ่วจามออกมา เธอถูๆ จมูกแล้วเอ่ยกระซิบ “หรือว่ามีใครกำลังคิดถึงเรา?”
พอเอ่ยเช่นนี้ไป เธอก็ส่ายหน้ายิ้มๆ รู้สึกเหลือเชื่อกับความคิดนี้ที่ผุดขึ้นมากะทันหัน ถึงอย่างไรคนที่จะคิดถึงเธอได้ต่างก็อยู่ข้างกายกันหมดแล้ว
“เสี่ยวจิ่ว”
กวนสีหลิ่นในชุดสีดำเดินก้าวยาวเข้ามา ใบหน้าเผยความสุขใจ บอกว่า “คฤหาสน์ข้าตกแต่งเสร็จแล้ว ของหลายอย่างด้านในข้าให้คนรื้อสร้างใหม่ เลือกวันย้ายเข้าบ้านเรียบร้อยเป็นอีกสามวันข้างหน้า”
ได้ยินคำนี้ เฟิ่งจิ่วเผยรอยยิ้มออกมา “จริงรึ? ดีเหลือเกิน ตั้งแต่กลับมาจนถึงตอนนี้ข้ายังไม่มีเวลาลองเข้าไปดูเลย ไปกัน ไปดูเป็นเพื่อนข้าหน่อยว่าท่านตกแต่งคฤหาสน์อย่างไรบ้าง” เธอส่งขวดในมือให้เหลิ่งซวงด้านหลัง
“นี่เป็นยารักษาของพ่อข้า เจ้านำเข้าไปให้เหลิ่งหวาช่วยเปลี่ยนที จากนั้นค่อยบอกท่านปู่ว่าข้าจะไปดูบ้านพี่สีหลิ่นเสียหน่อย” เพราะสองสามวันมานี้ร่างกายบิดาฟื้นตัวดีขึ้นมาก สภาพจิตใจก็ไม่เลว ด้วยเหตุนี้เรื่องเปลี่ยนยาจึงให้เหลิ่งหวาทำแทน
“เจ้าค่ะ” เหลิ่งซวงขานตอบ รับยามาแล้วก็ไปยังเรือนของเฟิ่งเซียว
“ไปเถอะ” กวนสีหลิ่นพูดด้วยความตื่นเต้น พาเฟิ่งจิ่วไปบ้านตระกูลกวนที่เขาสร้างขึ้นเองกับมือ
สองตระกูลอาศัยอยู่ข้างๆ กัน เดินออกจากประตูใหญ่หนึ่งช่วงถนนก็เห็นคฤหาสน์ใหญ่หลังนั้นแล้ว เมื่อมาถึงประตูใหญ่ เฟิ่งจิ่วหยุดฝีเท้าลงเงยหน้ามอง
กวนสีหลิ่นด้านข้างเห็นสายตานางจับจ้องบนแผ่นป้ายที่คลุมด้วยผ้าแดงไว้ จึงพูดยิ้มๆ ว่า “อักษรด้านบนข้าเชิญท่านปู่มาลงนาม รอถึงเวลาเข้าบ้านค่อยเปิดออก ไป พวกเราเข้าไปดูด้านในเถอะ”
“อืม” เธอยิ้มขานรับ แล้วเดินเข้าคฤหาสน์ไปพร้อมกับเขา
“นายท่าน คุณหนูใหญ่”
ภายในจวนมีเพียงข้ารับใช้ปัดกวาดอยู่สองสามคนกับพ่อบ้านอีกคนหนึ่ง เมื่อเห็นทั้งสองเข้ามาก็รีบร้อนทิ้งธุระในมือเข้ามาคารวะ
“ไปทำงานของพวกเจ้าเถอะ” กวนสีหลิ่นโบกมือให้สัญญาณ พาเฟิ่งจิ่วเดินไปด้านในพลางแนะนำสถานที่ในคฤหาสน์และที่มาของแนวคิดในการก่อสร้าง
“เจ้าดู ที่นี่คือเรือนหลักตะวันออก เป็นที่ที่ข้าจะพักอยู่จากนี้ไป และเป็นเรือนหลังใหญ่ที่สุด อีกหน่อยตอนเช้าข้าก็มาฝึกวิชาหมัดตรงนี้ได้ ซ้ำยังให้คนนำหุ่นไม้ฝึกหมัดมาตั้งไว้แล้วด้วย จริงสิ ข้าจะพาไปดูเรือนของเจ้า”
“ทำไมถึงมีเรือนไว้ให้ข้าด้วย?” เฟิ่งจิ่วตกใจ มองไปที่เขา
“แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าเป็นน้องสาวข้า จะไม่มีเรือนไว้ให้ได้อย่างไร เจ้าต้องรู้ไว้ว่าจวนตระกูลเฟิ่งเป็นบ้านเจ้า ที่นี่ก็เป็นบ้านเจ้าด้วย ภายในคฤหาสน์หลังนี้จะมีที่สำหรับเจ้าเสมอ” เขาฉีกยิ้มกล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้าชอบความสงบเงียบ ดังนั้นข้าจึงเหลือเรือนทางใต้ไว้ให้”
ได้ยินเขาเอ่ย เฟิ่งจิ่วอบอุ่นหัวใจเล็กน้อย คิ้วตาโค้งเผยรอยยิ้มปลาบปลื้มให้เห็น “ขอบคุณพี่ชาย”
“คนบ้านเดียวกันต้องขอบคุณอะไร” เขาหัวเราะลั่น แล้วพานางไปที่เรือนทางใต้
“ใหญ่เพียงนี้เชียว?”
เห็นเขาแบ่งเรือนทางใต้ทั้งหมดให้ เฟิ่งจิ่วก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจเล็กน้อย ว่ากันตามปกติ นอกจากเขตเรือนหลักแล้ว เขตเรือนอื่นๆ อีกสามแห่งด้านในยังแบ่งออกเป็นสองถึงสามเรือนเล็กอีก ทว่าเขากลับเปลี่ยนทั้งเรือนทางใต้นี้เป็นหนึ่งเรือนใหญ่ ความกว้างของพื้นที่ก็เล็กกว่าเรือนเธอในจวนตระกูลเฟิ่งแค่นิดหน่อยเท่านั้น
“ต้องใหญ่สิถึงจะอยู่สบาย เจ้าดู ข้าให้คนทำชิงช้าให้ด้วย ซ้ายขวาสองข้างเรือนก็ปลูกต้นท้อไว้สองต้น ภายหลังไม่เพียงมีลูกท้อไว้กิน ยังมีดอกท้อให้ชมอีก ไม่เลวเลยใช่ไหม?”
………………………………………………….
ตอนที่ 342 คำเชิญจากตระกูลกวน
“ใช่ เรือนใหญ่และงดงามมาก แต่พี่ยกสถานที่ใหญ่โตเพียงนี้ให้ข้า อีกหน่อยหากข้าไม่กลับมาพักก็เสียของเปล่าๆ” จวนตระกูลเฟิ่งกับคฤหาสน์ตระกูลกวนอยู่ข้างกัน พักตรงนี้กับอยู่ตรงนั้นไม่ต่างกันมาก คฤหาสน์โออ่าเช่นนี้หากเธอไม่มาพักก็รู้สึกว่าเสียของจริงๆ
“ไม่เป็นไร ยังไงก็มีข้าแค่คนเดียว ให้แล้วก็รับไว้เถอะ” เขาโบกมือ ไม่เก็บมาใส่ใจ
ได้ยินเช่นนี้แล้ว เฟิ่งจิ่วหัวเราะเบาๆ “จากนี้ไปหากเจอคนที่ถูกใจ มีลูกกันสักสองสามคน ท่านก็ไม่ต้องอยู่คนเดียวแล้ว”
“ฮ่าๆๆ เรื่องนั้นยังไกลนัก! อีกอย่างตอนนี้ข้าไม่ได้นึกถึงเรื่องนั้นเลย” เขาหัวเราะร่า สองมือเท้าเอวพลางมองคฤหาสน์หลังโอ่อ่าอย่างค่อนข้างรู้สึกประสบความสำเร็จ “ข้าอยากสร้างตระกูลกวนของข้าใหม่ด้วยมือตัวเอง เช่นนี้ข้าก็มีบ้านในแคว้นแสงสุริยันแล้ว ภายหลังไปยังที่อื่นๆ หากตามหาท่านพ่อท่านแม่พบจะได้รับพวกท่านกลับมาอยู่ด้วยกัน”
เฟิ่งจิ่วเห็นสีหน้าเขาทั้งปรารถนาและเฝ้ารอคอย จึงอดไม่ได้พูดว่า “พี่หาพวกเขาพบแน่!” นั่นคือความใฝ่ฝันและเรื่องที่เขาอยากทำมาโดยตลอด เธอเชื่อว่าหากใจเขามีความเชื่อมั่นก็ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้!
เช่นบ้านตระกูลกวนที่เขาสร้างขึ้นมาเองโดยไม่มีความช่วยเหลือจากใครอื่น ทั้งหมดพึ่งพาตนเอง อาศัยเพียงความเชื่อมั่นที่ยึดถือไว้!
กวนสีหลิ่นที่เท้าเอวยืนอย่างมั่นคง บนหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทันใดนั้นก็เหมือนนึกอะไรได้ จึงรีบบอกเฟิ่งจิ่วว่า “ใช่แล้วเสี่ยวจิ่ว ข้าต้องไปปรึกษาท่านปู่เรื่องย้ายเข้าบ้านอีกสามวันให้หลังเพราะยังมีเรื่องไม่เข้าใจอีกมาก ขึ้นบ้านใหม่ต้องเชิญใครบ้าง ต้องปรึกษาท่านเสียหน่อย”
“เช่นนั้นไปเถอะ ตอนนี้ท่านปู่คงอยู่ในเรือนท่านพ่อ” เธอยิ้มๆ ก่อนจะเดินไปจวนตระกูลเฟิ่งพร้อมกับเขา
ภายใต้ความช่วยเหลือของท่านผู้เฒ่า เขาช่วยกวนสีหลิ่นทำรายชื่อคนที่ต้องเชิญมาวันขึ้นบ้านใหม่ เพียงแต่พวกวงศ์ตระกูลกับกลุ่มอำนาจในเมือง ยังต้องอาศัยเรื่องมงคลอย่างการขึ้นบ้านใหม่นี้ทำให้พวกเขารู้ว่ากวนสีหลิ่นสร้างตระกูลของตัวเองแล้ว จากวันนี้ไปจะตั้งรกรากอยู่ในเมืองอวิ๋นเยวี่ย และกลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งในหมู่พวกเขา
แม้ยามนี้เป็นเพียงตระกูลเล็กๆ แต่ด้วยกำลังของเขาเอง สุดท้ายวันหนึ่งจะต้องทำให้คนไม่กล้าดูถูกดูแคลนได้อย่างแน่นอน!
วันนี้ กวนสีหลิ่นสั่งให้คนนำเทียบเชิญที่เขียนเรียบร้อยแล้วไปส่งถึงมือแต่ละตระกูลและกลุ่มอำนาจในเมือง เชิญมาจวนตระกูลกวนอีกสามวันข้างหน้าเพื่อดื่มสังสรรค์ในงานมงคลขึ้นบ้านใหม่ เนื่องในโอกาสที่บ้านเขาสร้างเสร็จ
พูดได้ว่าหลังจากได้รับคำเชิญที่กวนสีหลิ่นสั่งคนมาส่งให้ ท่าทีของคนแต่ละตระกูลล้วนแตกต่างกัน แต่ละฝ่ายแอบคิดว่า ‘เทียบเชิญของกวนสีหลิ่นส่งมาแล้ว ถึงเวลานั้นพวกเขาจะไปหรือไม่ไปดี?’
กวนสีหลิ่นผู้นี้ถือเป็นบุคคลหนึ่ง อายุยังน้อยก็มีความกล้าสร้างตระกูลของตัวเองขึ้นเช่นนี้ กล่าวได้ว่าการเติบโตของเขาในเกือบหนึ่งปีมานี้ช่างน่าอัศจรรย์ และพวกเขาก็ให้ความสำคัญกับพัฒนาการของเด็กคนนี้ในวันข้างหน้าเป็นที่สุด
หากได้สานสัมพันธ์กับเขาก็ถือเป็นเรื่องดี แต่ว่า…
พวกเขาต่างรู้ว่ากวนสีหลิ่นเป็นบุตรบุญธรรมของเฟิ่งเซียว หากเขาส่งเทียบเชิญนี้มาตอนที่เฟิ่งเซียวยังไม่เกิดเรื่อง เดาว่าพวกเขาคงส่งคนไปเตรียมของขวัญเยี่ยมแสดงความยินดีโดยไม่ลังเล ทว่ายามนี้เฟิ่งเซียวหมดสติไม่ฟื้น ฐานะจวนตระกูลเฟิ่งก็เสี่ยงอันตรายไปตามเฟิ่งเซียวที่ล้มป่วยลง เทียบเชิญของกวนสีหลิ่นถูกส่งมาในเวลานี้ ทำให้พวกเขาลังเลอยู่บ้างจริงๆ
………………………………