ตอนที่ 349 ตามหายา!
เฟิ่งจิ่วอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อตลอดเช้า ตอนใกล้ๆ เที่ยงวันถึงจะเห็นท่านปู่กลับมา
“แม่หนูเฟิ่ง ปู่ทำเรื่องส่งมอบไปเรียบร้อยแล้ว” ผู้เฒ่าเดินเข้ามาทั้งใบหน้าเผยรอยยิ้ม หลังรินเหล้าแก้วหนึ่งข้างโต๊ะถึงจะไปทางด้านในห้อง เห็นเฟิ่งเซียวพิงอยู่หัวเตียงสภาพจิตใจไม่เลวจึงนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ
“ท่านปู่ ผู้ครองแคว้นทำให้ท่านลำบากใจหรือไม่เจ้าคะ?” เฟิ่งจิ่วมองเขาพลางถาม ถึงบอกว่าคืนอำนาจให้แต่กลุ่มอำนาจจวนตระกูลเฟิ่งก็ยังคงไม่มีใครกล้าดูหมิ่น เดาว่าผู้ครองแคว้นคงไม่วางใจพวกเขานัก
“ไม่เลย พอจวนตระกูลเฟิ่งเรามอบอำนาจก็เห็นเขายินดียิ่ง แล้วจะทำให้คนแก่ๆ อย่างปู่ลำบากใจไปทำไมเล่า? พวกข้าราชการอาวุโสแนะให้อยู่ต่อตลอด อยากให้ปู่เปลี่ยนใจ พวกเขาเป็นคนเก่าคนแก่รุ่นก่อนจึงรู้ถึงความจงรักภักดีที่จวนเรามีต่อแคว้นแสงสุริยัน แต่ว่า… เฮ้อ!” ผู้เฒ่าถอนหายใจ สำหรับมู่หรงป๋อคนนั้นบอกได้เลยว่าน่าผิดหวัง
พวกเขาปกปักษ์แคว้นแสงสุริยันเพื่อเขามากว่าครึ่งชีวิต แต่สุดท้ายล่ะ? คิดจะสังหารลูกชายเขา ซ้ำยังจะให้หลานสาวเขาไปเป็นชายารองอีก
ชายารอง? นั่นเป็นการพูดให้น่าฟัง แต่ที่ไม่น่าฟังก็คือภรรยาน้อยไม่ใช่หรือ?
ไข่มุกล้ำค่าในมือจวนตระกูลเฟิ่งอันเกรียงไกรจะเป็นภรรยาน้อยของใครได้อย่างไร? ต่อให้เป็นพระชายาผู้ชายทั่วไปก็ไม่เหมาะสมกับแม่หนูเฟิ่งหรอก
“ในเมื่อส่งมอบอำนาจแล้วก็อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องพวกเขาเลยเจ้าค่ะ ท่านปู่หลานมีเรื่องจะบอก หลานอยากไปหายาในป่าเก้าหมอบมาให้ท่านพ่อ เรื่องในบ้านจึงต้องให้ท่านดูแลเสียหน่อย” เธอบอกแผนตนเองออกมา ไปป่าเก้าหมอบครั้งนี้คำนวณเวลาไปกลับครึ่งเดือนก็มากพอแล้ว
“ป่าเก้าหมอบ?” ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “สถานที่แห่งนั้นไม่ปลอดภัย สาวน้อยตัวคนเดียวเช่นหลานจะไปได้ยังไง? ขาดยาอะไรซื้อเอาไม่ได้หรือ?”
ฟังคำพูดเขาเหมือนกับท่านพ่อ เฟิ่งจิ่วก็ยิ้มขึ้นมาโดยฉับพลัน “หาซื้อไม่ได้เจ้าค่ะ เพราะมันเป็นโคลนยาที่อยู่ใต้ดิน แม้แต่ในตลาดมืดยังไม่มี หนำซ้ำสถานที่นั้นมีเพียงหลานที่รู้ว่าอยู่ไหน ดังนั้นจึงต้องไปเอง”
“แต่พวกท่านไม่ต้องกังวล ป่าเก้าหมอบหลานเคยไปเสียจนคุ้นเคยนักคงไม่มีอันตรายอะไร หลานคำนวณแล้วอย่างช้าสุดอีกครึ่งเดือนถึงจะกลับมา หากเร็วก็ประมาณสิบวันเจ้าค่ะ”
ได้ยินนางพูดถึงเพียงนี้ ผู้เฒ่าคิดแล้วคิดอีก บอกว่า “งั้นหลานพาองครักษ์ไปด้วยสองสามคนสิ ระหว่างทางจะได้มีคนคอยดูแล เช่นนี้พวกเราถึงจะวางใจได้บ้าง”
เธอส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ หลานไปเองได้ ลงมือเองจะเร็วกว่า หนำซ้ำท่านพ่อบาดเจ็บตรงนี้ยังขาดคนไม่ได้ ต้องให้พวกเขาเฝ้าไว้เพื่อป้องกันเผื่อเกิดเหตุร้ายอะไร”
“งั้นให้สีหลิ่นไปด้วยกันกับหลานเถอะ”
“ท่านปู่ หลานไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้วนะเจ้าคะ บอกว่าไม่อันตรายก็จะไม่มีอันตรายแน่ หลานยังต้องกำชับให้พี่ชายช่วยดูแลพวกท่านในเวลาที่ไม่อยู่ด้วย มิเช่นนั้นอยู่ข้างนอกก็ไม่วางใจหรอกเจ้าค่ะ”
“แต่ว่า…” ผู้เฒ่ายังอยากพูดแต่ก็ถูกนางขัดจังหวะ
“ไม่ต้องแต่แล้ว ท่านปู่ พวกท่านต้องเชื่อใจหลานนะเจ้าคะ”
เธอหัวเราะเบาๆ ไม่ให้โอกาสพวกเขาพูด ก่อนจะเดินออกไป “หลานจะไปบอกพี่ชาย จากนั้นหลังเตรียมตัวเสร็จสักพักก็จะออกเดินทางเจ้าค่ะ”
“แม่หนูนี่” ผู้เฒ่าส่ายหน้าอย่างทำอะไรไม่ได้แต่กลับไม่พูดอะไรอีก
“ช่างเถอะ ปล่อยนางไป! ในเมื่อนางบอกไม่เป็นไรก็คงไม่เป็นไรหรอก แต่ต้องให้พาเหล่าไป๋ไปด้วยจะดีที่สุด ถึงอย่างไรเหล่าไป๋ก็เป็นสัตว์วิญญาณ กำลังต่อสู้เทียบได้กับบรรพชนนักรบ มีเหล่าไป๋อยู่หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็สามารถช่วยนางได้บ้าง”
“อืม เจ้าพักผ่อนซะ ข้าจะไปคุยกับนางหน่อย” ผู้เฒ่าขานรับแล้วลุกขึ้นออกไป
………………………………………………….
ตอนที่ 350 เยือนป่าเก้าหมอบอีกครั้ง!
แต่ถึงจะคุยกันเช่นนั้นเขากลับหาตัวนางในจวนไม่เจอ เมื่อเห็นเหลิ่งซวงเข้ามาจากด้านนอกจึงรีบร้อนเรียกนางมาถาม “เหลิ่งซวง แม่หนูเฟิ่งเล่า?”
“ท่านผู้เฒ่า นายท่านไปแล้วเจ้าค่ะ นางพาหลัวอวี่ไปด้วย”
“แม่หนูนี่ พาหลัวอวี่วิ่งไปป่าเก้าหมอบแค่คนเดียว หากพบอันตรายเข้าจะทำยังไง? ไม่ได้ ข้าต้องให้คนอื่นๆ ตามไปอารักขา” ผู้เฒ่ากระซิบอย่างกังวลใจ ก่อนจะหันตัวไปหาองครักษ์พวกนั้น
เดิมเหลิ่งซวงอยากเรียกเขาไว้ทว่าคิดๆ แล้วก็ล้มเลิกไป ตอนจะไปนายท่านสั่งให้องครักษ์พวกนั้นคอยเฝ้าจวนและอารักขาผู้นำตระกูล หากยังเชื่อฟังคำสั่งผู้เฒ่าภายใต้คำสั่งนายท่าน เดาว่าพวกเขาคงโดนเฉดหัวส่งแน่
ตอนที่ผู้เฒ่าหาอีกเจ็ดคนที่เหลือพบพวกเขากำลังนั่งอยู่ในศาลา เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาเพิ่งจะโดนเรียกไปด้วยกันแต่กลับมอบภารกิจที่แตกต่าง นึกถึงหลัวอวี่ที่ตามคุณหนูใหญ่ออกไปบนใบหน้าก็มีท่าทีแปลกใจ
“พวกเจ้าคิดว่าทำไมคุณหนูใหญ่ถึงพาแค่หลัวอวี่ไป?”
“ว่ากันด้วยพละกำลัง ในหมู่พวกเราหลัวอวี่อยู่แค่ระดับกลาง ทำไมถึงพาเขาออกไปกัน?”
ฟั่นหลินยิ้มๆ เอ่ยว่า “ในหมู่พวกเรามีเพียงหลัวอวี่ที่ยอมรับนางเป็นนาย ไม่พาเขาไปแล้วจะเป็นใครได้อีก?”
“แต่เราไม่ได้บอกว่าจะไม่ยอมรับนี่!”
“พวกเรากำลังพิจารณาอยู่ต่างหาก” อีกคนหนึ่งพูดขึ้นทั้งรอยยิ้ม ส่ายหน้า “ช่างเถอะ ในเมื่อให้พวกเราอยู่งั้นคอยเฝ้าไว้ดีๆ ก็พอ”
“ท่านผู้เฒ่ามาแล้ว” หนึ่งในพวกนั้นบอก พวกเขาจึงต่างลุกยืนขึ้น
“คารวะท่านผู้เฒ่า” ทั้งเจ็ดคนเรียกพร้อมคารวะด้วยความเคารพ
ผู้เฒ่าโบกๆ มือ เอ่ยว่า “พวกเจ้าเตรียมตัวซะ ต้องรีบตามไปโดยเร็ว แม่หนูเฟิ่งพาแค่หลัวอวี่ไปป่าเก้าหมอบข้าไม่วางใจเลย!”
ป่าเก้าหมอบ?
พวกเขามองหน้ากัน เพียงรู้ว่าคุณหนูใหญ่พาหลัวอวี่ออกไปกลับไม่รู้ว่าไปป่าเก้าหมอบ นั่นเป็นสถานที่อันตรายนางจะไปทำอะไรกัน?
ทว่าพวกเขาเพียงชะงักไปเล็กน้อยสักพักกลับไม่ขานรับ กล่าวอย่างขออภัย “ท่านผู้เฒ่า ขออภัยที่พวกเราไม่อาจฟังคำสั่ง”
ผู้เฒ่าตกใจ ถามว่า “เพราะเหตุใด?”
“ก่อนคุณหนูใหญ่จะไปได้สั่งพวกเราให้คอยเฝ้าจวนและอารักขาท่านผู้เฒ่ากับท่านผู้นำตระกูล ดังนั้นในขณะที่คุณหนูยังไม่กลับมาพวกเราจะออกไปโดยพลการไม่ได้ขอรับ”
ได้ยินคำพูดนี้ผู้เฒ่าก็นิ่งไป มองพวกเขาโดยไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง เวลานี้เขาจึงรู้เจตนาของแม่หนูเฟิ่ง นางอยากลองดูว่าองครักษ์พวกนี้จะปฏิบัติตามคำสั่งได้ถึงขั้นไหนกันแน่
เห็นเช่นนี้ก็ทำได้เพียงถอนหายใจ “งั้นก็ช่างมันเถอะ!” เขาคิดอยู่ว่าจะส่งคนอื่นนอกจากนี้ตามไปดีหรือไม่?
เหล่าองครักษ์ตระกูลเฟิ่งเหมือนจะมองความคิดเขาออก เพียงมองหน้ากันแวบหนึ่งแล้วให้สัญญาณฟั่นหลินเอ่ยปาก
“ท่านผู้เฒ่า”
ฟั่นหลินประสานมือคารวะ บอกว่า “อันที่จริงท่านผู้เฒ่าไม่ต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณหนูใหญ่หรอกขอรับ ตามความเข้าใจที่พวกเรามีต่อคุณหนูในช่วงนี้นางจะไม่ทำเรื่องที่ไม่มั่นใจว่าสำเร็จ ในเมื่อพาไปแค่หลัวอวี่งั้นต้องไม่มีอันตรายอะไรแน่ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้สิ่งที่นางไม่วางใจที่สุดก็คือความปลอดภัยภายในตระกูล”
ผู้เฒ่ามองพวกเขาพลันเผยรอยยิ้มออกมา “พวกเจ้าเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในหมู่องครักษ์ ได้ติดตามแม่หนูเฟิ่งถือเป็นความโชคดีของพวกเจ้าแล้ว”
เห็นพวกเขามีท่าทางสงสัยไม่เข้าใจเขาก็หัวเราะลั่นขึ้นมา “เรื่องนี้น่ะ! อีกหน่อยพวกเจ้าก็รู้เอง” พูดพลางโบกมือแล้วหมุนตัวจากไป
……………………………