ตอนที่ 353 หายไปทันใด! เฟิ่งจิ่วชำเลืองมองเขา บอกว่า “เรือเหาะลำนี้ขยายใหญ่และย่อส่วนได้ แน่นอนว่าข้าวของบนเรือจะใช้ได้เมื่อขยายใหญ่ขึ้น” สิ้นสุดเสียงเธอก็กำชับ “เรื่องเรือเหาะออกจากที่นี่ก็ลืมๆ ไปซะจะได้ไม่เกิดปัญหา” “ขอรับ ข้าน้อยเข้าใจ” เขาขานรับ หากคนอย่างผู้ครองแคว้นรู้ว่านางมีเรือเหาะจะต้องมาแย่งไปแน่ ถึงอย่างไรพาหนะเหาะเหินที่น่าอัศจรรย์เช่นนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ได้จะมีไว้ครอบครอง นางไม่พูดเขาก็ไม่ถามอะไรอีก ทั้งสองกินอาหารไปเงียบๆ จนกระทั่งถึงเวลาฟ้าสว่าง หลัวอวี่ลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆ เอ่ยด้วยความสงสัยอยู่บ้าง “นายท่าน แม้ป่าเก้าหมอบนี้เป็นสถานที่อันตรายแต่ก็ไม่ได้บอกว่าไม่มีคนมา พวกเรานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งนานทำไมยังไม่เห็นใครเข้าไปสักคนล่ะขอรับ?” “ข้าก็ไม่ได้มาบ่อย ไหนเลยจะรู้” เธอกรอกดวงตาแล้วสาวก้าวเดินไปด้านใน พลันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างจึงเงยหน้ามองไปกลางอากาศ เพียงเห็นพวกผู้ฝึกเซียนที่ร่อนกระบี่ลอยฟ้ากำลังเดินทางไปยังป่าเก้าหมอบ ความเร็วที่ว่องไว้ทำให้พวกเขาได้ยินแค่เสียงลมวาดผ่านเหนือศีรษะไปชั่วขณะและกลับคืนสู่ความสงบในเวลาต่อมา “พวกผู้ฝึกเซียน! ไม่รู้ว่ามาจากแคว้นไหนกันนะขอรับ” หลัวอวี่พูดขึ้นด้วยความอิจฉานิดหน่อย “หากพวกเราเหาะกระบี่ได้บ้างคงดี” ลองนึกถึงความรู้สึกที่ได้ยืนอยู่บนตัวกระบี่เหาะเหินไป ร่างกายก็รู้สึกมีชีวิตชีวา ได้ยินเช่นนี้เฟิ่งจิ่วก็หัวเราะเบาๆ “ระดับบรรพชนนักรบก็เหาะกระบี่ได้แล้วไม่ใช่หรือ เจ้าเร่งฝึกบำเพ็ญซะ ผ่านถึงระดับบรรพชนนักรบก็สามารถเหาะกระบี่บินอย่างพวกเขาได้ตลอด” “ต่อให้ถึงระดับบรรพชนนักรบก็ต้องมีคาถาเหาะกระบี่ขอรับ! อีกอย่างตอนนี้ข้าน้อยเพิ่งอยู่ระดับยอดปรมาจารย์นักรบพลังเร้นลับขั้นกลาง จะบรรลุถึงขั้นสูงสุดเดาว่าอย่างเร็วสุดต้องใช้เวลาสองสามปี” อันที่จริงความเร็วในการฝึกบำเพ็ญของพวกเขาเร็วมาก ถึงอย่างไรพวกผู้นำตระกูลเองก็เพิ่งถึงระดับบรรพชนนักรบ พวกเขามีความสามารถเช่นนี้ได้ถือว่ายอดเยี่ยมแล้วในหมู่คนรุ่นเดียวกัน เฟิ่งจิ่วเหลือบมองเห็นสีหน้าเขามีความพอใจในตนเอง จึงยิ้มๆ โดยไม่พูดอะไร แค่เร่งฝีเท้าเดินพุ่งไปด้านหน้า หลัวอวี่ด้านหลังเห็นท่าทางก็เร่งฝีเท้าตามเข้าไป สองร่างปรี่ตรงไปยังส่วนลึกของป่าเก้าหมอบตามๆ กันเพื่อไม่ให้เสียเวลาอยู่รอบนอก… ตอนพลบค่ำทั้งสองเดินเข้ามารอบด้านใน เพราะท้องฟ้ามืดลงจึงพักผ่อนอยู่บริเวณใต้ต้นไม้ “นายท่าน ท่านพักอยู่ตรงนี้เถอะ ข้าน้อยจะไปหาพวกอาหารป่ามาทำมื้อค่ำ” หลัวอวี่กล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินไปบริเวณรอบๆ “ระวังตัวหน่อย อย่าไปไกลเกินล่ะ” เฟิ่งจิ่วบอกพร้อมเงยหน้ามองไปตามทิศทางที่เขาจากไป ก่อนจะหยิบพวกสมุนไพรที่เก็บมาตลอดทางออกมาจัดการแยกประเภทเพื่อถือโอกาสทำยาไว้ป้องกันตัว ทว่าเมื่อท้องฟ้ามืดลง หลังจากใช้พวกสมุนไพรทำยาเสร็จเพิ่งนึกได้ว่าไม่เห็นหลัวอวี่กลับมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้ถึงจะรู้สึกผิดปกติ หลังเก็บยาสองสามขวดนั้นก็ลุกขึ้นมามองไปรอบข้าง เดิมทีเธอไม่ค่อยสนใจนักเพราะนี่เป็นเพียงสถานที่รอบด้านในที่เข้ามาครั้งแรก ต่อให้มีอันตรายด้วยฝีมือหลัวอวี่คงไม่มีปัญหาแน่ แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้น? ไม่นึกเลยว่าจะหายไปอย่างเงียบเชียบไร้เสียง เธอหลับตาลงปล่อยดวงจิตออกมานำพา เป็นดังคาดทุกสถานที่ที่ดวงจิตสัมผัสถึงล้วนไม่เห็นกลิ่นอายหลัวอวี่ ลืมตาขึ้นท่าทีหวั่นๆ เล็กน้อยพร้อมขมวดคิ้วเบาๆ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? เฟิ่งจิ่วสงสัยอยู่ในใจ กระซิบเสียงเบาว่า “โชคดีที่ข้ายังมีสติอยู่” จากนั้นจึงเคลื่อนก้าวไปตามหายังทิศทางที่หลัวอวี่ออกไป …………………………………………………. ตอนที่ 354 เสียงแปลกๆ! ตามท้องฟ้าที่มืดลงเธอเดินเพียงลำพังอยู่กลางป่า เสียงที่ดังขึ้นข้างหูคือเสียงร้องของแมลงกับเสียงใบไม้ที่ถูกสายลมพัดไหว ดวงจันทร์ยังซ่อนตัวในผืนเมฆไม่โผล่หัวออกมา ทว่ากลางป่าที่มืดสนิทบนพื้นดินกลับมีของบางอย่างส่องแสงเป็นจุดๆ สีขาวอยู่เลือนราง นั่นคือผงเกล็ดที่เธอโรยไว้บนตัวหลัวอวี่ ตอนกลางวันจะมองไม่ออกแต่กลับเด่นชัดเป็นพิเศษในตอนกลางคืน แม้ไม่รู้ว่าเขาไปไหนหรือเกิดเรื่องอะไรขึ้น ขอแค่ออกตามหาไปตามเกล็ดผงพวกนี้ก็คงตามหาเขาได้พบ เพียงหวังว่าเมื่อเธอหาตัวพบเขาจะยังมีชีวิตอยู่ก็พอ “หืม?” เธอที่เดินมาระยะหนึ่งประหลาดใจนิดหน่อย รู้สึกถึงสายลมยามค่ำคืนที่พัดมาชั่วครู่ ทั้งร่างกายขนลุกชูชันขึ้นมา ผงะไปเล็กน้อยสักพักหนึ่ง ก่อนจะเก็บกิ่งไม้มาจุดไฟใช้แสงสว่างนำทางเพื่อที่จะสามารถเห็นสภาพแวดล้อมรอบข้างได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ว่ากันตามเหตุผล เธอเคยมาป่าเก้าหมอบนี้จึงไม่ควรเกิดเรื่องแปลกๆ หรืออันตรายอะไรที่ยังไม่รู้ถึงจะถูก แต่ยามนี้พอออกหาตามเกล็ดผงนั้นไปกลับพบว่ายิ่งเดินก็ยิ่งเข้าไปยังรอบด้านใน ดูจากจำนวนเกล็ดผงที่โรยรายบนพื้นหลัวอวี่คงไม่ได้ต่อสู้กับใครเพราะปริมาณนั้นคงที่ยิ่งนัก เหมือนจะร่วงลงพื้นอย่างเป็นธรรมชาติมาก ไม่มีร่องรอยกวัดแกว่งขณะต่อสู้เลยสักนิด “มาสิ… มาสิ…” ทันใดนั้น เสียงที่ทั้งนุ่มนวลและห่างไกลพลันลอยเข้าหู น้ำเสียงที่อ่อนโยนดั่งมารดาทำให้เธอจิตใจผ่อนคลาย ซ้ำยังเหมือนแฝงไปด้วยความสามารถพิเศษในการสะกดจิตและทำลายซึ่งความตั้งใจเดิม สายตาจึงค่อยๆ ฝ้าฟางขึ้นมา ฝีเท้าที่เคลื่อนขยับเดินไปข้างหน้าตามเสียงนั้นทีละก้าวๆ “มาสิ… มาสิ…” ขณะนั้นเหมือนมีกลิ่นอายหนึ่งห่อหุ้มเธอไว้ ระหว่างที่พร่ามัวคล้ายจะมองเห็นว่าเบื้องหน้ามีมือคู่หนึ่งกำลังกวักเรียก เสียงหนึ่งเรียกขึ้นเบาๆ ให้เธอตามไป บริเวณโดยรอบทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นเลือนราง ภายในห้วงความคิดช่างว่างเปล่ามองไปด้านหน้าอย่างมึนงง มีเพียงเสียงนั้นที่กำลังก้องกังวานอยู่ข้างหูเพื่อนำทาง… ทันใดนั้นตรงแขนก็มีความเจ็บแสบแล่นขึ้นมา จิตใจสั่นไหวฝีเท้าหยุดลงพลันได้สติกลับมา เห็นว่าแขนถูกกิ่งไม้ข้างๆ ข่วน ด้วยคบเพลิงในมือจึงสามารถเห็นเลือดสดไหลออกมาและความเจ็บนั้นก็ทำให้เธอได้สติ นึกถึงตรงนี้เธอคร่ำเครียดอยู่ในใจ ท่าทางจริงจังขึ้นมา น้ำเสียงนั้นประหลาดเหลือเกิน เธอเกือบตกหลุมพรางทำให้สับสน แต่นั่นคืออะไรกัน? เป็นคน? หรือว่า… ผี? เฟิ่งจิ่วที่ตั้งสติไว้มองไปรอบข้างอย่างระมัดระวัง โดยรอบทั้งหมดยังคงปกติไม่เห็นท่าทีแปลกๆ เลยแม้แต่น้อย กลับมีเพียงเสียงนั้นที่ไม่รู้ว่าลอยมาจากไหน “มาสิ… มาสิ…” รอบนี้นึกไม่ถึงว่าเธอจะเห็นด้านหน้ามีเปลวไฟสีเขียวราวดวงวิญญาณสองดวงกำลังขยับขึ้นลง เปลวไฟนั้นหมุนวนอยู่เบื้องหน้าเธอ น้ำเสียงนั้นคล้ายจะกระจายออกมาจากเปลวไฟสีเขียว ในความเลือนรางนั้นไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่นัก ชั่วขณะนั้นความคิดในใจเธอหวนคิดอย่างรวดเร็ว ตอนที่มาครั้งก่อนไม่มีพวกผีสางอะไรพรรค์นี้เลย ทำไมครั้งนี้กลับมีของพวกนี้อยู่? ในเมื่อสิ่งนี้มีความสามารถทำให้จิตใจคนสับสน ทำไมเธอไม่วางแผนซ้อนแผนแล้วลองดูว่าดวงไฟวิญญาณสีเขียวนี้จะพาไปที่ไหนได้? เวลานี้เธอมั่นใจอย่างมากว่าการหายตัวไปของหลัวอวี่จะไม่เกี่ยวข้องกับดวงไฟวิญญาณและเสียงแปลกๆ นั่นไปไม่ได้เลย เธออยากจะเห็นเสียหน่อย ว่าใครกันแน่ที่ตั้งใจวางกลลวงหลอกปั่นปวนผู้คนในป่าเก้าหมอบแห่งนี้! ………………………
ตอนที่ 353 หายไปทันใด!
เฟิ่งจิ่วชำเลืองมองเขา บอกว่า “เรือเหาะลำนี้ขยายใหญ่และย่อส่วนได้ แน่นอนว่าข้าวของบนเรือจะใช้ได้เมื่อขยายใหญ่ขึ้น” สิ้นสุดเสียงเธอก็กำชับ “เรื่องเรือเหาะออกจากที่นี่ก็ลืมๆ ไปซะจะได้ไม่เกิดปัญหา”
“ขอรับ ข้าน้อยเข้าใจ” เขาขานรับ หากคนอย่างผู้ครองแคว้นรู้ว่านางมีเรือเหาะจะต้องมาแย่งไปแน่ ถึงอย่างไรพาหนะเหาะเหินที่น่าอัศจรรย์เช่นนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ได้จะมีไว้ครอบครอง
นางไม่พูดเขาก็ไม่ถามอะไรอีก ทั้งสองกินอาหารไปเงียบๆ จนกระทั่งถึงเวลาฟ้าสว่าง
หลัวอวี่ลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆ เอ่ยด้วยความสงสัยอยู่บ้าง “นายท่าน แม้ป่าเก้าหมอบนี้เป็นสถานที่อันตรายแต่ก็ไม่ได้บอกว่าไม่มีคนมา พวกเรานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งนานทำไมยังไม่เห็นใครเข้าไปสักคนล่ะขอรับ?”
“ข้าก็ไม่ได้มาบ่อย ไหนเลยจะรู้” เธอกรอกดวงตาแล้วสาวก้าวเดินไปด้านใน พลันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างจึงเงยหน้ามองไปกลางอากาศ
เพียงเห็นพวกผู้ฝึกเซียนที่ร่อนกระบี่ลอยฟ้ากำลังเดินทางไปยังป่าเก้าหมอบ ความเร็วที่ว่องไว้ทำให้พวกเขาได้ยินแค่เสียงลมวาดผ่านเหนือศีรษะไปชั่วขณะและกลับคืนสู่ความสงบในเวลาต่อมา
“พวกผู้ฝึกเซียน! ไม่รู้ว่ามาจากแคว้นไหนกันนะขอรับ” หลัวอวี่พูดขึ้นด้วยความอิจฉานิดหน่อย “หากพวกเราเหาะกระบี่ได้บ้างคงดี” ลองนึกถึงความรู้สึกที่ได้ยืนอยู่บนตัวกระบี่เหาะเหินไป ร่างกายก็รู้สึกมีชีวิตชีวา
ได้ยินเช่นนี้เฟิ่งจิ่วก็หัวเราะเบาๆ “ระดับบรรพชนนักรบก็เหาะกระบี่ได้แล้วไม่ใช่หรือ เจ้าเร่งฝึกบำเพ็ญซะ ผ่านถึงระดับบรรพชนนักรบก็สามารถเหาะกระบี่บินอย่างพวกเขาได้ตลอด”
“ต่อให้ถึงระดับบรรพชนนักรบก็ต้องมีคาถาเหาะกระบี่ขอรับ! อีกอย่างตอนนี้ข้าน้อยเพิ่งอยู่ระดับยอดปรมาจารย์นักรบพลังเร้นลับขั้นกลาง จะบรรลุถึงขั้นสูงสุดเดาว่าอย่างเร็วสุดต้องใช้เวลาสองสามปี”
อันที่จริงความเร็วในการฝึกบำเพ็ญของพวกเขาเร็วมาก ถึงอย่างไรพวกผู้นำตระกูลเองก็เพิ่งถึงระดับบรรพชนนักรบ พวกเขามีความสามารถเช่นนี้ได้ถือว่ายอดเยี่ยมแล้วในหมู่คนรุ่นเดียวกัน
เฟิ่งจิ่วเหลือบมองเห็นสีหน้าเขามีความพอใจในตนเอง จึงยิ้มๆ โดยไม่พูดอะไร แค่เร่งฝีเท้าเดินพุ่งไปด้านหน้า
หลัวอวี่ด้านหลังเห็นท่าทางก็เร่งฝีเท้าตามเข้าไป สองร่างปรี่ตรงไปยังส่วนลึกของป่าเก้าหมอบตามๆ กันเพื่อไม่ให้เสียเวลาอยู่รอบนอก…
ตอนพลบค่ำทั้งสองเดินเข้ามารอบด้านใน เพราะท้องฟ้ามืดลงจึงพักผ่อนอยู่บริเวณใต้ต้นไม้
“นายท่าน ท่านพักอยู่ตรงนี้เถอะ ข้าน้อยจะไปหาพวกอาหารป่ามาทำมื้อค่ำ” หลัวอวี่กล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินไปบริเวณรอบๆ
“ระวังตัวหน่อย อย่าไปไกลเกินล่ะ”
เฟิ่งจิ่วบอกพร้อมเงยหน้ามองไปตามทิศทางที่เขาจากไป ก่อนจะหยิบพวกสมุนไพรที่เก็บมาตลอดทางออกมาจัดการแยกประเภทเพื่อถือโอกาสทำยาไว้ป้องกันตัว
ทว่าเมื่อท้องฟ้ามืดลง หลังจากใช้พวกสมุนไพรทำยาเสร็จเพิ่งนึกได้ว่าไม่เห็นหลัวอวี่กลับมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้ถึงจะรู้สึกผิดปกติ หลังเก็บยาสองสามขวดนั้นก็ลุกขึ้นมามองไปรอบข้าง
เดิมทีเธอไม่ค่อยสนใจนักเพราะนี่เป็นเพียงสถานที่รอบด้านในที่เข้ามาครั้งแรก ต่อให้มีอันตรายด้วยฝีมือหลัวอวี่คงไม่มีปัญหาแน่ แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้น? ไม่นึกเลยว่าจะหายไปอย่างเงียบเชียบไร้เสียง
เธอหลับตาลงปล่อยดวงจิตออกมานำพา เป็นดังคาดทุกสถานที่ที่ดวงจิตสัมผัสถึงล้วนไม่เห็นกลิ่นอายหลัวอวี่ ลืมตาขึ้นท่าทีหวั่นๆ เล็กน้อยพร้อมขมวดคิ้วเบาๆ
เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
เฟิ่งจิ่วสงสัยอยู่ในใจ กระซิบเสียงเบาว่า “โชคดีที่ข้ายังมีสติอยู่” จากนั้นจึงเคลื่อนก้าวไปตามหายังทิศทางที่หลัวอวี่ออกไป
………………………………………………….
ตอนที่ 354 เสียงแปลกๆ!
ตามท้องฟ้าที่มืดลงเธอเดินเพียงลำพังอยู่กลางป่า เสียงที่ดังขึ้นข้างหูคือเสียงร้องของแมลงกับเสียงใบไม้ที่ถูกสายลมพัดไหว ดวงจันทร์ยังซ่อนตัวในผืนเมฆไม่โผล่หัวออกมา ทว่ากลางป่าที่มืดสนิทบนพื้นดินกลับมีของบางอย่างส่องแสงเป็นจุดๆ สีขาวอยู่เลือนราง
นั่นคือผงเกล็ดที่เธอโรยไว้บนตัวหลัวอวี่ ตอนกลางวันจะมองไม่ออกแต่กลับเด่นชัดเป็นพิเศษในตอนกลางคืน แม้ไม่รู้ว่าเขาไปไหนหรือเกิดเรื่องอะไรขึ้น ขอแค่ออกตามหาไปตามเกล็ดผงพวกนี้ก็คงตามหาเขาได้พบ
เพียงหวังว่าเมื่อเธอหาตัวพบเขาจะยังมีชีวิตอยู่ก็พอ
“หืม?”
เธอที่เดินมาระยะหนึ่งประหลาดใจนิดหน่อย รู้สึกถึงสายลมยามค่ำคืนที่พัดมาชั่วครู่ ทั้งร่างกายขนลุกชูชันขึ้นมา ผงะไปเล็กน้อยสักพักหนึ่ง ก่อนจะเก็บกิ่งไม้มาจุดไฟใช้แสงสว่างนำทางเพื่อที่จะสามารถเห็นสภาพแวดล้อมรอบข้างได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ว่ากันตามเหตุผล เธอเคยมาป่าเก้าหมอบนี้จึงไม่ควรเกิดเรื่องแปลกๆ หรืออันตรายอะไรที่ยังไม่รู้ถึงจะถูก แต่ยามนี้พอออกหาตามเกล็ดผงนั้นไปกลับพบว่ายิ่งเดินก็ยิ่งเข้าไปยังรอบด้านใน
ดูจากจำนวนเกล็ดผงที่โรยรายบนพื้นหลัวอวี่คงไม่ได้ต่อสู้กับใครเพราะปริมาณนั้นคงที่ยิ่งนัก เหมือนจะร่วงลงพื้นอย่างเป็นธรรมชาติมาก ไม่มีร่องรอยกวัดแกว่งขณะต่อสู้เลยสักนิด
“มาสิ… มาสิ…”
ทันใดนั้น เสียงที่ทั้งนุ่มนวลและห่างไกลพลันลอยเข้าหู น้ำเสียงที่อ่อนโยนดั่งมารดาทำให้เธอจิตใจผ่อนคลาย ซ้ำยังเหมือนแฝงไปด้วยความสามารถพิเศษในการสะกดจิตและทำลายซึ่งความตั้งใจเดิม สายตาจึงค่อยๆ ฝ้าฟางขึ้นมา ฝีเท้าที่เคลื่อนขยับเดินไปข้างหน้าตามเสียงนั้นทีละก้าวๆ
“มาสิ… มาสิ…”
ขณะนั้นเหมือนมีกลิ่นอายหนึ่งห่อหุ้มเธอไว้ ระหว่างที่พร่ามัวคล้ายจะมองเห็นว่าเบื้องหน้ามีมือคู่หนึ่งกำลังกวักเรียก เสียงหนึ่งเรียกขึ้นเบาๆ ให้เธอตามไป
บริเวณโดยรอบทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นเลือนราง ภายในห้วงความคิดช่างว่างเปล่ามองไปด้านหน้าอย่างมึนงง มีเพียงเสียงนั้นที่กำลังก้องกังวานอยู่ข้างหูเพื่อนำทาง…
ทันใดนั้นตรงแขนก็มีความเจ็บแสบแล่นขึ้นมา จิตใจสั่นไหวฝีเท้าหยุดลงพลันได้สติกลับมา เห็นว่าแขนถูกกิ่งไม้ข้างๆ ข่วน ด้วยคบเพลิงในมือจึงสามารถเห็นเลือดสดไหลออกมาและความเจ็บนั้นก็ทำให้เธอได้สติ
นึกถึงตรงนี้เธอคร่ำเครียดอยู่ในใจ ท่าทางจริงจังขึ้นมา
น้ำเสียงนั้นประหลาดเหลือเกิน เธอเกือบตกหลุมพรางทำให้สับสน แต่นั่นคืออะไรกัน? เป็นคน? หรือว่า… ผี?
เฟิ่งจิ่วที่ตั้งสติไว้มองไปรอบข้างอย่างระมัดระวัง โดยรอบทั้งหมดยังคงปกติไม่เห็นท่าทีแปลกๆ เลยแม้แต่น้อย กลับมีเพียงเสียงนั้นที่ไม่รู้ว่าลอยมาจากไหน
“มาสิ… มาสิ…”
รอบนี้นึกไม่ถึงว่าเธอจะเห็นด้านหน้ามีเปลวไฟสีเขียวราวดวงวิญญาณสองดวงกำลังขยับขึ้นลง เปลวไฟนั้นหมุนวนอยู่เบื้องหน้าเธอ น้ำเสียงนั้นคล้ายจะกระจายออกมาจากเปลวไฟสีเขียว ในความเลือนรางนั้นไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่นัก
ชั่วขณะนั้นความคิดในใจเธอหวนคิดอย่างรวดเร็ว ตอนที่มาครั้งก่อนไม่มีพวกผีสางอะไรพรรค์นี้เลย ทำไมครั้งนี้กลับมีของพวกนี้อยู่? ในเมื่อสิ่งนี้มีความสามารถทำให้จิตใจคนสับสน ทำไมเธอไม่วางแผนซ้อนแผนแล้วลองดูว่าดวงไฟวิญญาณสีเขียวนี้จะพาไปที่ไหนได้?
เวลานี้เธอมั่นใจอย่างมากว่าการหายตัวไปของหลัวอวี่จะไม่เกี่ยวข้องกับดวงไฟวิญญาณและเสียงแปลกๆ นั่นไปไม่ได้เลย
เธออยากจะเห็นเสียหน่อย ว่าใครกันแน่ที่ตั้งใจวางกลลวงหลอกปั่นปวนผู้คนในป่าเก้าหมอบแห่งนี้!
………………………