ตอนที่ 355 หงส์ไฟตื่นแล้ว!
พอตัดสินใจแน่วแน่เฟิ่งจิ่วจึงทำท่าทางเหมือนโดนยั่วยวนและควบคุมเดินตามเสียงนั้นต่อไป สิ่งที่น่าแปลกใจคือเธอเดินตามเสียงนั้นไปในยามค่ำคืนกลับไม่ได้ยินเสียงสัตว์ร้ายสักตัว บริเวณรอบๆ ยังเงียบเชียบเสียจนผิดปกติ
เธอคิดไปพลางๆ ว่าอันตรายแบบไหนกันแน่ที่ทำให้สัตว์ร้ายรอบด้านในป่าเก้าหมอบนี้ต่างหลบซ่อนไม่ออกมา? ต้องมีฝีมือมากแค่ไหนถึงจะทำเช่นนี้ได้?
เธอยังจำตอนที่เพิ่งเข้าป่ามาได้ เคยเห็นผู้ฝึกเซียนพวกนั้นร่อนกระบี่บินเข้าป่าเก้าหมอบ ตอนนั้นแม้แค่ชำเลืองยังมองออกได้ว่าวรยุทธ์คนพวกนั้นเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับหลอมแก่นพลัง
ผู้แข็งแกร่งระดับหลอมแก่นพลัง หากอยู่ในแคว้นระดับเก้า ผู้แข็งแกร่งระดับหลอมแก่นพลังกระทืบเท้าก็สามารถทำให้แคว้นแคว้นหนึ่งโกลาหลขึ้นมาได้ ต้องรู้ไว้ว่าบรรพบุรุษพวกตระกูลใหญ่ในแคว้นเหินเวหาถึงจะมีวรยุทธ์ระดับหลอมแก่นพลัง
ด้วยเหตุนี้เธอจึงเดาว่าพวกผู้แข็งแกร่งระดับหลอมแก่นพลังพวกนั้นที่เหาะกระบี่เข้าป่าเก้าหมอบมาอย่างน้อยก็มาจากแคว้นระดับหกขึ้นไป
ทว่าหากมาจากแคว้นพวกนั้น ทำไมถึงมายังแคว้นเล็กๆ อย่างแสงสุริยัน?
ด้วยความสงสัยในใจ หลังเดินมาสามชั่วยามเธอเห็นเปลวไฟสีเขียวที่นำทางอยู่ตรงหน้าบินไปข้างหน้า และตอนนี้เองเบื้องหน้าก็มีน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวดังมาอยู่แว่วๆ
ขณะที่เธอกำลังจะเคลื่อนก้าวเข้าไป ในห้วงความคิดจู่ๆ ก็มีเสียงที่ทั้งกังวลและเป็นห่วงของหงส์ไฟน้อยลอยมา
“เจ้าหญิงโง่! ไปต่อไม่ได้นะ มันอันตรายมาก!”
“หงส์ไฟน้อย? เจ้าตื่นแล้ว?” เฟิ่งจิ่วตกใจเล็กน้อย หยุดฝีเท้าลงเอ่ยถามด้วยดวงจิตอย่างประหลาดใจ
“แน่นอนสิ หากยังไม่ตื่นจะพูดคุยกับเจ้าได้ยังไง”
หงส์ไฟน้อยในห้วงมิติขานรับอย่างหยิ่งผยองยิ่งนัก จากนั้นน้ำเสียงเด็กน้อยหยิ่งยโสลอยมาอีกครั้ง เตือนว่า “จะไปข้างหน้าอีกไม่ได้ ด้วยกำลังเจ้ารับมือไม่ไหวหรอก”
ได้ยินคำพูดนี้เฟิ่งจิ่วชะงักไปเล็กน้อยสักพัก หลับตาลงบอกด้วยดวงจิตว่า “หลัวอวี่คงอยู่ข้างหน้า ข้าพาเขาออกมาจะไม่สนใจไม่ได้”
หงส์ไฟน้อยได้ยินคำพูดนี้ก็ตะคอกราวกับกำลังกระโดดโลดเต้นทันที “เจ้าหญิงโง่! ข้าบอกว่าอันตรายมากเจ้าไม่ได้ยินหรือ? สิ่งที่ทำให้ข้าบอกว่าอันตรายได้มันต้องอันตรายแน่นอน รู้ชัดว่าอันตรายยังจะวิ่งเข้าไปอีกเจ้าโง่หรือยังไงกัน?”
สำหรับเขาหลัวอวี่เป็นแค่ข้ารับใช้ คนที่ไร้ความสามารถจะตายก็ตายไปเถอะเขาคงไม่เหลียวแล แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่เหมือนกัน นางเป็นผู้ถือพันธสัญญาและเจ้านายหากตายไปเขาก็อยู่ไม่ได้
หนำซ้ำในสายตาเขาเจ้านายที่ไปตายเพื่อข้ารับใช้คนหนึ่งถือเป็นคนโง่เขลาอย่างแน่นอน เพราะไม่คุ้มค่านักมาแต่ไหนแต่ไร แม้แต่คนโง่ยังไม่ทำเช่นนั้น!
ทว่าดูเจ้าหญิงโง่คนนี้สิ จะเข้าไปโดยไม่ฟังคำพูดเขาอยากวิ่งไปรนหาที่ตายจริงๆ รึ?
นึกถึงตรงนี้เขาโกรธเคืองอยู่ในใจ ทำไมเพิ่งตื่นมาก็ทำให้เขาเป็นห่วงเสียแล้ว? แม้เป็นสัตว์เทวะในตำนานแต่ตอนนี้ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่เป็นแค่ช่วงวัยเด็กเท่านั้น! เรื่องพวกนี้ไม่ควรต้องทำให้เขาเป็นห่วงสิถึงจะถูก
แต่เขาก็ดันทนไม่ไหว
เฟิ่งจิ่วได้ยินเขาสบถด่าด้วยความวิตกเพียงหลับตาลงช้าๆ พูดบอกเบาๆ ด้วยดวงจิตว่า “หงส์ไฟน้อย หากกลับกันเป็นเจ้าตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเจ้า แม้จะรู้ดีว่ามีอันตรายข้าก็ไม่อาจมองนิ่งดูดายโดยไม่สนใจ”
หงส์ไฟน้อยที่ได้ยินคำพูดนี้หัวใจสั่นไหวตกตะลึงไปชั่วขณะ นั่งนิ่งอึ้งอยู่ในห้วงมิติด้วยความตกใจ ความวิตกและโมโหที่เคยอยู่ในหัวใจจึงหายไปอย่างไร้ร่องรอยเพราะคำพูดนาง ใบหน้าเล็กงดงามเผยท่าทางแปลกประหลาด
เพียงเห็นเขาย่นใบหน้าเล็กละเอียดราวลูกซาลาเปาพร้อมเบ้ปาก น้ำเสียงเด็กน้อยอ่อนโยนขึ้นมา “งั้นเจ้าก็ระวังตัวหน่อย”
………………………………………………….
ตอนที่ 356 ค่ายกลเลือดแปลกประหลาด!
ได้ยินเช่นนี้ มุมปากเฟิ่งจิ่วยกขึ้นน้อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา “อืม ข้าจะระวัง” เพราะรู้ถึงความแข็งแกร่งของศัตรูดังนั้นจึงยิ่งระวังมากขึ้น
“ข้าเพิ่งตื่นขึ้นมา ทุกด้านของร่างกายยังไม่ฟื้นเต็มที่น่าจะช่วยเจ้าไม่ไหว” หงส์ไฟน้อยเอ่ยเข้ามาในห้วงความคิดนางด้วยน้ำเสียงอึดอัดใจ
“อืม ไม่เป็นไร หากสู้ไม่ได้แค่ช่วยหลัวอวี่แล้วข้าก็จะหนีเลย”
เธอแค่วางแผนจะหนีไปหลังจากช่วยคน ไม่ได้คิดจะร่วมต่อสู้ ด้วยเหตุนี้พอตัดสินใจแล้วจึงเคลื่อนฝีเท้าเข้าไปช้าๆ เดินตามเสียงนั้นไป
เมื่อภาพที่ดวงไฟวิญญาณสีเขียวล่องลองอยู่ตรงหน้าในยามราตรีสะท้อนสู่สายตาเธอก็หวาดหวั่นในใจ เพียงรู้สึกว่าเรื่องนี้คงจะยุ่งยากกว่าที่คิดภาพไว้
พื้นที่ว่างอันกว้างขวางเบื้องหน้านั้นมีเขตอาคมก่อตัวอยู่ เลือดที่ไม่รู้ว่าผุดขึ้นมาจากไหนพรั่งพรูอยู่กลางเกราะป้องกันเขตอาคม มองไปท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดสนิทราวกับเลือดนั้นพุ่งพล่านอยู่กลางเวหาอย่างแปลกประหลาด
เลือดที่มากมายเช่นนั้นทว่ายามนี้เธอที่ยืนอยู่นอกเขตอาคมกลับไม่ได้กลิ่นคาวเลือดแม้แต่น้อย เพียงเห็นว่าด้านในเขตอาคมมีดวงไฟวิญญาณสีเขียวหลายสิบดวงกำลังโลดแล่น เสียงดังซ่าๆ พร้อมด้วยเสียงร้องเจ็บปวดจากการดิ้นรนต่อสู้กระจายออกมาจากเปลวไฟนั้น ช่างดูแปลกประหลาดยิ่งนักในยามค่ำคืนเช่นนี้ ทำให้คนขนพองสยองเกล้าอย่างอดไม่ได้
ภายใต้ท้องฟ้ามืดสนิทมีเพียงดวงไฟสีเขียวนั้น และเพราะอาศัยเปลวไฟที่เหมือนกับดวงวิญญาณเหล่านั้นเธอจึงเห็นร่างคนตรงกลางได้อย่างชัดเจน
คนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางพื้นที่ว่างอันกว้างขวางเป็นชายชราที่ผมเผ้าปล่อยสยาย ใบหน้าชราภาพที่เต็มไปด้วยริ้วรอยดูซูบผอมและมืดมน รอยเลือดแต่ละเส้นปรากฏอยู่บนใบหน้านั้นคล้ายจะมีเลือดไหลอยู่ ดูน่าแปลกตา
เสื้อคลุมสีดำตัวกว้างที่เปิดอยู่บนร่างเขาทำเสียงดังอยู่กลางสายลมยามรัตติกาล รอบๆ ตรงที่นั่งอยู่มีกะโหลกศีรษะที่อาบเลือดแต่ละหัววางล้อมรอบเป็นวงแหวน กลิ่นอายความมืดมิดที่เห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายอยู่บนรอบตัว กลิ่นอายนั้นแข็งแกร่งเสียจนหัวใจเธอเกิดความรู้สึกอันตรายที่รุนแรง
เหมือนมีเสียงหนึ่งกำลังบอกเธอ เข้าไปอีกไม่ได้ เข้าใกล้อีกไม่ได้ มิเช่นนั้นจะต้องตายอยู่ที่นี่แน่!
ส่วนผู้ฝึกเซียนพวกนั้นที่กำลังกู่ร้องด้วยความขุ่นเคืองก็คือสี่คนที่เธอเหลือบเห็นตอนเข้าป่า ทว่าตอนนี้พวกเขาแต่ละคนต่างแยกกันทรุดนั่งอยู่บนพื้น กลิ่นอายบนร่างคล้ายกำลังจางหาย และตรงจุดที่ออกจากคนพวกนั้นมาหน่อยยังมีอีกหลายคนนั่งอยู่บนพื้นเช่นกัน
พวกเขาราวกับเสียสติกันไป นั่งขัดสมาธิทั้งสายตาเซื่องซึมมองไปด้านหน้าอย่างนิ่งงันไร้ชีวิตชีวาปานหุ่นไม้ และเหนือศีรษะทุกคนล้วนมีเปลวไฟสีเขียวดวงหนึ่งวนล้อมรอบ
หลัวอวี่เองก็เป็นหนึ่งในนั้น
“มาสิ… มาสิ…”
ทันใดนั้น ผู้หญิงผมยาวสวมชุดกระโปรงสีแดงดุจโลหิตก็มายังเบื้องหน้าเธออย่างเงียบเชียบไร้เสียงราวกับภูตผี ใบหน้าขาวซีดที่ขยายใหญ่ขึ้นตรงหน้ากะทันหันไม่มีสีเลือดเลยสักนิด แต่ริมฝีปากคู่นั้นกลับแดงสดงดงามแปลกๆ ดวงตาที่จ้องมาพร้อมไอภูตผีเย็นเยียบยิ่งทำให้ทั่วร่างหนาวเหน็บจนถึงกระดูก
เฟิ่งจิ่วแทบจะตอบโต้ในทันทีแต่กลับกดเอาไว้เสียดื้อๆ ฝืนทนความหวาดกลัวและตกใจที่ประดังขึ้นในก้นบึ้งหัวใจ แล้วเดินเข้าไปยังเขตอาคมที่มีเลือดพุ่งพล่านนั้นภายใต้การกวักมือเรียกของหญิงชุดแดงด้วยสายตาเหม่อลอย…
…………………………