ตอนที่ 369 จิตวิญญาณหงส์เพลิง!
ทันทีที่กล่าวจบกลิ่นอายทั่วร่างเขาก็พรั่งพรูขึ้นมา แรงกดดันและกระแสลมแข็งแกร่งพร้อมด้วยกระแสกลิ่นอายแห่งความตายและประกายโลหิตไหลพล่าน แววตาดุร้ายกระหายเลือดจ้องเฟิ่งจิ่วไว้นิ่ง ร่างกายโผจู่โจมออกไปราวกับพลุไฟ กระแสลมแรงกดดันทั่วร่างปกคลุมไปหานาง โอบกอดความตั้งมั่นที่จะพินาศไปพร้อมๆ กันไว้กับการโจมตีครั้งนี้!
กลิ่นอายแห่งความตายอันล้นหลามจู่โจมเข้าหา ผู้ฝึกตนระดับหลอมพลังทั้งสี่คนต่างถูกผลักออกไป ระหว่างที่โดนผลักกระเด็นพวกเขาเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงโดยฉับพลัน กระแสลมและแรงกดดันที่ทรงพลังนั้นเห็นชัดว่าเป็นกำลังทั้งหมดของผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังขั้นสูงสุด!
เขาตั้งใจจะตายไปพร้อมกันในการเสี่ยงครั้งนี้!
เป็นดังเขาว่า แม้ตายเขาก็จะลากสาวน้อยที่ทำเขาเสียเรื่องคนนั้นมาเป็นแพะด้วย!
“หนีเร็ว!”
พวกเขาสี่คนตะโกนด้วยความตกใจ เพราะไม่มีความสามารถจะช่วยเหลือจึงทำได้เพียงนิ่งดูดายมองสาวน้อยสวมชุดคลุมสีขาวนั้นที่ไม่รู้ว่าตกใจกลัวหรือยังไงถึงยืนมองอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน ให้นางหนีไปกลับยังเผยรอยยิ้มแปลกๆ ออกมา ทำให้คิดว่านางตกใจกลัวไปเสียแล้วจริงๆ
“นายท่าน!”
หลัวอวี่ก็อึ้งกับภาพเช่นนี้ อยากจะออกหน้ากลับไม่มีทางเข้าใกล้เพราะแรงกดดันระดับหลอมแก่นพลังของชายชราคนนั้นแข็งแกร่งเกินไป แม้เขาออกมาไกลถึงร้อยเมตรร่างกายยังแข็งทื่อไม่อาจขยับ ได้แต่มองภาพที่เกิดขึ้นนั้นอย่างนิ่งดูดาย
“นายท่าน…”
ฝ่ามือเขากำหมัดแน่นหัวใจบีบรัดเป็นก้อน ในสายตาเขานายท่านคงขยับตัวไม่ได้ภายใต้แรงกดดันนั้น เวลานี้เขาเสียใจอย่างยิ่งหากระวังเสียหน่อยนายท่านอาจไม่ต้องเสี่ยงอันตรายเพื่อเขา และไม่ตกอยู่ในสถานการณ์อย่างเช่นตอนนี้
หากนายท่านตายเพราะเขา จะกลับไปบอกกับทุกคนเช่นไร? เกรงว่าคงยากที่จะสงบจิตใจไปตลอดชีวิตนี้…
ยามนี้เขาถึงกับทนไม่ได้และไม่กล้ามองไปยังภาพตรงหน้า เขาที่เห็นความเป็นความตายและการนองเลือดจนเคยชินยังไม่อาจนึกภาพว่าจะได้เห็นฉากบีบหัวใจที่นางเลือดสาดกระเซ็นด้วยตาตนเอง แต่เขาหลับตาไม่มองไม่ได้ แม้เลือดนั้นจะเจิ่งนองมากมายหรือภาพนั้นจะโหดเหี้ยมอย่างยิ่งก็ต้องเบิกตามอง
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขานึกไม่ถึงคือสิ่งที่สะท้อนมาไม่ใช่ภาพนองเลือดของนายท่าน แต่เป็นภาพที่ทำให้เขาตะลึงถึงที่สุด…
นางที่สวมชุดคลุมสีขาวเงินยืนอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรีราวกับทวยเทพที่ทั้งสง่างามและศักดิ์สิทธิ์ ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน ไม่ตกใจหรือหวาดกลัว เธอแทงกระบี่คมพยับลงไปยังพื้นดินตรงหน้า สองมือวาดสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนไว้เบื้องหน้าพลางริมฝีปากขยับพึมพำเล็กน้อย
เพียงเห็นว่าหลังมือนางวาดสัญลักษณ์บนร่างมีแสงแวววาวกระจายออกมา แรงกดดันที่ทรงพลังและน่าสะพรึงแผ่อยู่รอบกาย และในยามนี้เองสายตาดุดันก็กวาดมองไปทางหัวหน้าคนนั้นที่พุ่งเข้ามา น้ำเสียงทรงอำนาจและเย็นเยียบราวกับดังลอยไกลมาแต่โบราณ
“จิตวิญญาณหงส์เพลิง! จงสังหารให้ราบ!”
สิ่งที่ออกมาพร้อมกับน้ำเสียงนั้นคือเปลวไฟสีแดงฉานโชติช่วงที่พลันไหลพล่านจากภายในร่างนาง เปลวไฟนั้นกำลังลุกโชนก่อตัวกลายเป็นรูปร่างหงส์ไฟตัวใหญ่ยักษ์ เสียงหงส์ร้องราวกับเปล่งออกมาจากเปลวไฟร่างหงส์นั้นและกึกก้องไปท่ามกลางค่ำคืน เวลาต่อมาเปลวไฟใหญ่ยักษ์ก็โจมตีไปพร้อมกับกระแสลมและแรงกดดันที่แข็งแกร่งน่าสะพรึง ห่อหุ้มและแผดเผาทั้งร่างชายชราคนนั้นหรือแม้แต่กลิ่นอายทั้งหมดที่เข้ามาปกคลุม…
“อ๊าก! ไม่…”
เสียงกรีดร้องรุนแรงเล็กแหลมดังมาจากภายในเปลวเพลิง พุ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างมีความไม่ยอมและโกรธเคืองอยู่หนาแน่น ก้องกังวานอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามวิกาล…
………………………………………………….
ตอนที่ 370 ภัยพิบัติจวนตระกูลเฟิ่ง?
เฟิ่งจิ่วเหมือนจะใช้เรี่ยวแรงไปจนหมด เห็นหัวหน้าคนนั้นถูกหงส์เพลิงเผากลายเป็นเถ้าถ่านและหายไปกลางอากาศ วิกฤติบรรเทาเธอเพียงรู้สึกว่าตรงหน้ามืดลง สุดท้ายจึงทนไม่ไหวล้มไปด้านหลังอย่างไร้เรี่ยวแรง
“นายท่าน!”
หลัวอวี่ได้สติกลับมาจากภาพน่าตกตะลึงนั้น ถึงกับไม่มีเวลาไปคิดว่าหงส์ไฟที่ก่อตัวจากเปลวเพลิงตัวนั้นมาได้อย่างไร พอเห็นนางล้มไปก็อุทานพร้อมปรี่เข้ามารับนางไว้
“นายท่าน? นายท่าน? นายท่าน?…”
เขาเรียกด้วยความวิตก เห็นนางเป็นลมล้มลงในอ้อมแขนอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เรียกยังไงก็ไม่เคลื่อนไหวเลยสักนิดจึงรีบเร่งใช้มือลองวัดลมหายใจด้วยความกังวลใจและเป็นห่วง พอเห็นว่ายังมีลมหายใจถึงจะวางใจลงได้
ยามนี้ผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังทั้งสี่ก็ได้สติกลับมาจากความตื่นตกใจแล้วมองหน้ากัน ต่างกดความตกตะลึงประหลาดใจและความสั่นไหวจากจิตใจและสายตาไว้ไม่ได้ สายตามองไปทางคนที่เป็นลมล้มลง ก่อนจะรีบร้อนเดินเข้ามา
“พวกท่านจะทำอะไร!”
หลัวอวี่จ้องพวกเขาอย่างระมัดระวัง มือหนึ่งดึงกระบี่คมพยับที่นายท่านแทงไว้บนพื้นเก็บเข้าห้วงมิติ แล้วค่อยอุ้มนางถอยห่างด้วยความรวดเร็ว แอบคิดในใจว่า ‘หากสี่คนนี้มีเจตนาร้ายกับพวกเขา ด้วยกำลังเขาเกรงว่าจะปกป้องนายท่านไม่ได้แน่’
“เจ้าไม่ต้องกังวล พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้าย” หนึ่งในนั้นพูดขึ้นพร้อมให้สัญญาณว่าเขาไม่ต้องวิตก
“พวกเรารับนางเป็นนายแล้ว นางจึงเป็นนายท่านของพวกเรา หาที่วางนางลงก่อนเถอะ พวกเราจะดูอาการนางให้เอง” อีกคนหนึ่งบอก มองไปรอบๆ สถานที่ที่มีกลิ่นเหม็นกระจายคิ้วก็ขมวดกันขึ้นมา
สองคนนอกนั้นต่างพยักหน้า กล่าวว่า “ถูกต้อง สถานที่แห่งนี้มีกลิ่นเลือดรุนแรงนัก ออกไปก่อนค่อยคุยกันเถอะ”
เห็นเช่นนี้หลัวอวี่ก็นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาร่วมกันต่อกรกับชายชราคนนั้น ถึงจะวางใจพยักหน้าบอกว่า “ขอรับ” จากนั้นจึงอุ้มเฟิ่งจิ่วที่หมดสติออกจากที่นี่โดยเร็ว พวกเขาตามหาสถานที่ใหม่ที่ห่างไกลจากกลิ่นเลือดแล้วหยุดลง
หลัวอวี่วางนางลงบนพื้นหญ้า ถึงจะเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล “บนตัวนายท่านไม่มีบาดแผลอะไร แต่ทำไมถึงหมดสติไป? จะบาดเจ็บภายในหรือไม่?” เขาไม่ใช่ฟั่นหลินไม่รู้เรื่องการแพทย์ ตอนนี้จึงไม่รู้ว่านางบาดเจ็บภายในหรือไม่
“ข้าขอดูหน่อย”
ผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังคนหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น เข้าไปจับชีพจรนางไม่ทันไรก็ดึงมือกลับ บอกว่า “เพราะนางใช้เลือดลมเกินขนาดจึงสลบไป เลือดลมที่นางใช้ในการโจมตีครั้งสุดท้ายนั้นคงมากเกินควรถึงได้ทนไม่ไหวจนหมดสติ ไม่มีอะไรร้ายแรง พักผ่อนไปสักพักก็จะฟื้น”
เห็นเขาพูดเช่นนี้หลัวอวี่ก็พยักหน้าไม่เอ่ยอะไรอีก แค่นั่งเฝ้าอยู่ข้างกาย
“หลังจัดการบาดแผลพวกเราค่อยมาปรับกลิ่นอายเพื่อรักษาตัวกันเถอะ!”
พวกเขาพูดพลางมองหน้ากัน เดินไปเปลี่ยนชุดคลุมบนตัวที่ขาดรุ่ยเพราะเถ้าถ่านในบริเวณไม่ไกล หยิบยาออกมาพันแผลภายนอกเสียหน่อยแล้วใช้น้ำในถุงใส่น้ำล้างหน้าอย่างลวกๆ จากนั้นค่อยกลับมานั่งขัดสมาธิปรับกลิ่นอายตรงใกล้ๆ เฟิ่งจิ่ว
เวลาในยามค่ำคืนผ่านไปอย่างเงียบเชียบ ความสงบหลังผ่านอันตรายทำให้คนอดไม่ได้ที่จะผ่อนคลายลง อาจเพราะแรงกดดันอันทรงพลังที่ปกคลุมสถานที่แห่งนี้ไว้ค่อยๆ จางไป ตามด้วยท้องฟ้าที่สว่างขึ้นอย่างช้าๆ ภายในป่าจึงมีเสียงร้องคำรามเบาๆ ของสัตว์ร้ายลอยมาอยู่แว่วๆ
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาต่างนึกไม่ถึงคือเดิมทีคิดว่าเฟิ่งจิ่วจะฟื้นขึ้นมาเมื่อฟ้าสว่าง กลับไม่นึกว่าจะหลับใหลไปเป็นเวลาถึงสามวันสามคืน…
และในขณะที่เธอกำลังหมดสติ ภายในเมืองอวิ๋นเยวี่ยก็มีภัยพิบัติที่ไม่คาดคิดมาเยือนตระกูลเฟิ่งอย่างไร้ซึ่งคำเตือนทำให้พวกเขาไม่ทันรับมือ…
………………………