ตอนที่ 375 คำสาบานต่อฟ้าดิน!
ได้ยินคำพูดนี้พวกเขาก็ตกใจเล็กน้อย นางหมายความเช่นไร? หากไม่เต็มใจพวกเขาจะยอมรับนายได้หรือ? ยิ่งไปกว่านั้นชีวิตและวิญญาณพวกเขาต่างอยู่ในกำมือนาง หรือยังมีทางเลือกอีก?
เหมือนจะรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไร เฟิ่งจิ่วหยิบดวงวิญญาณสี่ดวงคืนให้พวกเขา บอกว่า “ก่อนหน้านี้ที่เก็บวิญญาณพวกท่านไว้เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง ตอนนี้วิกฤตคลี่คลายแล้วจึงคืนดวงวิญญาณให้ หากจะจากกันก็ไปตามทางตนเองเถอะ!”
วิญญาณทั้งสี่ถูกพวกเขาเก็บกลับไป แต่เวลานี้หัวใจกลับสั่นไหวน้อยๆ ด้วยกำลังพวกเขาหากรับไว้เป็นข้ารับใช้สำหรับนางก็เหมือนเสือติดปีก แต่พวกเขานึกไม่ถึงว่านางจะคืนวิญญาณให้ซ้ำยังพูดออกมาเช่นนี้
ไม่ว่าจะจริงใจหรือลองเชิงเวลานี้ชีวิตพวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในกำมือนางอีกต่อไป สำหรับพวกเขาล้วนเป็นความจริงแท้ ต่อให้เป็นเรื่องดีถึงอย่างไรใครก็ไม่ยอมให้ชีวิตตนเองถูกบีบไว้ในมือคนอื่น
แต่ปล่อยให้พวกเขาเลือกว่าจะจากไปหรือไม่ ให้อำนาจเลือกตัดสินใจใหม่อีกครั้ง กลับทำให้พวกเขาครุ่นคิดขึ้นมา
อยู่ต่อ? หรือจากไป?
นี่เป็นคำถามที่คุ้มค่าการพิจารณา
และเวลานี้หลัวอวี่ข้างๆ ก็กลั้นใจมองพวกเขาอย่างเคร่งเครียดอยู่บ้าง สี่คนนี้จะเลือกอยู่ต่อหรือไม่? หากพวกเขาอยู่ต่อไปได้นั่นถือเป็นเรื่องดีสำหรับนายท่านอย่างแน่นอน
ถึงอย่างไรกำลังของผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังสี่คนนี้ก็ห่างไกลจากองครักษ์อย่างพวกเขามากนัก!
ทั้งสี่คนครุ่นคิดสักพักก่อนจะมองหน้ากัน จากนั้นจึงบอกเฟิ่งจิ่วว่า “พวกเรายินยอมที่จะอยู่ต่อและเคารพนายท่านเป็นนายขอรับ” แม้ตอนนี้กำลังนางจะยังไม่มากพอให้พวกเขาสวามิภักดิ์ แต่มองในระยะยาวจากการต่อสู้คืนนั้นพวกเขาก็รู้ว่านางหาใช่ผู้ที่ไร้ความทะเยอทะยานไม่!
ได้ยินเช่นนี้เฟิ่งจิ่วก็ยกริมฝีปากขึ้นยิ้ม ในดวงตามีประกายแสงปรากฏ กลางหว่างคิ้วมีความมั่นใจและภูมิใจ บอกว่า “แล้วพวกท่านจะรู้ว่าการตัดสินใจในวันนี้นั้นถูกต้องที่สุด!”
เธอลุกขึ้นยืนจากพื้น สายตามองตรงที่พวกเขาพลางกล่าวว่า “แต่พวกท่านต้องจำไว้ ผู้ใต้บังคับบัญชาข้าไม่อนุญาตให้มีคนคิดคดเด็ดขาด หากวันหนึ่งพวกท่านหักหลังข้า ไม่ว่าจะสุดล่าฟ้าเขียวแม้ห่างไกลก็ต้องถูกสังหารสิ้น!”
ทั้งสี่คนหัวใจสั่นสะท้าน ต่างเสียขวัญเพราะความเย็นเยียบและท่าทีในน้ำเสียงนั้น ยามนี้พวกเขาไม่ฉงนสงสัยในคำพูดนางเลยสักนิด หากวันหนึ่งพวกเขาหักหลังนางจริงๆ จะต้องทำอย่างที่พูดวันนี้แน่ๆ
นึกถึงตรงนี้ทั้งสี่ก็สงบจิตสงบใจ เอ่ยถามด้วยใบหน้าท่าทางจริงจัง “ขอบังอาจถามว่านายท่านชื่อแซ่อะไรหรือขอรับ?”
เธอชำเลืองมองพวกเขา ตอบว่า “เฟิ่งจิ่ว”
ทั้งสี่คนพยักหน้า เวลานี้จึงใช้สองนิ้วชี้ขึ้นฟ้าพร้อมกล่าวเสียงเข้ม “ข้าขอสาบานไว้ ณ ที่นี้ ว่าจากนี้ไปจะจงรักภักดีต่อเฟิ่งจิ่ว เคารพเป็นนายท่านและติดตามไปชั่วชีวิตโดยไม่คิดคดทรยศหักหลังเด็ดขาด! หากผิดคำสาบานขอให้ฟ้าดินลงลงทัณฑ์!”
แทบทันทีที่สิ้นสุดเสียงพวกเขาผืนดินที่ยืนอยู่ก็ปรากฏลวดลายซับซ้อน พลังวิญญาณหลั่งไหลมาเชื่อมต่อกัน สุดท้ายจึงเข้าไปยังหว่างคิ้วพวกเขาและสูญสลายหายไป
เห็นภาพเช่นนี้แววตาเฟิ่งจิ่วสั่นไหวเล็กน้อย หากบอกว่าก่อนหน้านี้ยังไม่ไว้ใจพวกเขาอยู่บ้าง ถึงเวลานี้ก็พูดได้เลยว่าวางใจได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
คำสาบานต่อฟ้าดินไม่ใช่เรื่องพูดเล่นๆ หากพวกเขากล้าคิดคดทรยศเธอจริงๆ ไม่ต้องลงมือฟ้าดินก็จะลงทัณฑ์สังหารเสียเอง!
นี่คือกฎหลักฟ้าดินของโลกใบนี้!
หลัวอวี่มองตาค้าง เป็นครั้งแรกที่เห็นกฎหลักฟ้าดินปรากฏ ต้องรู้ไว้ว่าต่อให้เป็นพวกเขาถึงอยากจะยึดกฎหลักฟ้าดินก็ยังไม่มีคุณสมบัติเลย…
………………………………………………….
ตอนที่ 376 มุ่งมาหาเหล่าไป๋!
มีคำสาบานต่อฟ้าดินอยู่เช่นนี้แน่นอนว่าหลัวอวี่จึงไม่เคลือบแคลงและเชื่อใจพวกเขา แต่ช่วงเวลานี้ยังคงรู้สึกว่าทั้งหมดไม่เป็นจริงราวกับฝันไป…
ใครเล่าจะนึก เขาแค่ตามนายท่านมาหายายังป่าเก้าหมอบนี้เท่านั้นกลับเกือบตายอยู่ในนี้ แล้วตอนนี้นายท่านไม่เพียงพ้นอันตรายใหญ่หลวงซ้ำยังได้ผู้ฝึกตนวรยุทธ์ระดับหลอมแก่นพลังสี่คนมาเป็นข้ารับใช้ หากปล่อยสี่คนนี้ไว้ในแคว้นแสงสุริยันแม้แต่ผู้ครองแคว้นก็ยิ่งต้องสุภาพด้วย ทว่าตอนนี้พวกเขากลับเป็นแค่ข้ารับใช้ของนายท่านเท่านั้น
แค่ลองคิดก็รู้สึกตื่นเต้นแล้ว หากไม่ตามนายท่านออกมาเขาก็ไม่นึกว่านายท่านจะเก่งกาจถึงเพียงนี้
เฟิ่งจิ่วมองพวกเขาสี่คน พูดพร้อมเผยรอยยิ้มออกมา “ข้ามาป่าเก้าหมอบเพื่อเก็บยา ในเมื่อพวกท่านเลือกจะเคารพข้าเป็นนาย งั้นรอหลังจากเก็บยาได้แล้วค่อยติดตามข้ากลับจวนตระกูลเฟิ่งแล้วกัน!”
“ขอรับ” ทั้งสี่ต่างขานรับ ก่อนจะตามนางไปยังส่วนลึกด้านในป่า…
พวกเขาอยู่ในป่าเก้าหมอบเป็นเวลาสองวัน เพราะมีผู้ฝึกตนสี่คนนี้อยู่แทบพูดได้เลยว่าพวกสัตว์ร้ายในป่าแห่งนี้ยังไม่กล้าเข้าใกล้ ด้วยเหตุนี้ตลอดทางจึงไม่พบอันตรายหรือโดนถ่วงเวลาอะไร
ระหว่างนั้นเฟิ่งจิ่วก็พาพวกเขามายังส่วนที่ลึกที่สุดของป่าเก้าหมอบ หลังจากขุดเอาโคลนดำใจกลางภูเขาไฟที่ต้องใช้ในการเดินทางครั้งนี้แล้วเธอถึงจะออกไปยังเมืองอวิ๋นเยวี่ยพร้อมๆ กับพวกเขา…
สุดท้ายกระดาษก็ห่อไฟไว้ไม่ได้ ทุกวันจวนตระกูลเฟิ่งปิดประตูไม่รับแขกและไม่เห็นร่างท่านผู้เฒ่า การเคลื่อนไหวแปลกๆ เช่นนี้ย่อมดึงดูดความสนใจจากผู้คนอย่างแน่นอน
หลังจากสอบถามมาทุกวิถีทาง ในที่สุดข่าวที่ผู้เฒ่าหายตัวไปก็แพร่งพรายออกไปทำให้องครักษ์ไม่มีทางแม้แต่คิดจะปิดบัง
“ผู้นำตระกูล ไม่รู้ว่าข่าวกระจายออกไปได้ยังไงตลอดเช้าจึงต่างรู้กันทั่วเมือง ยามนี้คนไม่น้อยส่งคนเข้ามาถามไถ่ถึงเบาะแสของท่านผู้เฒ่า แม้แต่ผู้ครองแคว้นยังส่งคนมาด้วยขอรับ”
ภายในห้องเฟิ่งเซียวมีองครักษ์นายหนึ่งกำลังรายงานข่าวในเมืองรวมถึงสถานการณ์ของจวนในตอนนี้ว่าข่าวที่ผู้เฒ่าหายตัวไปกระจายออกไปแล้ว ไม่เพียงคนภายนอกแม้แต่คนในเรือนต่างก็กำลังพูดคุยกัน ยิ่งทำให้บ่าวรับใช้กังวลใจไม่สิ้นสุด
ถึงอย่างไรในสายตาพวกเขาผู้นำตระกูลยังหมดสติไม่ฟื้น ผู้เฒ่าก็หายตัวไปอีก เกรงว่าจวนตระกูลเฟิ่งนี้จะรับมือต่อไปไม่ไหวแล้ว
“ไม่ต้องสนใจเรื่องนอกจวน ให้คนภายในอย่าวุ่นวายกันเป็นพอ” เฟิ่งเซียวกล่าวเสียงเข้มพลางเอ่ยถามว่า “เรื่องที่ข้าให้เจ้าตามพวกองครักษ์กลับมาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ในหมู่พวกเราได้ส่งคนกลับไปตามแล้ว คงมาถึงภายในสองวันนี้ขอรับ”
ได้ยินเช่นนี้เฟิ่งเซียวก็พยักหน้า “อืม จำไว้อย่าดึงดูดความสนใจพวกกลุ่มอำนาจในเมือง ให้พวกเขาปลอมตัวเตรียมพร้อมอยู่ในเมืองก็พอ นอกจากนี้หากเสี่ยวจิ่วกลับมาให้รีบเข้ามาบอกข้า”
“ขอรับ” ฟั่นหลินขานรับถึงจะถอยออกไป
ทว่าฟั่นหลินเพิ่งถอยออกไปองครักษ์อีกคนกลับเดินเข้ามา “ท่านผู้นำตระกูล นอกจวนมีบรรพชนนักรบสองท่านถือราชโองการจากราชวังเข้ามาเยี่ยมเยียน บอกไปแล้วว่าจวนปิดประตูไม่รับแขกแต่พวกเขากลับไม่ยอมออกไป ซ้ำยังพูดว่าวันนี้จะต้องเข้าจวนมาให้จงได้ขอรับ”
ได้ยินคำพูดนี้ เฟิ่งเซียวที่นั่งหลับตาเอนหลังอยู่บนเตียงก็ลืมตาขึ้น ขมวดคิ้วพลางถาม “บรรพชนนักรบรึ?”
เขาครุ่นคิดเล็กน้อย บอกว่า “นั่นเป็นคนของผู้ครองแคว้น แต่พวกเขาทำเพื่ออะไรกัน?”
องครักษ์ลังเลสักพัก มองเขาพร้อมบอกว่า “เหมือนจะมุ่งมาหาเหล่าไป๋ขอรับ”
“อะไรนะ?”
เฟิ่งเซียวโมโหขึ้นมา ถึงไม่เห็นก็รู้ได้ว่าบรรพชนนักรบสองคนนี้ที่มาถึงประตูเป็นใคร!
…………………………