ตอนที่ 383 กลับบ้าน!
“หลายวันแล้ว” ชายชราพูดเนิบๆ พลางถือไม้กวาดกวาดพื้นไปช้าๆ แล้วค่อยๆ เดินห่างออกไป
เห็นเช่นนี้เฟิ่งจิ่วเดินไปข้างหน้า หลังกำชับผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังสี่คนนั้นแล้วก็รีบกลับจวนอย่างรวดเร็ว…
เพราะเธอกลับบ้านก่อนเวลา มาถึงนอกกำแพงจวนอย่างเงียบเชียบตั้งแต่ยังไม่ค่ำ เห็นคร่าวๆ ว่าไม่มีใครจึงเรียกพลังกระโจนพุ่งตัวขึ้นไป เมื่อร่อนลงภายในสวนจวน เสียงตะโกนมากมายก็ดังมาพร้อมๆ กัน
“ใครน่ะ!”
ทหารอารักขาที่เฝ้ายามล้อมเข้ามา เพราะอีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าโทรมๆ บนใบหน้ายังทาขี้เถ้าไว้ทำให้มองไม่ออกจึงนึกว่าใครส่งคนเข้ามา กำลังจะชักกระบี่ก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยลอยมา
“ข้าเอง” เฟิ่งจิ่วเอ่ยปากบอกพลางมองทหารอารักขาที่ล้อมเข้ามา
เหล่าทหารอารักขาต่างตกใจ หลังได้สติก็รีบร้อนขานเรียกด้วยความเคารพ “คุณหนูใหญ่” พลางถอยออกไป
“อืม” เธอพยักหน้า เดินไปยังเรือนท่านพ่อ
“ฮี้”
เมื่อผ่านบริเวณภูเขาจำลอง เหล่าไป๋ที่นอนอยู่บนพื้นก็ส่งเสียงร้องสะบัดหางพุ่งไปหานางอย่างรวดเร็วและยื่นลิ้นออกมาจะเลียหน้า
“เหล่าไป๋” เฟิ่งจิ่วลูบๆ หัวมัน บอกยิ้มๆ ว่า “ตอนนี้ข้ามีธุระ เย็นๆ ค่อยมาหาเจ้า เป็นเด็กดีแล้วไปเล่นคนเดียวก่อนนะ” พูดจบก็สาวก้าวเดินไปต่อ
เหล่าไป๋ไม่รั้งนางไว้ แต่กลับเดินนวยนาดตามหลังไปยังเรือนเฟิ่งเซียว
องครักษ์ที่เฝ้าอยู่นอกเรือนเห็นร่างนั้นสวมชุดโทรมๆ เดินมาก็ตกใจเล็กน้อยไปพักหนึ่ง ขานเรียกด้วยความลังเล “คุณหนูใหญ่?”
เฟิ่งจิ่วเหลือบมองพวกเขา ถามว่า “หลัวอวี่กลับมาหรือยัง?”
“หลัวอวี่กลับมาแล้วตอนนี้คงอยู่ในเรือน ให้ข้าน้อยไปเรียกเขามาไหมขอรับ?” ฟั่นหลินเอ่ยปากถาม
“ไม่ต้องหรอก” เธอบอกก่อนจะเดินเข้าเรือนไป กลับเห็นมีคนแปดคนบ้างนั่งบ้างยืนอยู่ในสวน ต่างก็อายุราวๆ สี่สิบ
“คุณหนูใหญ่กลับมาแล้วหรือ?”
ทั้งแปดคนเห็นนางก็ลุกยืนขึ้นมาประสานมือคารวะด้วยความเคารพ “คารวะคุณหนูใหญ่”
“อืม”
เธอพยักหน้า แล้วเคลื่อนก้าวเดินไปข้างหน้า เฟิ่งจิ่วไม่รู้จักพวกเขาแต่ในความทรงจำกลับมีภาพว่าเป็นองครักษ์ของท่านพ่อ และตอนนี้ยังเป็นอาจารย์ของหัวหน้ากองย่อยแปดคนนั้น
“นายท่าน” เหลิ่งซวงเดินออกมา เห็นนางกลับมาท่าทางที่เย็นชาก็มีความดีใจปรากฏ
“พ่อข้าเป็นยังไงบ้าง?” เธอถามพลางเดินเข้าไป
“ท่านผู้นำตระกูลดีขึ้นมาแล้วเจ้าค่ะ”
เหลิ่งซวงบอกพลางตามหลังเธอเข้าไป เพราะนอกในเรือนล้วนมีคนเฝ้าช่วงนี้ประตูเรือนจึงไม่ได้ปิดไว้เท่าไหร่ และนายท่านยังสั่งว่าต้องให้ภายในห้องมีอากาศถ่ายเทเพื่อเป็นผลดีต่อการฟื้นตัวของผู้นำตระกูล
“นายท่านกลับแล้ว!” เหลิ่งหวาเห็นนางก็ยิ้มด้วยความระรื่น
“กลับมาแล้วล่ะ” เธอพยักหน้าเข้ามาในห้อง “ท่านพ่อ ลูกกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
เหลิ่งหวากับเหลิ่งซวงถอยออกไปเพื่อให้พื้นที่พวกเขาสองคน เหลิ่งซวงบอกว่า “อาหวา เจ้าอยู่เฝ้าที่นี่นะ ข้าจะกลับเรือนไปสั่งงานเสียก่อนค่อยเข้ามา”
“ขอรับ” เหลิ่งหวาขานรับ มองนางจากไปแล้วตนเองก็ยืนมองตากับชายวัยกลางคนแปดคนอยู่ในสวน
“เจ้าชื่อเหลิ่งหวารึ?” ชายวัยกลางคนหนึ่งในนั้นเอ่ยปากบอก สีหน้าที่เคร่งขรึมเสมอผุดรอยยิ้มออกมา มองยังไงก็ดูแข็งๆ นิดหน่อย
เหลิ่งหวามองพวกเขา พยักหน้า “ขอรับ”
“วิชาหมัดที่เจ้าฝึกอยู่ในสวนทุกเช้านั้นเรียกว่าอะไร? แล้วใครเป็นคนสอนเจ้า?” เขาถามอีก พวกเขามาถึงได้สองวัน จึงเห็นหนุ่มน้อยคนนี้ฝึกวิชาหมัดที่อ่อนช้อยอยู่ทุกๆ วัน วันนี้ถึงได้ถาม
………………………………………………….
ตอนที่ 384 อย่าก่อเรื่อง!
“มันเรียกว่าไทเก๊กขอรับ นายท่านสอนให้” เหลิ่งหวายกยิ้มขึ้นพูดอย่างเริงร่า ถึงภายในจวนมีคนมากมายเพียงนี้นายท่านก็สอนเขาแค่คนเดียวเท่านั้น
ไทเก๊ก? ชายวัยกลางคนทั้งแปดมองหน้ากัน ต่างไม่เคยได้ยินวิชาหมัดเช่นนี้ แต่ด้วยวรยุทธ์และสายตาจึงมองออกแน่นอนว่ากระบวนหมัดชุดนั้นอ่อนโยนยิ่งนัก คือการใช้ความอ่อนช้อยเปลี่ยนเป็นความแกร่งด้วยท่วงท่าสี่ตำลึงปาดพันชั่ง
“เหอะๆ เหลิ่งหวา พวกเรามาลองสักสองสามกระบวนท่าเป็นยังไง?” หนึ่งในนั้นพูดขึ้น อยากจะลองพลังของหมัดนั้นเสียหน่อย
ใครจะรู้ว่าเหลิ่งหวากลับส่ายหน้า “ไม่ได้ขอรับ นายท่านสอนไทเก๊กนอกจากเพื่อร่างกายแข็งแรงก็เพื่อให้ข้ามีความสามารถป้องกันตัว จะใช้แสดงโอ้อวดฝีมือไม่ได้”
ได้ยินคำพูดนี้มุมปากพวกเขาก็กระตุก “ไม่ใช่โอ้อวดฝีมือ เป็นการเรียนรู้กันและกันต่างหาก” ทำไมหนุ่มน้อยคนนี้ถึงซื่อบื้อเพียงนี้? ไหนบอกว่าวันนั้นเขายังสั่งสอนองครักษ์คนหนึ่งอยู่เลยไม่ใช่หรือ? ทำไมตอนนี้ถึงหัวถึงไม่เข้าคำพูดอ้อมค้อมเสียแล้วเล่า?
“เช่นนั้นก็ไม่ได้ขอรับ ข้าจะไม่ลงมือกับพวกเดียวกัน” เขาพูดพลางส่ายหน้า ยืนอย่างเป็นระเบียบและไม่คิดจะสนใจพวกเขาอีก
เห็นเช่นนี้พวกเขาก็ส่ายหน้ายิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่ไปหาพี่น้องคู่นี้มาจากไหน แม้กำลังจะไม่แกร่งมากแต่ชนะขาดในความภักดีที่มีมากพอต่อคุณหนูใหญ่
“เสี่ยวจิ่วกลับมาแล้วรึ?” กวนสีหลิ่นก้าวยาวเดินเข้ามาจากด้านนอก หลังจากเห็นชายวัยกลางคนแปดคนในสวนก็พยักหน้าให้
“คุณชาย นายท่านกลับมาแล้ว อยู่ข้างในห้องขอรับ” เหลิ่งหวาเอ่ยปากบอกพร้อมชี้ไปที่ห้อง
กวนสีหลิ่นก้าวยาวเดินเข้าไป บอกว่า “ข้ามีธุระกับนางพอดี” เขามาเคาะประตูหน้าห้องถึงจะเดินเข้าไป เห็นสองคนด้านในกำลังนั่งคุยกันอยู่จึงเดินไปหา
“พ่อบุญธรรม เสี่ยวจิ่ว”
“สีหลิ่นมาแล้ว! นั่งสิ“ เฟิ่งเซียวส่งสัญญาณให้เขามานั่งข้างๆ
“พี่ขาย แผ่นหยกนั้นตรวจสอบได้อะไรมาบ้าง?” ท่านพ่อบอกเรื่องคืนนั้นกับเธอแล้ว ตามความคิดเธอ คนคนนั้นแค่จับตัวท่านปู่ไปและไม่ทำร้ายคนในเรือนคงจะไม่ทำอะไรเขาหรอก แต่ก็ไม่รู้ว่านี่จะเกี่ยวโยงกับเรื่องอะไรกันแน่? ถึงต้องเข้ามาจับตัวท่านปู่ไป?
ด้วยกำลังท่านปู่ กำลังของคนที่จับตัวเขาไปต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ เธอถึงกับมั่นใจได้ว่าต้องไม่ใช่คนแคว้นแสงสุริยันแน่นอน
“ส่งให้ตลาดมืดตรวจสอบแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลอะไร ถึงอย่างไรกว่าข่าวนี้จะมาถึงยังต้องใช้เวลาสักพัก แต่ผู้ดูแลเหยียนบอกว่าหากมีข่าวคราวจะแจ้งพวกเราทันที”
กวนสีหลิ่นพูดจบก็มองเฟิ่งจิ่ว บอกว่า “ข้าได้ยินหลัวอวี่บอกว่าการไปครั้งนี้พวกเจ้าเจอปัญหาเข้า ตอนนี้ไม่เป็นอะไรกลับมาก็ดีแล้ว เจ้านี่จริงๆ เลย กับผู้แข็งแกร่งระดับหลอมแก่นพลังขั้นสูงสุดจะไปฝืนสู้ด้วยได้ยังไง? หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นพ่อบุญธรรมจะทำเช่นไร?”
“จริงด้วย! เสี่ยวจิ่ว ทีหลังเจ้าต้องระวังหน่อย จะก่อเรื่องเช่นครั้งนี้อีกไม่ได้ กำลังเจ้าคนเดียวถึงอย่างไรก็มีขีดจำกัด เรื่องไหนๆ ล้วนต้องทำตามกำลังตน ต่อให้ครั้งนี้หลัวอวี่ตายไปเพราะเหตุนี้ก็ไม่มีใครโทษเจ้าหรอก ที่จริงกำลังศัตรูก็แกร่งเกินไป วิธีการต่อสู้ด้วยชีวิตเช่นเจ้านี้พวกเราไม่เห็นด้วย” เฟิ่งเซียวกำชับด้วยน้ำเสียงจริงจังยิ่งนัก แค่หวังว่านางจะจดจำอันตรายครั้งนี้ไว้ว่าภายหลังจะก่อเรื่องวุ่นวายอีกไม่ได้
“เจ้าค่ะ ลูกทราบแล้ว” เธอยิ้มรับทั้งคิ้วตาโค้งมน ใบหน้ามอมแมมราวกับแมวลายตัวน้อยที่ซุกซนทำให้คนมองต่างผุดรอยยิ้มออกมาโดยฉับพลัน
เฟิ่งเซียวส่ายหน้ายิ้ม “ดูเจ้าสิเนื้อตัวกระเซอะกระเซิง ไหนเล่าท่าทางของลูกสาวบ้านนี้? รีบกลับไปล้างให้สะอาดก่อนค่อยว่ากัน”
……………………………