ตอนที่ 397 ต้องแต่งตัวหรูหรา!
“ผู้หญิงของภูตหมอ?”
ได้ยินแล้วกวนสีหลิ่นตกใจไปนิด กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง “ทำไมท่านคิดเช่นนี้ได้?”
“หรือว่าไม่ใช่? หากตระกูลเฟิ่งไม่เกี่ยวข้องกับภูตหมอ แล้วทำไมภูตหมอถึงกำชับให้ดูแลเป็นพิเศษ? ซ้ำยังส่งยาต่างๆ ให้พวกเขา คุณหนูใหญ่เฟิ่งผู้นั้นรูปโฉมงดงาม บุคลิกท่าทางโดดเด่น จะเข้าตาภูตหมอก็ไม่แปลก อย่างไรเสีย มีผู้ชายคนไหนบ้างที่ไม่ชอบสาวงาม?”
พูดถึงตรงนี้ ผู้ดูแลเหยียนก็ยิ้มขึ้นมา ว่ากันตามมุมมองของบุรุษ หากจะสนใจสตรีคนหนึ่ง แวบแรกย่อมเป็นเพราะนางสวย รูปโฉมเป็นสิ่งแรกที่ดึงดูดความสนใจ จากนั้นค่อยสนใจส่วนอื่นๆ แน่นอนว่ามุมมองเขาไม่ได้หมายรวมถึงทั้งหมด แค่บอกว่าบุรุษส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้
ได้ฟังเช่นนี้ กวนสีหลิ่นส่ายหน้ายิ้มๆ “พอเถอะ ท่านอย่าเดาสุ่มเลย ข้าต้องไปดูน้องสาวข้าเสียหน่อย รัชทายาทแคว้นเหินเวหาผู้นั้นมาถึงแล้ว ข้าต้องดูว่านางมีวิธีรับมืออะไรหรือยัง”
“พูดแบบนี้ คุณหนูใหญ่เฟิ่งจะไม่เป็นชายารองของรัชทายาทแคว้นเหินเวหานั่นรึ?” เขายังอดไม่ได้ถามตามหลังกวนสีหลิ่นไป
“เพ้ย! เขาก็แค่คางคกริอยากกินเนื้อห่านฟ้า” กวนสีหลิ่นหัวเราะเยาะ เอ่ยโดยไม่หันกลับมา เดินก้าวยาวออกจากตลาดมืดมุ่งหน้าไปยังจวนตระกูลเฟิ่ง…
ภายในจวนตระกูลเฟิ่ง
“คุณหนูใหญ่ รัชทายาทแคว้นเหินเวหามาถึงแล้ว เห็นชัดว่าเรื่องที่จะแต่งท่านเป็นชายารองไม่ได้พูดไปตามปาก ยามนี้เขามาถึงวังหลวงแล้ว คิดว่าสองวันนี้คงมาหา ไม่ทราบว่าคุณหนูใหญ่มีวิธีรับมืออะไรหรือไม่?”
นอกจากหลัวอวี่กับอาจารย์ที่เก็บตัวฝึกบำเพ็ญ คนอื่นๆ อีกเจ็ดคนที่รู้ข่าวด้านนอกต่างก็มาหาเฟิ่งจิ่ว อยากรู้ว่านางมีวิธีแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร
ตามที่พวกเขารู้มา รัชทายาทแคว้นเหินเวหาผู้นี้พาผู้ฝึกเซียนที่พลังไม่ธรรมดามาอีกแปดคน ถึงเวลานั้นหากพวกเขาคิดจะบังคับชิงตัวไป นั่นก็…
เฟิ่งจิ่วกำลังบดผงยาอยู่บนโต๊ะในลาน เห็นพวกเขามาก็แค่ชายตามอง หลังได้ยินคำพูดพวกเขายังไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น กล่าวอย่างไม่แยแสว่า “มู่หรงป๋อคนนั้นไม่ใช่พ่อข้า ข้าจะแต่งกับใครไม่ต้องให้เขามาจัดแจง อีกอย่าง หากข้าไม่แต่งพวกเขาจะกล้าบังคับชิงตัวข้าหรือ?”
“แต่ว่า…”
หนึ่งในนั้นกำลังจะพูด ก็เห็นเหลิ่งซวงในชุดสีดำเดินเข้ามา
“นายท่าน”
“อืม เป็นยังไงบ้าง?” เฟิ่งจิ่วถามพลางเก็บผงยาบนโต๊ะที่บดเสร็จขึ้นมา
“เนี่ยเถิงรัชทายาทแคว้นเหินเวหา เป็นบุตรที่ผู้ครองแคว้นรักและให้ความสำคัญที่สุด อายุยี่สิบสี่ วรยุทธ์ระดับสร้างรากฐานช่วงท้าย เป็นผู้ฝึกตนอัจฉริยะที่เจ้าสำนักศึกษาหกดาราลงความเห็นว่าต้องบรรลุถึงระดับหลอมแก่นพลังภายในห้าสิบปี นิสัยดื้อรั้นมั่นใจในตัวเอง ฝีมือเก่งกาจดุดัน กล่าวกันว่าตอนอายุสิบสองก็อาศัยกำลังตนเองคนเดียวไล่ล่าสัตว์วิญญาณระดับเก้าตัวหนึ่งอยู่เดือนกว่า สุดท้ายจับมันสังหารถวายแก่เสด็จพ่อของเขาได้”
เสียงเหลิ่งซวงชะงักไป บอกว่า “ผู้ดูแลเหยียนมีความฝากข้ามาบอกนายท่านเจ้าค่ะ”
เฟิ่งจิ่วเลิกคิ้ว ถามทั้งรอยยิ้ม “ความอะไร?”
“อย่าให้เนี่ยเถิงต่อกรกับคุณหนูใหญ่เฟิ่ง เขาคนนั้นเป็นพวกที่ไม่ยอมแพ้หากไม่ได้มา”
เฟิ่งจิ่วนิ่งไปพักหนึ่ง จากนั้นเปล่งเสียงหัวเราะลั่น “ผู้ดูแลเหยียนคนนี้น่าสนใจจริงๆ ทำไมเขาถึงคิดเช่นนั้น”
ชายวัยกลางคนเจ็ดคนข้างๆ มุมปากกระตุก อยากพูดเหลือเกินว่า ‘ประโยคหลังนั้นถึงจะเป็นจุดสำคัญไม่ใช่หรือ?’
“คุณหนูใหญ่” เสียงพ่อบ้านลอยมาจากนอกเรือน
แววตาเฟิ่งจิ่วอมยิ้มอิ่มเอม ได้ยินเสียงพ่อบ้านจึงเรียก “เข้ามาสิ!”
พ่อบ้านเดินเข้ามา เห็นคนอื่นๆ อยู่ด้วยก็เข้าไปคารวะ ก่อนเอ่ย “คุณหนูใหญ่ ในวังส่งคนมาบอกข่าว ให้ท่านเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับรัชทายาทแคว้นเหินเวหาคืนนี้ขอรับ ซ้ำยังบอกชัดเจนอีกว่าจะต้องแต่งตัวหรูหรามาร่วมงาน”
………………………………………………….
ตอนที่ 398 เจ้าปกป้องนางไม่ได้!
ได้ยินคำพูดนี้ ชายวัยกลางคนทั้งเจ็ดมองทางเฟิ่งจิ่ว ในวังส่งคนมาเชิญ นางจะไปหรือไม่?
มุมปากเฟิ่งจิ่วยกขึ้นเล็กน้อย มองทางพ่อบ้าน “คนส่งสารยังอยู่ข้างนอกรึ?”
“ไม่ขอรับ ถ่ายทอดความเสร็จก็กลับไปแล้ว” พ่อบ้านกล่าวด้วยความเคารพ
“อืม เข้าใจแล้ว เจ้าไปทำธุระเถอะ” เธอพยักหน้า ส่งสัญญาณให้เขาถอยไป
“ขอรับ” พ่อบ้านขานรับแล้วจึงถอยออกไป
“คุณหนูใหญ่จะไปงานเลี้ยงหรือไม่ขอรับ?” หนึ่งในนั้นถามด้วยสีหน้าหนักใจอยู่บ้าง เกรงว่างานเลี้ยงครั้งนี้จะเป็นงานเลี้ยงหงเหมิน[1] ที่จัดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับนาง
“ข้ากำลังยุ่งอยู่ ไม่มีเวลาว่างไปงานเลี้ยง” เธอปัดๆ กระโปรงพลางลุกยืนขึ้น เห็นพวกเขาแต่ละคนมีสีหน้าเคร่งเครียดก็อดเอ่ยยิ้มๆ ไม่ได้ “พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ไม่เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นหรอก”
กล่าวจบก็ตรงไปยังเรือนหลัก คิดว่าจะไปดูบิดาเสียหน่อย เขาจะได้ไม่ต้องกังวลใจหลังได้ยินข่าวนี้
ภายในวังหลวง มู่หรงอี้เซวียนมาถึงตำหนักของเสด็จพ่อด้วยสีหน้าไม่น่ามอง พอเข้าไปด้านในก็ถามว่า “เสด็จพ่อ ท่านคิดจะใช้ชิงเกอแต่งงานสานสัมพันธ์รึ? การหมั้นหมายนี้คนตระกูลเฟิ่งแสดงทีท่านานแล้วว่าจะไม่ยอมให้ชิงเกอแต่งเป็นชายารองของรัชทายาทแคว้นเหินเวหา หรือท่านไม่ได้บอกเขาตามความจริง?”
พอได้ยินน้ำเสียงที่ใกล้เคียงกับการซักถามของเขา มู่หรงป๋อก็โกรธจัดทันใด มือตบโต๊ะหนังสือ ตะโกนเสียงดัง “บังอาจ! เจ้าพูดเช่นนี้กับพ่อได้รึ? นับวันยิ่งไร้ระเบียบจริงๆ!”
ทว่า มู่หรงอี้เซวียนกลับไม่เกรงกลัวไฟโทสะของเขาเลย แววตาเคร่งขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าที่อ่อนโยนสง่างามในวันวานยามนี้มีแต่ความโกรธเกรี้ยว “เสด็จพ่อน่าจะรู้ว่าข้ามีใจให้นาง กลับยังตัดสินใจเช่นนี้ ข้าอยากถามจริงๆ เสด็จพ่อยังเห็นข้าเป็นลูกหรือไม่?”
ขณะมองบุตรชายที่ไม่ยำเกรงอำนาจตน มู่หรงป๋อถอนหายใจหนักๆ เม้มริมฝีปากพลางเอ่ยอย่างจริงจัง “การหมั้นหมายของเจ้ากับนางยกเลิกไปตั้งนานแล้ว พวกเจ้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีก ยิ่งไปกว่านั้น หากนางชอบเจ้าคงไม่ยกเลิกการหมั้น ตอนนี้เจ้าจะมายุ่งเรื่องตระกูลเฟิ่งอีกทำไม!”
“เจ้าต้องรู้ไว้ หากนางไปเป็นชายารองของรัชทายาทแคว้นเหินเวหา ไม่เพียงจะทำให้จวนตระกูลเฟิ่งที่ยามนี้สั่นคลอนมั่นคงได้ แต่ยังช่วยเราผูกมิตรกับที่พึ่งใหญ่อย่างแคว้นเหินเวหา เรื่องดีๆ ที่ได้กำไรสองต่อเช่นนี้ เจ้ายังมีเหตุผลอะไรมาห้ามอีก?”
เสียงเขาชะงักลง แล้วชำเลืองมองลูกชาย “ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ารัชทายาทแคว้นเหินเวหาถูกใจนาง เจ้าหยุดเขาได้รึ? เจ้าน่าจะรู้ว่าโลกนี้มีเพียงผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ พละกำลังจะตัดสินทุกสิ่ง แม้เจ้าเป็นผู้มีความสามารถในแคว้นแสงสุริยัน แต่ก็จำกัดแค่ในแคว้นเราเท่านั้น ต่อหน้ารัชทายาทแคว้นแข็งแกร่งระดับหก เจ้าปกป้องนางไม่ได้หรอก!”
ได้ยินความจริงที่ตรงไปตรงมา ไร้ความปรานี และทิ่มแทงใจเช่นนี้ สีหน้ามู่หรงอี้เซวียนพลันแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด มือภายใต้แขนเสื้อกำหมัดแน่น ขณะที่ในใจโกรธเคืองกลับจำต้องยอมรับว่า เขาปกป้องนางไม่ได้!
หากเขาปกป้องนางได้ พ่อของนางคงไม่โดนลอบสังหารจนบาดเจ็บหนักไม่ฟื้น!
หากเขาปกป้องนางได้ นางคงไม่ถูกเสด็จพ่อคลุมถุงชนให้แต่งเป็นชายารองของรัชทายาทแคว้นเหินเวหา!
หากเขาปกป้องนางได้ นางคงไม่ถูกเสด็จพ่อสั่งบังคับให้แต่งตัวเต็มยศมาร่วมงานเป็นเพื่อนรัชทายาทแคว้นเหินเวหา!
พละกำลัง! ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะเขาแข็งแกร่งไม่พอ!
หากเขามีพลังมหาศาล ใครเล่าจะกล้าทำเช่นนี้กับคนที่เขาถูกใจ? แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยตระหนักถึงความสำคัญของพละกำลังเช่นวันนี้เลย! และยิ่งไม่เคยต้องการมีพลังแข็งแกร่งเท่าเวลานี้มาก่อน!
เห็นบนใบหน้าที่ซีดเผือดของเขามีทั้งความขุ่นเคืองและไม่ยอมแพ้ มู่หรงป๋อก็ถอนใจ เอ่ยปากว่า “แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา[2] ขอแค่อนาคตเจ้ามีกำลังแข็งแกร่งมากพอ ยังต้องกลัวว่าจะหาหญิงที่รูปโฉมงดงามกว่านางไม่ได้อีกหรือ?”
………………………………………………….
[1] งานเลี้ยงหงเหมิน หมายถึง งานเลี้ยงที่เจตนาร้ายแอบแฝง มาจากเรื่องเล่าในประวัติศาสตร์สมัยฉินตอนปลาย เซี่ยงอวี่เชิญเล่าปังไปงานเลี้ยงที่ประตูหงเหมิน โดยซุ่มกองกำลังไว้ในงาน แม้จะไม่สำเร็จ แต่ก็สร้างความหวาดหวั่นให้กับผู้คน
[2] แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา หมายถึง แม้คราวนี้จะผิดหวังหรือผิดพลาดไปก็ยังไม่สิ้นไร้หนทาง อย่าไปยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง