ตอนที่ 401 ไม่ว่างเข้าร่วม!
มู่หรงป๋อมองไปทางสองสามคนที่เดินลนลานเข้ามา เห็นด้านหลังพวกเขาไม่มีเงาเฟิ่งชิงเกอแววตาจึงหนักอึ้งเล็กน้อย ไม่รอให้พวกเขาเดินมาใกล้ก็ถามว่า “พวกเจ้าไม่ได้รับตัวคุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิ่งมารึ?”
ทหารอารักขาพวกนั้นคุกเข่าข้างหนึ่ง กล่าวด้วยความตื่นตระหนก “ผู้ครองแคว้นโปรดอภัยด้วย ข้าน้อยไปรับคุณหนูใหญ่ถึงจวนตระกูลเฟิ่ง แต่ แต่ว่า…”
ทหารอารักขาที่เป็นหัวหน้าไม่กล้าเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงลังเล ไม่กล้าพูดประโยคสุดท้ายออกมา
มู่หรงป๋อถอนหายใจ เอ่ยเสียงเข้มว่า “พูดมา!”
“ข้าน้อยไปรับนาง กลับไม่ได้เข้าแม้แต่ประตูจวน พวกองครักษ์ประจำตระกูลเฟิ่งออกมาบอกว่านายท่านพวกเขาไม่ว่างไปร่วมงานเลี้ยง จึง จึงไม่มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พูดถึงตอนท้ายสุด เสียงของทหารอารักขาผู้นั้นยิ่งแผ่ว ศีรษะก้มลงไป รู้สึกเพียงว่าหลังจากพูดคำเหล่านั้นจบลง รอบก็ข้างพลันเงียบสงัด กลิ่นอายกดดันและบรรยากาศที่เย็นเยียบถึงขีดสุดนั้นทำให้อกสั่นขวัญแขวน
มู่หรงป๋อมองไปทางเนี่ยเถิงรัชทายาทแคว้นเหินเวหาตามสัญชาตญาณ เห็นเขานั่งเอนกายเล่นแก้วสุราในมือ ดวงตาหรี่ลงครึ่งหนึ่ง มุมปากอมยิ้มอยู่บางๆ ดูไม่ใส่ใจมากนัก แต่คนทั้งงานเลี้ยงกลับกระวนกระวายเพราะเขา
“เฟิ่งชิงเกอคนนี้ช่างบังอาจนัก! คำพูดข้ายังกล้าทำเป็นหูทวนลม? คนตั้งมากมายรอนางอยู่คนเดียว ไม่นึกเลยว่านางจะไม่มา ไปอีก! ต่อให้ต้องมัดตัวนางก็ต้องพามาให้ข้า!” เขาตะโกนเสียงเข้มด้วยความโกรธ ให้ทหารอารักขาพวกนั้นไปจวนตระกูลเฟิ่งอีกครั้ง
เนี่ยเถิงวางแก้วในมือลงแล้วลุกขึ้น แววตาเคร่งชำเลืองมองเขา ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะเปล่งออกมาพร้อมกลิ่นอายอันตรายและการกล่าวเตือน
“นางคือผู้หญิงที่จะเป็นชายารองของข้า ชื่อนางไม่ใช่ชื่อที่เจ้าจะเรียกได้ตามใจชอบ” กล่าวจบก็หันกายสาวก้าวออกไป
มู่หรงป๋อนั่งอยู่ตรงนั้นทั้งสีหน้าดูไม่ได้ มือที่วางไว้ใต้โต๊ะแอบกำหมัด รู้สึกแต่ว่าขายหน้า
เขาคือผู้ครองแคว้นที่ทรงเกียรติ แม้เป็นผู้ครองแคว้นเล็กๆ ก็ไม่ควรถูกทำให้เสียหน้าต่อหน้าข้าราชสำนักของตัวเอง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นเขาคงตบโต๊ะลุกขึ้นด้วยความโกรธจัดแล้ว เสียแต่คนผู้นี้เป็นองค์ชายรัชทายาทแคว้นเหินเวหา เขาล่วงเกินไม่ได้…
เห็นเนี่ยถิงออกไป คนในงานเลี้ยงต่างลอบถอนหายใจ ถึงจะโล่งอกก็เห็นสีหน้าของผู้ครองแคว้นไม่สู้ดี แต่ละคนที่เดิมเคยวางใจจึงหวั่นๆ ขึ้นมาอีกครั้ง เพียงคิดว่างานเลี้ยงครั้งนี้ช่างทำให้พวกเขาสั่นกลัวจนเหงื่อออกท่วมเลยจริงๆ
ชายวัยกลางคนชุดดำที่ตามอยู่ด้านหลังเนี่ยเถิงเหลือบมองนายท่านตรงหน้าอย่างระแวดระวัง เห็นกลิ่นอายทั่วร่างเขาอึมครึม กำลังเก็บความโกรธไว้รางๆ จึงหวั่นใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ทันใดนั้นก็เห็นนายท่านที่เดินเอามือไพล่หลังตรงหน้าหยุดลง เขาแอบปาดเหงื่อ ยังดีที่ไม่ได้ตามใกล้เกินไปนัก ไม่เช่นนั้นคงชนไปแล้ว
“เจ้าไม่ต้องตามหรอก” เนี่ยเถิงปริปากบอก ฝีก้าวเปลี่ยนไปยังทิศทางหนึ่ง ตรงออกไปนอกวัง
ชายวัยกลางคนอึ้งไปสักพักแล้วรีบตามไป ถามว่า “นายท่านจะไปพบคุณหนูใหญ่เฟิ่งที่จวนตระกูลเฟิ่งหรือ? ข้าน้อยล่วงหน้าไปพานางมาให้นายท่านไม่ดีกว่ารึ?”
เนี่ยเถิงที่เดินอยู่เบื้องหน้าไม่หยุดฝีเท้า เอ่ยโดยไม่หันหน้ากลับมา “ไม่จำเป็น ข้าไปเองสนุกกว่า” สิ้นเสียงฝีเท้าก็ชะงัก หันกลับไปมองเขาแวบหนึ่ง “ไม่อนุญาตให้ตามมา”
เห็นเช่นนี้ ชายวัยกลางคนจึงหยุดอยู่ที่เดิม มองนายก้าวยาวเดินออกไปนอกวัง ในใจเป็นห่วงเล็กน้อย จึงยังเอ่ยปากเตือนอย่างอดไม่ได้ว่า “นายท่านระวังคุณหนูใหญ่เฟิ่งด้วย นางเป็นยอดฝีมือด้านการใช้ยานะขอรับ!”
นึกไม่ถึงว่าคำเตือนที่หวังดีของเขา กลับแลกมาด้วยแววตาโกรธเคืองของนายท่าน
ก็ถูกแล้ว คำพูดนี้เป็นการเตือนนายท่านว่าพวกเขาต่างเคยติดกับอยู่ในเงื้อมมือนางอย่างน่าอับอายชัดๆ ไม่ใช่หรือ?
………………………………………………….
ตอนที่ 402 หมายตาผู้หญิงของเขา?
เทียบกับบรรยากาศหนาวเหน็บในพระราชวัง อาหารมื้อเย็นที่จวนตระกูลเฟิ่งกลับอบอุ่นรื่นเริง
เฟิ่งจิ่วกินข้าวเป็นเพื่อนบิดาเสร็จก็ออกไปพร้อมกับกวนสีหลิ่น เมื่อผ่านศาลา เห็นว่าสายลมรำเพยปะทะใบหน้า จึงให้เหลิ่งซวงไปหยิบไหสุราเข้ามา ส่วนตนกับพี่ชายเดินไปนั่งในศาลา เหล่าไป๋กับฉิวฉิวตามเข้ามานอนหมอบอยู่ข้างขาเธอ
“เสี่ยวจิ่ว คนที่รัชทายาทแคว้นเหินเวหาพามามีกำลังแข็งแกร่งนัก ข้ากำลังคิดว่าเจ้าควรต้องไปหลบที่เวิ้งสวนท้อหรือไม่ หากปรากฏตัวในฐานะภูตหมอ คนพวกนั้นไม่กล้าทำอะไรเจ้าแน่ แต่หากเป็นฐานะคุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิ่ง พวกเขาจะก่อเรื่องอะไรบ้างก็พูดยากจริงๆ”
ใบหน้ากวนสีหลิ่นไม่มีรอยยิ้มเช่นยามที่กินอาหารพูดคุยกันก่อนหน้านี้ มีเพียงความกังวลและหนักใจที่ยากจะปิดบัง ถึงอย่างไรฝ่ายตรงข้ามก็เป็นถึงรัชทายาทของแคว้นใหญ่ระดับหก หนำซ้ำที่คนติดตามมายังมีผู้ฝึกเซียนอีกแปดคน หากอยากบังคับชิงตัวจริง ใช้แค่กำลังต่อสู้ทั้งหมดของจวนตระกูลเฟิ่งก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้พวกนั้นได้
“ท่านไม่ต้องเป็นห่วง พวกเขาจะไม่ใช้กำลังฉุดข้า” เธอแย้มยิ้ม เห็นเหลิ่งซวงยกสุราเข้ามาจึงบอกว่า “สำหรับรัชทายาทแคว้นระดับหกคนหนึ่ง เขาจะไม่ใช้คำว่าฉุดชิงตัวที่สบประมาทตนเอง หากต้องชิงตัวผู้หญิงคนหนึ่งไปจริง นั่นจะไม่เกิดขึ้นกับคนที่มีฐานะเป็นรัชทายาทแน่นอน”
“เจ้ามั่นใจเพียงนี้เชียว” เขาฉงนใจอยู่บ้าง ไม่เข้าใจว่านางเอาความมั่นใจมาจากไหน
“ข้าไม่ได้มั่นใจ แต่เพราะความรักเกียรติในตนเองของบุรุษไม่อนุญาตให้เขาทำเช่นนั้น ท่านลองสลับตำแหน่งกันบ้าง หากเรื่องนี้เกิดกับตัวท่าน ท่านจะฉุดผู้หญิงคนหนึ่งหรือไม่?” เธอยกแก้วเหล้าขึ้นจิบเบาๆ มองเขาอย่างหยอกล้อ
“แน่นอนว่าไม่!”
เขาตอบโดยไม่คิดสักนิด พอพูดไปก็นิ่งอยู่สักพัก จากนั้นจึงหัวเราะขึ้นมา “ฮ่าๆๆ ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ข้ารู้แล้ว เสี่ยวจิ่ว ทำไมแม้แต่จิตใจบุรุษเจ้ายังสามารถอ่านได้ทะลุปรุโปร่งเพียงนี้?”
เฟิ่งจิ่วยิ้มเจ้าเล่ห์ กล่าวว่า “ท่านลืมไปแล้วหรือว่าข้าแต่งตัวเป็นบุรุษได้แนบเนียนนัก?” ตัวตนภูตหมอของเธอจะปรากฏตัวโดยแต่งตัวเยี่ยงบุรุษเสมอ แม้แต่เจ้าตำหนักยมราชผู้หลักแหลมยังมองไม่ออกเลยไม่ใช่หรือ?
แต่ว่า…
นึกถึงเจ้าตำหนักยมราชผู้เบี่ยงเบนทางเพศคนนั้น เธอก็หนาวสั่นขึ้นมาโดยฉับพลัน
น่ารังเกียจเหลือเกิน ไม่นึกเลยว่าครั้งนั้นหมอนั่นคิดจะจูบเธอ ผ่านมานานเพียงนี้คิดแล้วยังขนลุกซู่ขึ้นมาอยู่เลย
เวลาเดียวกันนี้ บนเส้นทางไปยังแคว้นแสงสุริยัน เจ้าตำหนักยมราชพร้อมด้วยฮุยหลางและอิ่งอีกำลังหยุดพักผ่อนในยามค่ำคืนเพราะเดินทางกันมาทั้งวัน ทันใดนั้นเจ้าตำหนักที่นั่งขัดสมาธิปรับลมปราณอยู่หน้ากองไฟก็จามออกมา ก่อนจะลืมตาดำขลับลึกล้ำคู่นั้นขึ้นและมองไปทางแคว้นแสงสุริยัน
ฮุยหลางข้างๆ เห็นก็ถามอย่างไม่ถูกเวลา “นายท่าน หนาวหรือขอรับ? จะใส่เสื้ออีกสักตัวรึไม่”
อิ่งอีที่ได้ยินมุมปากกระตุก หลังชำเลืองมองเขา แล้วดูตามทิศทางที่นายท่านมองไป ก็กระแอมไอเบาๆ บอกว่า “ภูตหมอคงกำลังคิดถึงนายท่าน”
เจ้าตำหนักมองอิ่งอีแวบหนึ่ง มุมปากยกขึ้นน้อยๆ บนใบหน้าเด็ดเดี่ยวหล่อเหลาผุดรอยยิ้มออกมาอย่างชัดเจน เขาเหลือบมองฮุยหลางข้างๆ ที่ยิ้มเจื่อน ลุกยืนขึ้นสะบัดเสื้อคลุม เอ่ยปากเรียบๆ ว่า
“รีบไปต่อกันเถอะ! อย่าเสียเวลาระหว่างทางมากเกินไป”
ไม่บอกไม่ได้ว่าเขาเองก็คิดถึงนาง ยิ่งเข้าใกล้นางยิ่งคิดถึง โดยเฉพาะหลังรู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายในตระกูลของนางช่วงนี้ ในใจก็เป็นห่วงอยู่เล็กน้อยว่านางจะรับมือไหวหรือไม่?
ยังมีเนี่ยเถิงรัชทายาทแคว้นเหินเวหาคนนั้นอีก ไม่นึกว่าจะกล้าหมายตาผู้หญิงของเขา สมควรตายจริงๆ!